องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 415 เดินทางไปชายแดน
เมื่อตื่นขึ้นมาในครั้งนี้ ฉีเฟยอวิ๋นก็แทบรอไม่ไหว
และออกมาจากในห้อง ฉีเฟยอวิ๋นถามอาอวี่ว่าหนานกงเย่ไปไหน
“ท่านอ๋องทรงเสด็จเข้าไปในวังพ่ะย่ะค่ะ”
“วันนี้มู่เหมียนมาที่นี่หรือไม่?” ฉีเฟยอวิ๋นต้องการไปที่ชายแดน ดังนั้นนางจึงต้องการนำคนไปด้วย
“มาแล้วพ่ะย่ะค่ะแต่ถูกท่านอ๋องไล่ออกไป” อาอวี่ไม่เข้าใจ ท่านอ๋องจะทำเช่นนี้ไปถึงเมื่อไหร่ เขาดูไม่ชอบหน้ามู่เหมียนมาก
“เช่นนั้นเจ้าไปเชิญมู่เหมียนมา” ฉีเฟยอวิ๋นต้องการออกจากเมือง จึงต้องพามู่เหมียนไปด้วย มู่เหมียนเคยเรียนรู้จากผู้อื่นมาหลายปี ดังนั้นจึงเป็นการดีที่จะมู่เหมียนไปด้วย
“พ่ะย่ะค่ะ”
หลังจากที่อาอวี่จากไป ฉีเฟยอวิ๋นก็มองไปที่เจ้าจิ้งจอกน้อย:“ไปหาอวิ๋นหลัวฉวน”
เจ้าจิ้งจอกน้อยวิ่งไปอย่างรวดเร็ว
ฉีเฟยอวิ๋นเฝ้ามองดูเจ้าจิ้งจอกน้อยจากไป และไปที่เรือนจู่อวิ๋นใจ
ไม่ง่ายเลยที่นางจะไปหาอวิ๋นหลัวฉวน
เมื่อมู่เหมียนมาถึงประตู นางก็บังเอิญเจอกับอวิ๋นหลัวฉวนที่อยู่ใกล้ ๆ หลังจากที่ทั้งสองมาถึงจวนอ๋องเย่แล้วก็เดินตรงไปที่เรือนจู่อวิ๋นใจ
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกเหนื่อย จึงเอนตัวลงนอนอยู่ในห้อง โดยมีหงเถาและลี่ว์หลิ่วคอยเฝ้าอยู่ข้าง ๆ
มู่เหมียนเดินเข้ามาก่อน นางรู้ว่าหนานกงไม่อยู่ จึงเดินพรวดพราดเข้ามาโดยไม่ได้เคาะประตู
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกเหนื่อย และกำลังจะหลับตาลงเพื่อพักผ่อน แต่เมื่อได้ยินเสียงคนเดินบุ่มบ่ามเข้ามา ฉีเฟยหอวิ๋นก็ลืมตาขึ้น
และไม่แปลกใจที่เห็นมู่เหมียน เพราะหากมู่เหมียนเดินเข้ามาเงียบ ๆ นางถึงจะต้องแปลกใจ
“วันนี้เป็นอย่างไรบ้าง?” มู่เหมียนนั่งลงข้าง ๆ ฉีเฟยอวิ๋น และมองดูท้องที่ใหญ่จนน่าตกใจของฉีเฟยอวิ๋น นางก็เคยเห็นคนตั้งครรภ์มามาก แต่ไม่เคยเห็นคนตั้งครรภ์ที่ท้องโตเหมือนฉีเฟยอวิ๋น นี่เป็นครั้งแรกที่มู่เหมียนได้เห็น
ฉีเฟยอวิ๋นฝืนยิ้ม:“ก็ดี”
“แบบนี้ดีหรือ เห็นใบหน้าที่บวมเปล่งของเจ้าแล้ว ข้าตกใจแทบแย่” มู่เหมียนยื่นมือออกไปบีบแก้มของฉีเฟยอวิ๋น ลี่ว์หลิ่วจึงรีบมาขวางไว้
“จวิ้นจู่อย่าทรงทำเช่นนี้เลยเพคะ หากท่านอ๋องทรงรู้ จะทรงหึงหวงอีก” ในตอนนี้ทุกคนในจวนต่างก็รู้ว่าท่านอ๋องไม่เพียงแต่หึงหวงที่พระชายาจะชอบผู้ชายเท่านั้น แต่ยังหึงหวงที่พระชายาทรงชอบผู้หญิงด้วย และมู่เหมียนจวิ้นจู่ก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วยเช่นกัน
มู่เหมียนเหลือบมองลี่ว์หลิ่วอย่างเฉยเมย:“เขาไม่อยู่ จะกลัวอะไร?”
ลี่ว์หลิ่วตกใจจนเกือบจะร้องไห้:“จวิ้นจู่โปรดไว้ชีวิตลี่ว์หลิ่วด้วยเพคะ”
“เอาล่ะ พวกเจ้าออกไปก่อน ข้ามีเรื่องจะพูดคุยกับจวิ้นจู่”
“เพคะ” เถาหงและลี่ว์หลิ่วถอยออกไป ฉีเฟยอวิ๋นมองไปที่มู่เหมียน และพูดเรื่องที่ต้องการไปชายแดน
มู่เหมืียนจึงกล่าวว่า:“ข้ารู้ว่าที่เจ้าเรียกหาข้าต้องไม่ใช่เรื่องดี ที่แท้ก็เป็นเรื่องนี้ คราวก่อนก็เรื่องนี้ และคราวนี้ก็เป็นเรื่องนี้อีก หรือว่าเจ้าไม่คิดจะให้ทำเรื่องอื่นบ้างเลยหรือ?”
“ท่านพ่อของข้าอยู่ที่ชายแดน เป็นตายยังไม่รู้แน่ ท่านอ๋องทรงไม่สามารถปลีกตัวได้ ข้าต้องการจะไปเห็นท่านพ่อด้วยตาของตัวเอง ข้าถึงจะวางใจ ข้าไม่มีใครไปเป็นเพื่อน หากเจ้ายินดีที่จะไปเป็นเพื่อนข้า เราก็ไปด้วยกัน แต่หากไม่ได้ก็ไม่เป็นไร”
“ฮึ!เรื่องดี ๆ ไม่เรียกหาข้า พอเป็นเรื่องเช่นนี้ เจ้ากลับเรียกหาข้า” มู่เหมียนไปนั่งลงข้าง ๆ และไม่อยากจะสนใจฉีเฟยอวิ๋น
อวิ๋นหลัวฉวนผลักประตูและเดินเข้ามา:“ข้าจะไป”
อวิ๋นหลัวฉวนสวมชุดสีม่วง เมื่อเข้ามาแล้วก็ปิดประตู นางมองไปที่มู่เหมียนและเดินไปหาฉีเฟยอวิ๋น:“นางไม่ไป แต่ข้าไป”
ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นนั่ง:“เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ”
“เฮ้อ……ข้าบอกเมื่อไหร่กันว่าจะไม่ไป” มู่เหมียนลุกขึ้นและทำหน้าไม่พอใจ
อวิ๋นหลัวฉวนกล่าวว่า:“ข้าได้เตรียมรถม้าไว้แล้ว ในเมื่อเจ้าจะไปที่ชายแดนด้วย เช่นนั้นเราออกเดินทางกันคืนนี้”
“คืนนี้ไม่ได้ พวกเราต้องไปกันเดี๋ยวนี้เลย ต้องฉวยโอกาสตอนที่ท่านอ๋องเย่เข้าไปในวัง”
“ก็ดี ข้าจะไปเตรียมของ เจ้าเอาไปเฉพาะของที่จำเป็นและออกเดินทางในทันที”
อวิ๋นหลัวฉวนหันหลังเดินออกไป มู่เหมียนดูตกตะลึง:“ทำไมเจ้าถึงทำเช่นนี้ ท้องของเจ้าใหญ่มาก หากเกิดอะไรขึ้น จะทำอย่างไร”
ฉีเฟยอวิ๋นลุกจากเตียง:“มู่เหมียน เจ้าเตรียมไปเจรจาเรื่องออกนอกเมือง”
มู่เหมียนขี่หลังเสือแล้วยากที่จะลง นางเหลือบมองท้องของฉีเฟยอวิ๋น:“เช่นนั้นเจ้าก็ต้องระวังตัวด้วย!”
“เจ้าก็เช่นกัน”
มู่เหมียนหันหลังเดินออกไป ฉีเฟยอวิ๋นไปที่หน้าประตู และเห็นใบหน้าที่ซีดเผือดของอาอวี่ อาอวี่ดูทำอะไรไม่ถูก:“พระชายาจะก่อเรื่องวุ่นวายไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ พระชายาทรงทำเช่นนี้ก็เท่ากับเอาชีวิตไปทิ้งที่ชายแดน?”
“ต่อให้ตายก็ต้องไป ข้าไม่ได้รับข่าวคราวของท่านพ่อมาหลายวันแล้ว จะต้องมีอะไรเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ข้าต้องไป หากเจ้าจะไปกับข้าก็ไป หากเจ้าไม่ไป ข้าก็ขอสั่งให้เจ้าหุบปาก”
ฉันจะไป ถ้าพ่อไปกับฉัน ฉันจะต้องหุบปาก”
“พระชายา ไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ” อาอวี่ต้องจะจากไป ฉีเฟยอวิ๋นยกมือขึ้น อาอวี่ตัวแข็งทื่อ และล้มลงไปนอนบนพื้น
ฉีเฟยอวิ๋นเหลือบไปหงเถาและลี่ว์หลิ่ว:“พวกเจ้ารีบไปเก็บของ และตามข้าไปที่ชายแดน”
“เพคะ” หงเถาและลี่ว์หลิ่วรีบถอยหลังไป จากนั้นก็แยกย้ายกันไปพาแม่นมและหมอโจวออกไป
หมอโจวเคยชินกับเรื่องเช่นนี้ มีพระชายาอยู่ ต่อให้ฟ้าจะถล่มเขาก็ไม่แปลกใจ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะออกไปรักษาผู้คนนอกเมืองเลย
หมอโจวถูกหงเถาหลอก และหมอโจวก็ไม่สงสัยเลย เขาจึงตามหงเถาออกไป
แม่นมอู๋รู้ทุกอย่างและตามลี่ว์หลิ่วออกไป นางไม่กลัวเลยแม้แต่เลย และบอกกับครอบครัวว่านางไปกับลี่ว์หลิ่ว
ฉีเฟยอวิ๋นไม่อาจอยู่ลำพังได้ นางจึงพาคู่สามีภรรยาชราและลูก ๆ ไปด้วย
คนทั้งสามกลุ่มออกจากเมืองหลวงโดยไม่เป็นที่สงสัยของผู้คน ฉีเฟยอวิ๋นนำยาสมุนไพร กล่องยาและกู่ฉินหลวนเฝิ่งไปด้วย
เมื่อออกมานอกเมืองแล้ว ไม่นานฉีเฟยอวิ๋นก็เห็นคนของอวิ๋นหลัวฉวน อวิ๋นหลัวฉวนเตรียมรถม้าสำหรับการเดินทาง และดูเหมือนจะไปเป็นครอบครัว
รถม้าสามคัน และคนสามสิบคนมุ่งหน้าไปยังชายแดน
ระหว่างทางอวิ๋นหลัวฉวนและมู่เหมียนปลอมตัวเป็นบุรุษ ในฐานะน้องชายทั้งสองคนของฉีเฟยอวิ๋น และที่เหลือก็กลายเป็นครอบครัว
หลังจากที่กลับมาจากในวัง หนานกงเย่ก็ตรงไปที่สวนดอกกล้วยไม้ ในลานบ้านเงียบผิดปกติและไม่มีผู้คน
“อวิ๋นอวิ๋น”
เมื่อเข้าไปข้างใน หนานกงเย่ก็ตะโกนเรียก แต่ไม่มีใครตอบเลย
บนโต๊ะมีกระดาษวางอยู่หนึ่งแผ่น
หนานกงเย่เจ็บปวดใจและหยิบขึ้นมาอ่านอีกครั้ง ดูเหมือนว่านางจะออกจากเมืองหลวงแล้วไปที่ชายแดน นางบอกเขาว่าอีกไม่นานก็จะถึงชายแดนแล้ว และบอกเขาว่าไม่ต้องเป็นห่วง
“ท่านอ๋องไม่ต้องเป็นห่วง ไม่เกินสองสามวันก็คงจะถึงอย่างปลอดภัย พวกเราไปกันไม่น้อยเลย กองทัพต้องใช้เวลาหนึ่งเดือน แต่พวกเราจะใช้เวลาเพียงแค่ไม่กี่วัน ท่านอ๋องต้องจัดการเรื่องต่าง ๆ ในเมือง ไม่ต้องเป็นห่วงหม่อมฉันนะเพคะ ด้วยความเคารพ อวิ๋นอวิ๋น”
สีหน้าของหนานกงเย่มืดมน จึงออกไปตามหาอาอวี่ แต่เมื่อหาไม่พบ เขาก็ทุบโต๊ะหินที่อยู่ในลานบ้าน เสียงดังปัง และทำให้ทุกคนในจวนต่างตกใจ หากไม่รู้ก็คงคิดว่าท่านอ๋องกำลังจะรื้อบ้าน
พ่อบ้านคุกเข่าลงบนพื้นและไม่กล้าลุกขึ้น หนานกงเย่ลงโทษคนทั้งจวนอย่างรุนแรง
ฉีเฟยอวิ๋นเดินทางเป็นเวลาเจ็ดแปดวัน จึงจะเห็นชายแดน พวกเขาเดินทางทั้งวันทั้งคืน จนฉีเฟยอวิ๋นปวดเมื่อยไปทั้งตัว
ทุกคนดูไม่เป็นไร มีเพียงนางที่ปวดเมื่อยไปทั้งตัว และไม่ยอมลงมาจากรถม้า
“พวกเราพักกันก่อนเถอะ” อวิ๋นหลัวฉวนเปิดม่านรถม้าและมองดู
“ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่ดี ไม่เหมาะที่พวกเราจะพักผ่อน ไม่มีนกหรือสัตว์อยู่เลย”
มู่เหมียนลงจากรถม้าและมองไปรอบ ๆ
อวิ๋นหลัวฉวนส่ายหัว เพื่อบอกใบ้มู่เหมียนว่าอย่าพูด
ฉีเฟยอวิ๋นรู้ว่าทุกคนคล้อยตามนาง และการเดินทางก็ล่าช้ามากแล้ว
“ไม่ต้องพักแล้ว พวกเราเดินทางกันต่อเถอะ ไปจากที่นี่ก่อน แล้วค่อยไปพักข้างหน้า พรุ่งนี้พวกเราก็น่าจะไปถึงที่หมายแล้ว”
ฉีเฟยอวิ๋นปิดม่านบนรถม้าลง แม้ว่านางจะรู้สึกไม่สบายใจ แต่ก็ต้องอดทนไว้