“พวกท่านทำอันใดกันแน่?”

ผู้อาวุโสสูงสุดและผู้อาวุโสรองหน้าตาตื่นตระหนก

ในคืนนี้เผ่าหยกเกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ขึ้น พวกเขาใส่ใจตนเองแทบไม่ทันไหนเลยจะกระทำสิ่งใดกับไป๋จิ่นและคนอื่นๆได้?

เหล่าผู้อาวุโสคนอื่นๆก็ดูสับสนวุ่นวายและไม่รู้อันใด

ใบหน้าของกู้ชูหน่วนดูไม่ได้เลยและจู่ๆก็มีคำสองคำแว๊บผ่านเข้ามาในสมอง

สังเวย

“น้องฉี่หลัว ไป ไปยังห้องกลั่นยากัน”

“เอ่อ……ออ……”

ผู้อาวุโสไท่ซั่งดูเหมือนจะนึกสิ่งใดออกลากร่างกายอันเหลวแหลกเดินโซซัดโซเซไปทางห้องกลั่นยาและทิ้งเพียงประโยคเดียวไว้ “ผู้เฒ่าเจ็ด ผู้เฒ่าสิบ ไป๋เฉ่า พวกท่านอยู่ที่นี่รอดูผลส่วนคนอื่นๆ ตามข้ามา”

“ผู้อาวุโสสูงสุด แล้วไอ้สารเลวนั้นของเผ่าเพลิงฟ้าหล่ะ?”

ผู้อาวุโสสูงสุดครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็ขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า “พาไปยังห้องกลั่นยาด้วยกัน”

ที่นี่วุ่นวายยุ่งเหยิงเป็นการยากที่จะรับประกันได้ว่าเขาจะไม่มีกลอุบายอันใด ไม่กลัวทว่าแต่กลัวหากว่านำตัวเขาเอาไว้ข้างกายก็จะเป็นการดีกว่าเล็กน้อย

ผู้คนวุ่นวายเต็มไปหมดเมื่อครู่นี้ในชั่วพริบตาก็เหลือเพียงผู้นำไม่กี่คนของเผ่าหยก

เจี้ยงเสวี่ยประคองเยี่ยจิ่งหานที่สลบขึ้นซึ่งเขายังสลบไสลอยู่แต่ใบหน้าของเขานั้นยังคงมีท่าทีบิดเบี้ยวด้วยความทนทุกข์ทรมาน

เจี้ยงเสวี่ยวิงวอนไป๋เฉ่า “ช่วยดูนายท่านของข้าหน่อยได้หรือไม่ นายท่านของข้าทุกข์ทรมานยิ่งนัก”

“เจ้าดูว่าผู้ใดในที่นี้ไม่ทรทุกข์ทรมานบ้าง?”

ไป๋เฉ่าและคนอื่นๆตอบด้วยอารมณ์โมโห

หากไม่ใช่ว่าท่านหัวหน้าเผ่าฝากฝังไว้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า พวกเขาก็คงจะสังหารเยี่ยจิ่งหานไปตั้งนานแล้ว

เมื่อคิดถึงเมื่อครู่ที่เขาได้สังหารผู้อาวุโสเก้าและผู้คนในเผ่ามากมายเช่นนั้น ไป๋เฉ่าและคนอื่นๆก็รู้สึกโมโหมากมายนัก

ในห้องกลั่นยา

เมื่อกู้ชูหน่วนและคนอื่นๆเร่งมาถึงสาวกทั้งหลายที่ดูแลห้องกลั่นยาก็คุกเข่าลงคำนับกันทีละคนๆ

“อี้เฉินเฟยกับไป๋จิ่นหล่ะ พวกเขาได้มาหรือไม่?”

“ตอบท่านหัวหน้าเผ่า ประมุขชิงและจอมมารได้เข้าไปพร้อมกับป้ายคำสั่งหัวหน้าเผ่าแล้ว”

“ป้ายคำสั่ง? ข้าเคยให้ป้ายคำสั่งหัวหน้าเผ่าอันใดแก่เข่ากัน?”

“ตอบท่านหัวหน้าเผ่า ป้ายคำสั่งในมือของประมุขชิงเป็นป้ายคำสั่งของหัวหน้าเผ่าคนก่อนซึ่งมิใช่ของท่าน”

“แล้วไป๋จิ่นหล่ะ” กู้ชูหน่วนด้านหนึ่งเข้าไปด้านในและอีกด้ายหนึ่งถามขึ้น

“ผู้ส่งสารศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าน้ำแข็งหลายท่านได้นำสาวกของเผ่าน้ำแข็งจำนวนร้อยกว่าคนเข้าไปในเขตหวงห้ามแล้ว”

ฝีเท้าของกู้ชูหน่วนหยุดลงกะทันหัน

“ยังนำคนจำนวนร้อยกว่าคนเข้าไปในเขตหวงห้าม? เขตหวงห้ามของเผ่าหยกสามารถให้ผูัใดก็ได้บุกรุกเข้าไปได้ตั้งแต่เมื่อใดกัน? นอกจากพวกนางแล้วยังมีผู้อื่นอีกหรือไม่? อย่างเช่นผู้นำเผ่าหยกผู้ใดเป็นผู้นำพวกเขาเข้าไป?”

“คือ……ไม่มี มีเพียงผู้ส่งสารศักดิ์สิทธิ์สามท่านและสาวกจำนวนร้อยกว่าคน พวกนางนำป้ายคำสั่งของผู้อาวุโสไท่ซั่งเข้าไป”

พวกแม่นางไป๋จิ่นเข้าไปในเขตหวงห้ามนั้น นอกจากท่านหัวหน้าเผ่าแล้วผู้อาวุโสสูงสุดก็สามารถเข้าไปได้ ด้วยป้ายคำสั่งของผู้อาวุโสไท่ซั่งเทียบเท่ากับผู้อาวุโสไท่ซั่งมาด้วยตนเอง

พวกเขาจะกล้าขัดขวางได้เช่นไร

กู้ชูหน่วนไม่รู้สิ่งใด

ผู้คนทั้งหลายก็ไม่รู้สิ่งใดเลย

แม้แต่ผู้อาวุโสสูงสุดก็ตกตะลึง

ถึงแม้จะสังเวยก็ต้องไปยังห้องกลั่นยา พวกนางไปทำอะไรในเขตหวงห้าม?

ฮวาฉี่หลัวกล่าวจ้อแจ้ว่า “ท่านพี่หน่วน ท่านพี่ไป๋หลงทางหรือเปล่าจึงเข้ามาในเขตหวงห้ามโดยไม่ได้ตั้งใจ? หากท่านพี่ไป๋เข้าไปในเขตหวงห้ามโดยไม่ได้ตั้งใจจริงๆก็อย่าได้โทษนางเลย นางคงไม่ได้จงใจเป็นแน่”

ไม่ได้ตั้งใจเข้ามา?

จะไม่ได้ตั้งใจเข้ามาได้อย่างไร

แม้ว่าจะไม่ได้ตั้งใจเข้ามาแล้วนางได้ป้ายคำสั่งของผู้อาวุโสไท่ซั่งมาจากที่ใดกัน?

ภายใต้ความเหมาะสมทั้งสองกู้ชูหน่วนยังคงเลือกที่จะไปยังห้องกลั่นยาก่อนและกล่าวกับผู้อาวุโสสูงสุดอย่างเย็นชา

“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปป้ายคำสั่งอันใดของหัวหน้าเผ่าคนก่อน ป้ายคำสั่งของผู้อาวุโสไท่ซ่างและผู้อาวุโสทั้งหลายยกเลิกให้หมด ไม่ว่าผู้ใดต้องการจะเข้ายังห้องกลั่นยาและเขตหวงห้ามจำต้องได้รับความยินยอมจากปากข้าเองทั้งสิ้น”

“ขอรับ……”

หลังจากอ้อมผ่านทางแยกหลายเส้นทางกู้ชูหน่วนและคนอื่นๆในที่สุดก็ได้มาถึงห้องกลั่นยา

“โครม……”

ประตูถูกเปิดออกสิ่งที่ดึงดูดสายตานั้นคืออี้เฉินเฟยที่กำลังยืนอยู่บนเตากลั่นยาและกำลังจะกระโดดลงไปโดยที่จอมมารยืนเฝ้าอยู่ฝั่งหนึ่งด้วยท่าทางอันน่าสลด

เมื่อผู้อาวุโสหกเห็นเข้าใจของเขาก็ขึ้นมาอยู่ตรงลำคอแล้ว “อาเฉิน เจ้ายืนทำสิ่งใดอยู่บนเตากลั่นยา รีบลงมาเร็ว เตากลั่นยานี้ตกทอดมาตั้งแต่โบราณหากว่าบังเอิญได้รับความเสียหายจะหลอมรวมไข่มุกมังกรได้อย่างไร”

ผู้อาวุโสสูงสุดและผู้อาวุโสรองดูเหมือนจะเข้าใจในบางสิ่งบางอย่างจึงไม่ได้กล่าวสิ่งใดเลยสักคำ

เหวินเส่าอี๋ในระหว่างครุ่นคิดก็รู้บางสิ่งขึ้นจากนั้นมองดูด้านหลังอันเย็นของกู้ชูหน่วน ชั่วขณะหนึ่งไม่รู้ว่าจะกล่าวสิ่งใดจึงทำได้เพียงรู้สึกลำบากใจแทนกู้ชูหน่วนในใจอย่างเงียบๆ

“พี่หญิงไม่เกี่ยวกับข้านะ เป็นเขาที่ให้ข้าพาเขามาที่นี่ให้จงได้”

จอมมารปัดความผิดเป็นอันดับแรก เขาไม่ต้องการให้กู้ชูหน่วนเข้าใจเขาผิด

กู้ชูหน่วนไม่ได้มองจอมมารและไม่ได้ตอบสนองต่อคำพูดของจอมมาร

ดวงตาคู่ที่นองด้วยน้ำตานั้นจับจ้องไปยังท่าทางอันงดงามของอี้เฉินเฟยอย่างหนักหน่วง

ในคืนนี้อี้เฉินเฟยนอกจากสีหน้าจะดูซีดเซียวไปมากมายก็ยังคงเฉกเช่นดังเดิม ตรงมุมปากนั้นเผยรอยยิ้มอันอบอุ่นบางเบาขึ้น ทุกการเคลื่อนไหวเป็นไปตามธรรมชาติและมีความสง่างามและสูงส่งอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง

เขายืนอยู่บนเตากลั่นยาโดยที่ลมร้อนบนเตาหลอมได้เป่าพัดผ่านเป็นครั้งครา เป่าจนทำให้เสื้อผ้าที่เปื้อนเลือดของเขาปลิวสั่นเกิดเสียงขึ้น เปลวเพลิงยังทำให้เขาดูไม่เหมือนบุรุษธรรมดาทั่วไปในใต้หล้าราวกับว่าสามารถแปรเปลี่ยนเป็นทวยเทพผู้เป็นอมตะและกลับสู่สรวงสวรรค์ได้อยู่ตลอดเวลา

กู้ชูหน่วนกุมตรงตำแหน่งหัวใจพร้อมกับยิ้มอย่างเศร้าสลด “ที่แท้…..ท่านก็รู้ตั้งนานแล้ว….. ”

นางช่างโง่เขลานัก

เหตุใดถึงได้เชื่อเขา……

ร่างกายของท่านพี่เฉินเฟยได้ถูกควักจนพรุนตั้งนานแล้ว

หากว่าคำสาปโลหิตสามารถปลดได้เร็วสักหน่อย บางทีเขาอาจจะยังมีโอกาสรอดได้

ตอนนี้สายเกินไปแล้ว ไม่ต้องกล่าวถึงว่าคำสาปโลหิตยังไม่ถูกปลดออก แม้ว่าคำสาปโลหิตจะปลดได้แล้วก็อาจจะไม่สามารถรักษาร่างกายของเขาให้หายได้

และ……

เห็นได้ชัดว่าพฤติกรรมผิดปกติทั้งหมดของเขานั้นเป็นการพยายามทำบางสิ่งเพื่อนางในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต

เขาคิดการณ์เอาไว้อยู่ตลอด

จนกระทั่งตายก็ยังคิดการณ์ว่าจะกระทำสิ่งใดให้มากเพื่อนางได้อีก

“โง่เขลา……ท่านช่างโง่เขลายิ่งนัก……ข้าไม่ต้องการให้ท่านเป็นเครื่องสังเวย เช่นไรก็ต้องมีวิธีอื่นที่จะหลอมรวมไข่มุกมังกรได้”

อี้เฉินเฟยกำลังยิ้มพร้อมกับคราบน้ำตาอยู่ในรอยยิ้ม ดวงตาอันอบอุ่นของเขาไม่แม้แต่กระพริบตาและมองยังกู้ชูหน่วนราวกับว่าต้องการเก็บประทับกู้ชูหน่วนเอาไว้ในส่วนลึกของจิตวิญญาณ

“นอกจากการยอมสังเลยเองโดยสมัครใจของหยางบริสุทธิ์และหยินบริสุทธิ์ก็ไม่มีหนทางอื่นแล้ว……”

“ท่านลงมาก่อน มีสิ่งใดพวกเราค่อยๆพูดคุยกัน”

ทุกครั้งที่กู้ชูหน่วนก้าวไปด้านหน้าก้าวหนึ่งอี้เฉินเฟยก็จะก้าวไปทางเตากลั่นยาหนึ่งก้าว

การกระทำของเขาต้องการบ่งบอกชัดเจนว่าเพียงแค่กู้ชูหน่วนก้าวไปด้านหน้าหนึ่งก้าว เขาก็จะกระโดดลงไปเลยโดยตรง

กู้ชูหน่วนถูกบังคับจนไม่กล้าก้าวไปด้านหน้า จึงทำได้เพียงเกลี้ยกล่อมด้วยน้ำตาว่า “ท่านเคยรับปากกับข้าว่าจะมีชีวิตอยู่ให้ดี”

“เรื่องอื่นข้าสามารถรับปากกับเจ้าได้ มีเพียงเรื่องนี้เท่านั้นที่ท่านพี่เฉินเฟยเกรงว่าจะกระทำไม่ได้”

ผู้อาวุโสหกตบศีรษะของตนเอง

วันนี้เขาไม่ได้ดื่ม

เป็นไปได้หรือว่าตนเองจะได้ยินผิด?

เหตุใดหลอมรวมไข่มุกมังกรจึงต้องสังเวยอี้เฉินเฟย?

เมื่อดูจากสีหน้าของผู้อาวุโสสูงสุดแล้วเขาก็นึกขึ้นได้ในภายหลังว่าเดิมทีไข่มุกมังกรไม่สามารถหลอมรวมเข้าด้วยกันได้ จำต้องมีคนสังเวย?

“ข้มรู้ว่าร่างกายของตนเองเป็นตะเกียงที่น้ำมันหมดใกล้มอดดับแล้ว ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เป็นเครื่องสังเวยก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงความตายได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้จะเป็นการดีกว่า…….”

ผู้อาวุโสหกกล่าวอย่างวิตกกังวลว่า “ผู้อาวุโสสูงสุดท่านเกลี้ยกล่อมเขาสิ หลอมรวมไข่มุกมังกรจะต้องมีหนทางอื่นเป็นแน่ใช่หรือไม่? อาเฉินเป็นเด็กดีพวกเราไม่สามารถทอดทิ้งเขาได้”

ผู้อาวุโสสูงสุดถอนหายใจและถอยออกไปยังฝั่งหนึ่ง

เขาจะไม่ต้องการให้อี้เฉินเฟยมีชีวิตอยู่ที่ใดกัน

เพียงแต่ว่า……

บางครั้งโชคชะตาก็ช่างโหดร้ายจริงๆ

ผู้อาวุโสรองกล่าวว่า “เดิมทีเขาก็ไม่สามารถมีชีวิตรอดอยู่ได้แล้ว เป็นเรื่องยากที่เขาจะคิดถึงเผ่าหยกและเต็มใจเสียสละเพื่อเผ่าหยก ทุกๆคนในเผ่าหยกจะจดจำความดีของเขาไว้”