บทที่ 414 กระวนกระวายใจ

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 414 กระวนกระวายใจ
หนึ่งเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ทางชายแดนได้ส่งข่าวมา ว่าอวิ๋นจิ่นถึงชายแดนเรียบร้อยแล้ว

ฉีเฟยอวิ๋นเห็นสารจากนกพิราบที่อวิ๋นจิ่นส่งมาก็โล่งใจ

เสบียงได้ถูกเตรียมการพร้อมสมบูรณ์แล้ว แต่ยังไม่เคลื่อนย้าย อวิ๋นจิ่นกำลังรอ

หนานกงเย่เองก็ได้รับข่าวของท่านแม่ทัพฉีแล้วเช่นกัน กองทัพได้เดินทางถึงชายแดนเป็นที่เรียบร้อย เพียงแต่สถานการณ์ยังไม่ดีนัก ทหารทั้งสองฝ่ายได้ทำสงครามมานานกว่าหนึ่งเดือนแล้ว ซึ่งทหารของเราก็บาดเจ็บล้มตายกันเป็นจำนวนมาก

หนานกงเย่เดินเข้ามาจากด้านนอกด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นมานั่งบนเตียงไม้

ร่างกายของฉีเฟยอวิ๋นในตอนนี้ค่อย ๆ หนักขึ้นเรื่อย ๆ หลายวันมานี้นางไม่ออกจากห้องเลย

ประการแรกคือท้องของนางขยายใหญ่ขึ้นจนน่ากลัวราวกับที่เป่าลม ประการที่สองช่วงนี้นางเริ่มมีอาการมือบวมเท้าบวมแล้ว อย่าว่าแต่จะเดินเหิน แม้แต่เคลื่อนตัวเพียงไม่กี่ก้าวก็ยังลำบาก นางจึงไม่ออกไปไหนอีกเลย

บัดนี้เมื่อได้รับข่าวคราวของอวิ๋นจิ่น ฉีเฟยอวิ๋นจึงดีใจไม่น้อย นางคิดจะบอกข่าวดีกับหนานกงเย่ แต่เมื่อฉีเฟยอวิ๋นเห็นหนานกงเย่เดินเข้ามาด้วยสีหน้าเคร่งเครียดนางจึงนั่งกลับลงไปอีกครั้ง

“ท่านอ๋อง”

“อวิ๋นอวิ๋นนั่งเถิด” หนานกงเย่นั่งลงและประคองฉีเฟยอวิ๋นให้นั่งลงในท่าที่สบาย จากนั้นก็หยิบหมอนมาหนุนด้านหลังให้แก่นาง ไม่ให้นางลำบาก

ฉีเฟยอวิ๋นอ่านข่าวของท่านแม่ทัพฉีหนึ่งรอบก่อนจะกล่าวว่า : “ท่านอ๋อง ทหารของทั้งสองฝ่ายเริ่มเกิดการปะทะกัน ทหารของเราบาดเจ็บล้มตาย ท่านแม่ทัพจวินตั้งใจยื้อเวลามาจนถึงตอนนี้หรือไม่เพคะ?”

“ยื้อแน่นอน แต่เหตุใดต้องยื้อนั้นข้าเองก็ไม่แน่ใจ ตอนนี้ข้าทำได้แค่รอข่าวจากพ่อตา หวังว่าจะจบลงเร็ว ๆ นี้”

“ท่านอ๋อง ท่านสงสัยว่าจวินเจิ้งตงคิดไม่ซื่อหรือเพคะ?”

“ถึงอย่างไรจวินเจิ้งตงก็อยู่ข้างนอกมานานหลายปี เขาห่างจากจักรพรรดิไปไกลมาก สิ่งเดียวที่เขายังไม่วางใจคือบุตรีทั้งสองคน ตอนนี้บุตรีคนโตต้องมาตายอย่างน่าอนาถ บุตรคนรองก็ไม่ได้รับความโปรดปรานจากในวัง ไร้ซึ่งความหวังใด ปวดใจจนทำให้จิตใจเข้าสู่ด้านมืดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

หากราชครูจวินยังให้ความสำคัญกับเกียรติยศก็ดีไป แต่ไหนแต่ไรมาราชครูจวินก็มีจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิตอยู่แล้ว ฮูหยินใหญ่ตระกูลจวินคือมารดาผู้ให้กำเนิดเขาก็ประสบพบเจอกับการถูกทำร้ายทารุณ นี่ไม่ใช่เรื่องที่คนทั่วไปสามารถรับได้ ครานี้เขากลับไม่ต่อต้าน ฝ่าบาทได้บีบเขาให้ต้องต่อต้าน ทิ้งความหายนะครั้งใหญ่ไว้”

ฉีเฟยอวิ๋นทอดถอนใจ : “ตระกูลจวินมีนิสัยใจคออย่างไรกันแน่ เหตุใดตระกูลของเขาถึงเป็นคนเช่นนี้ แต่ก็ไม่แปลกที่จวินเจิ้งตงจะมีจิตใจคิดก่อการกบฏ หากเป็นหม่อมฉัน หม่อมฉันก็คงจะก่อการกบฏเช่นกัน บุตรีของหม่อมฉัน อย่าว่าแต่จักรพรรดิเลยเพคะ ไม่ว่าใครหน้าไหนก็รังแกไม่ได้”

ฉีเฟยอวิ๋นได้รับการสั่งสอนจากท่านแม่ทัพฉีโดยสมบูรณ์ นางล้วนอดทนได้ทั้งนั้น ลูกเพียงอย่างเดียวที่นางจะไม่ยอมให้ผู้ใดมารังแกโดยง่าย

ช่วงนี้ร่างกายของนางไม่ค่อยสู้ดีนัก แต่ถึงกระนั้นนางก็มักจะเป็นห่วงลูกน้อยของนางเสมอ ฉีเฟยอวิ๋นลูบท้องด้วยสีหน้ามาดมั่น

มือของหนานกงเย่วางลงบนท้องของฉีเฟยอวิ๋น : “ข้าก็ด้วย ดังนั้นข้าถึงได้เข้าใจจิตใจของจวินเจิ้งตงยิ่งลึกซึ้ง

แต่ข้ายังรู้สึกว่า จวินเจิ้งตงต้องก่อกบฏเป็นแน่ ที่ยอมทำตัวบริสุทธิ์ก็เพราะบุตรีทั้งสอง แต่ในความเป็นจริงกลับเกลียดชังราชวงศ์ยิ่งกว่าสิ่งใด

หากฝ่าบาททรงมีหัวจิตหัวใจ เข้าใจความอ่อนแอของเขา ฝ่าบาทจะไม่มีทางสร้างความไม่เป็นธรรมให้แก่บุตรีทั้งสองของเขา อยู่ที่ว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นช้าหรือเร็วเท่านั้น”

“บางทีอาจจะใช่ก็ได้”

ฉีเฟยอวิ๋นนั่งไม่ไหวอีกต่อไป นางเอนกายนอนลงไป

หนานกงเย่ปล่อยมืออย่างอาลัยอาวรณ์ และนั่งอยู่ข้างกายของฉีเฟยอวิ๋น

เมื่อท่านแม่ทัพฉีมาถึงค่ายทหารของชายแดน จวินเจิ้งตงส่งคนออกไปต้อนรับ ท่านแม่ทัพฉีเข้าไปในค่ายทหาร จวินเจิ้งตงจึงได้คุกเข่าน้อมรับพระราชโองการ

“ท่านแม่ทัพจวินไม่ต้องเกรงใจเพียงนั้น ข้ามาเพื่อสนับสนุน และถือโอกาสมาดูเจ้าว่าเป็นอย่างไรบ้าง” ท่านแม่ทัพฉีประคองตัวของจวินเจิ้งตง ด้วยความเกรงใจอย่างมาก

จวินเจิ้งตงได้แต่คลี่ยิ้ม รอยยิ้มนี้ของเขา ท่านแม่ทัพฉีเข้าใจดี จวินเจิ้งตงมีจิตใจคิดไม่ซื่อ จึงระวังตัวอย่างเงียบ ๆ

และก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ คืนนั้นในตอนที่ท่านแม่ทัพฉีกำลังหลับ

เสบียงในค่ายทหารเกิดไฟไหม้ขึ้นในยามราตรี ทหารภายในค่ายพากันวิ่งกันอย่างอลหม่าน คนส่วนใหญ่ล้วนออกมาช่วยกันดับไฟ มีคนกลุ่มหนึ่งกำลังเข้าโจมตีเมือง ในเมืองตอนนี้ก็เกิดความอลหม่านเช่นกัน มีคนสร้างความปั่นป่วนไปทั่วทุกพื้นที่

จวินเจิ้งตงพาลูกน้องจำนวนหนึ่งเคลื่อนตัวออกจากค่ายทหารตรงไปยังที่พักของท่านแม่ทัพฉี หนึ่งในนั้นกล่าวขึ้นว่า : “ท่านแม่ทัพ อย่ามัวลังเลเลยขอรับ เรารีบลงมือกันเถอะ”

จวินเจิ้งตงเกิดความลังเลอยู่เล็กน้อย : “ท่านแม่ทัพฉีเกิดมาเพื่อเป็นม้าศึก ไม่ควรทำเช่นนี้ ข้าขอทำความเคารพเขาสามครั้งก่อนแล้วค่อยว่ากัน”

กล่าวจบจวินเจิ้งตงก็กราบคำนับท่านแม่ทัพฉีสามครั้ง : “ท่านแม่ทัพฉี จวินเจิ้งตงเสียใจอย่างสุดซึ้ง ขอส่งท่านแม่ทัพด้วยวิธีการนี้”

กล่าวจบจวินเจิ้งตงก็หยิบมีดตัดฟืนขนาดใหญ่ออกมาพลางเดินไปหาท่านแม่ทัพฉี เขาต้องการตัดศีรษะของท่านแม่ทัพฉี

ทันทีที่มีดฟันลงไป เลือดสีแดงสดก็สาดกระจาย……

“ท่านพ่อ!”

ฉีเฟยอวิ๋นตื่นตกใจกลางดึก ลุกพรวดขึ้นมานั่งบนเตียง ตกใจกลัวจนเหงื่อออกเปียกชุ่มไปทั่วทั้งตัว

หนานกงเย่โบกมือข้างหนึ่ง ทำการจุดตะเกียงมากมายในห้องด้วยพลังภายในของตนเอง ฉีเฟยอวิ๋นมองไปทางหนานกงเย่ด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยหยดน้ำตา

“ท่านอ๋อง หม่อมฉันฝันว่าศีรษะของท่านพ่อโดดตัดเพคะ”

ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าว นางเจ็บปวดปานจะขาดใจ

ฉีเฟยอวิ๋นกุมหัวใจพลางลงจากเตียง นางเดินแทบไม่ไหว ร่างกายไร้เรี่ยวแรงจะเดินต่อ

หนานกงเย่รีบลงจากเตียงเข้าไปประคองตัวฉีเฟยอวิ๋น จากนั้นก็พานางเดินมาตรงประตูและทำการเปิดหน้าต่างที่อยู่ด้านข้าง เจ้าอีกาน้อยยืนรอข่าวของวันนี้อยู่บนหลังคา แต่ข่าวในคืนนี้ยังมาไม่ถึง นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ฉีเฟยอวิ๋นกระวนกระวายใจ

“ท่านอ๋อง คืนนี้ยังไม่มีข่าวเลย”

“อวิ๋นอวิ๋น เจ้าวางใจเถอะ ไม่มีอะไรหรอก หากมีเรื่อง ข้าจะต้องรู้ก่อน” หนานกงเย่กลัวว่าฉีเฟยอวิ๋นจะทรุด จึงพยายามปลอบใจนาง

ฉีเฟยอวิ๋นเองก็คิดว่ามันไม่มีปัญหา แต่นางก็ยังไม่วางใจไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด

หลังจากยืนอยู่ตรงนั้นชั่วครู่นางก็กลับเข้าไป แต่จะทำอย่างไรก็นอนไม่หลับ

หลับตาลงก็เห็นแต่ภาพเลือดสีแดงฉานที่สาดกระจายของท่านแม่ทัพฉี

เข้าวันรุ่งขึ้นฉีเฟยอวิ๋นเพิ่งจะได้หลับไปชั่วครู่

แต่เมื่อถึงยามราตรีฉีเฟยอวิ๋นกลับลุกขึ้นมาและลงจากเตียงหากิจกรรมทำฆ่าเวลา แต่ก็ยังไม่มีข่าวใดส่งมา นางจึงยิ่งเป็นกระวนกระวายใจ ในเวลานี้กลับเป็นท่านอ๋องตวนที่เสด็จมาแทน เห็นแล้วก็ยิ่งอารมณ์เสีย เขาเอ่ยแต่เรื่องที่ไม่น่าฟังทั้งสิ้น

“ท่านอ๋องตวนอายุก็ไม่น้อยแล้ว อายุมากกว่าท่านอ๋องเย่เสียด้วยซ้ำ เหตุใดถึงไม่เอาถ่านเช่นนี้ ยังจะมาตามหาพระชายาตวนในจวนข้าอีก หากท่านอ๋องตวนยังเป็นเช่นนี้ต่อไป อัตราส่วนที่พระชายาตวนจะไปแล้วไม่กลับคงมีเหลือไม่มากนัก”

ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นและเดินออกไป ท่านอ๋องตวนที่กำลังหัวเสียจึงได้ลุกขึ้นพร้อมชี้หน้าด่าฉีเฟยอวิ๋น : “ข้ามาตามหานางแล้วมันไปล่วงเกินเจ้าตรงไหนไม่ทราบ คอยดูเถอะน้องสามจะต้องทิ้งเข้า!”

ฉีเฟยอวิ๋นหันกลับไปเลิกคิ้วสูง จากนั้นก็แสดงสีหน้าดูถูกละคนขบขัน : “ท่านก็ลองดูสิ”

“เจ้า….อยู่ต่อหน้าข้า เจ้ายังกล้าสามหาวเช่นนี้!” ท่านอ๋องตวนโกรธเกรี้ยวอย่างมาก

ฉีเฟยอวิ๋นยังคงมองไปทางเขาด้วยแววตาเยาะเย้ย จากนั้นก็หมุนตัวและเดินไป

หนานกงเย่ยืนกุมมือไขว้หลังอยู่ด้านข้าง เขาไม่พอใจอย่างชัดเจน เอะอะก็จะให้เขาทิ้งพระชายา การใช้ชีวิตแบบสามีภรรยาของพวกเขา เกี่ยวอะไรกับเขาไม่ทราบ?

“น้องสาม เจ้ารู้เห็นเป็นใจกับนางใช่หรือไม่?” ท่านอ๋องตวนไม่สนใจท่าทางเชิดปลายคางอย่างเย่อหยิ่งของฉีเฟยอวิ๋น

หนานกงเย่ต้องปกป้องภรรยาของตนเองอยู่แล้ว : “พี่รอง เจ้าไปตามพระชายาตวนกลับมาให้ได้ก่อนเถอะ ที่พระชายาตวนจากไปครานี้ จะต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องที่นางถูกขังอยู่ในวังเป็นแน่ การขังนางอยู่แต่ในวังไม่ใช่วิธีการที่ดีนัก ไม่สู้ถามพระชายาตวนดูสิว่าจะเอาอย่างไร แก้ไขให้ถูกต้องถึงจะมีโอกาสกลับมารักกันอีกครั้ง”

หนานกงเย่เกลี้ยกล่อมด้วยความหวังดี

ท่านอ๋องตวนมองไปทางเขาด้วยสายตาเย็นชา : “เจ้ากล้าวิจารณ์ข้า ข้าขอตัวลา!”

ท่านอ๋องตวนโกรธฉุนเฉียวมาก เขาหมุนตัวเดินออกจากจวนอ๋องเย่ไปทันที

หนานกงเย่มองไปทางท่านอ๋องตวนที่จากไป จากนั้นก็กลับมาหาฉีเฟยอวิ๋น

“เขาเองก็น่าจะร้อนใจเช่นกัน” หนานกงเย่ประคองตัวของฉีเฟยอวิ๋นพลางอธิบาย

ฉีเฟยอวิ๋นพยักหน้า : “หม่อมฉันทราบดี หม่อมฉันเองก็เป็นกังวลเช่นกัน จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีข่าวคราวใด แต่ตราบใดที่เขายังสามารถช่วยท่านอ๋องแบกรับภาระหน้าที่ได้ เมืองหลวงก็จะไม่มีเรื่องให้ท่านอ๋องต้องปวดใจ”

“ไม่ถึงเพียงนั้นหรอก เขามีความสามารถของเขา แค่อวิ๋นอวิ๋นไม่รู้เท่านั้น”

“คงเป็นเช่นนั้น”

สามีภรรยาพูดคุยกันอีกครู่ใหญ่จนกระทั่งฉีเฟยอวิ๋นพักผ่อนไปได้ไม่นาน ก็ต้องเจอกับท่านแม่ทัพฉีในความฝัน และสะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกครั้ง