บทที่ 416 อ๋องตวนมาช่วย

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 416 อ๋องตวนมาช่วย
แม่นมอู๋กล่าวว่า:“วันนี้พระชายาทรงเสวยได้น้อยนะเพคะ เห็นได้ชัดว่าพระวรกายไม่ค่อยสบาย หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าจะไม่ดีนะเพคะ”

หญิงชรากล่าวอย่างกังวลว่า:“พวกเราเดินทางผ่านสถานที่ต่าง ๆ มามากมาย สถานที่เช่นนี้มักจะเกิดเรื่องได้ง่าย แต่ก่อนพวกเราจะต้องหลีกเลี่ยงสถานที่เช่นนี้”

อวิ๋นหลัวฉวนเป็นผู้นำทัพที่ยอดเยี่ยม นางคุ้นเคยกับตำราทางการทหารมาตั้งแต่เด็ก และย่อมเข้าใจวิธีการจัดกองกำลังทหาร นางจะไม่รู้ได้อย่างไร แต่นางเป็นห่วงเรื่องร่างกายของฉีเฟยอวิ๋นมากกว่า

“คุณชายอวิ๋น ตอนนี้ท้องฟ้าใกล้จะมืดแล้ว ต้องรีบตัดสินใจ” หญิงชราเตือนอวิ๋นหลัวฉวน

การเดินทางครั้งนี้ทุกคนต่างเรียกอวิ๋นหลัวฉวนว่าคุณชายอวิ๋น และเรียกมู่เหมียนว่าคุณชายมู่ และทุกคนล้วนเชื่อฟังคำสั่งของอวิ๋นหลัวฉวน

อวิ๋นหลัวฉวนและมู่เหมียนมองหน้ากัน:“พักผ่อนกันเถอะ”

“ไม่ได้นะ ไปเดี๋ยวนี้เลย ต้องออกไปจากที่นี่ก่อนที่จะมืด อย่าให้ข้าเพียงคนเดียวต้องเป็นภาระของทุกคน ข้ายังไหว ตอนนี้ยังเหลือเวลาอีกสองชั่วยาม เอาตามนี้เถอะ” ฉีเฟยอวิ๋นมองไปที่อวิ๋นหลัวฉวนที่ต้องการจะพักผ่อน และยับยั้งไว้ในทันที

อวิ๋นหลัวฉวนและคนอื่น ๆ หันไปมองใบหน้าที่แน่วแน่ของฉีเฟยอวิ๋นที่อยู่ในรถม้า และลังเลอยู่ครู่หนึ่ง

อวิ๋นหลัวฉวนกล่าวว่า:“ไปกันเถอะ”

ม่านบนรถม้าถูกปิดลง ฉีเฟยอวิ๋นถอนหายใจด้วยความโล่งอก และหวังว่าจะออกไปจากที่นี่ได้อย่างปลอดภัย

เมื่อพวกเขากำลังจะออกไปก็เกิดความปั่นป่วนในป่า และเจ้าอีกาน้อยที่อยู่ในรถม้าก็บินไปที่ไหล่ของฉีเฟยอวิ๋น และฉีเฟยอวิ๋นก็กล่าวว่า:“มีคนกำลังมา”

“รู้แล้ว” อวิ๋นหลัวฉวนมองไปรอบ ๆ แต่เมื่อมืดแล้วก็มองเห็นอย่างไม่ชัดเจน อวิ๋นหลัวฉวนจึงเป็นกังวล

“มู่เหมียน เจ้าอย่าอยู่ห่างจากรถม้านะ ต้องปกป้องท่านพี่เสียนเฟยให้ดี”

“ไม่ต้องห่วง เจ้าก็ระวังตัวด้วย!”

ในขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกัน ก็มีเสียงดังมาจากบนฟ้า อวิ๋นหลัวฉวนเงยหน้าขึ้นมองและลูกธนูก็ยิงมารอบ ๆ มู่เหมียนผลักอวิ๋นหลัวฉวนออกไปและยับยั้งลูกธนูไว้

“ทุกคนรีบเข้าไปหลบในรถม้า ส่วนที่เหลือรอซุ่มโจมตี”

แม่นมอู๋และพวกนางไม่ได้ลงมาจากรถม้า และแต่งตัวเป็นข้ารับใช้อยู่ข้างนอก ในเวลานี้ ทุกคนลงจากรถเพื่อไปซุ่มโจมตี อวิ๋นหลัวฉวนหันหลังและกระโดดขึ้นไปบนรถม้าและดึงธนูที่แขวนอยู่ที่รถม้าออกมา นางง้างธนูและเล็งไปที่ทิศทางหนึ่ง ลูกธนูที่พุ่งออกไปมีดินปืนอยู่ที่ลูกธนู และเมื่อจุดไฟแล้ว ลูกธนูก็ไปตกลงไปในป่าและเกิดไฟไหม้

มู่เหมียนนำขลุ่ยหยกที่อยู่ด้านหลังออกมาเป่า

ผู้ที่ลงมือกลิ้งลงไปบนพื้นและส่งเสียงร้องอย่างน่าเวทนา

ฉีเฟยอวิ๋นนำกู่ฉินหลวนเฝิ่งออกมาและดีด ในป่ารอบ ๆ มีคนที่ล้มลงกับพื้นและมีเลือดไหลออกมาจากหู

หงเถาและลี่ว์หลิ่วที่อยู่ในรถม้ากับฉีเฟยอวิ๋นเอามือปิดหูไว้ ในเวลานี้ไม่ได้ยินอะไรเลยและคนอื่น ๆ ก็เช่นกัน

เมื่อสภาพแวดล้อมรอบ ๆ สงบลง อวิ๋นหลัวฉวนก็เปิดม่านบนรถม้าและพยักหน้าให้ฉีเฟยอวิ๋น จากนั้นฉีเฟยอวิ๋นก็วางมือและพักผ่อน

รถม้ายังคงเคลื่อนต่อไป และเมื่อเคลื่อนไปข้างหน้าก็มีคนอีกกลุ่มหนึ่งออกมา คนเหล่านี้ค่อนข้างแปลก พวกเขาเสื้อผ้าที่ขาดรุ่งริ่ง เมื่อมองผ่านแสง ดวงตาของพวกเขาเป็นสีเขียวและร่างกายของพวกเขาเป็นสีคล้ำ

อวิ๋นหลัวฉวนเปิดม่านบนรถม้า ฉีเฟยอวิ๋นมองดูอยู่ครู่หนึ่ง:“คนของจงชินมาแล้ว พวกเขาเป็นผีดิบ ไร้ความรู้สึกเจ็บปวด ฆ่าก็ไม่ตาย แม้แต่การฆ่าด้วยเสียงก็ไร้ประโยชน์”

“ใช้พิษ”

มู่เหมียนถาม ฉีเฟยอวิ๋นส่ายหัว:“ไร้ประโยชน์ นอกเสียจากว่าเจ้าแห่งอีกาจะมาที่นี่ แต่ในตอนนี้เจ้าแห่งอีกาไม่ได้อยู่ที่นี่ เจ้าอีกาน้อย เจ้ามีวิธีหรือไม่?”

ฉีเฟยอวิ๋นถาม เจ้าอีกาน้อยส่งเสียงร้องกากา ฉีเฟยอวิ๋นขมวดคิ้ว:“เช่นนั้นก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว และคิดได้เพียงการใช้ไฟโจมตีเท่านั้น”

อวิ๋นหลัวฉวนหยิบธนูไปจากรถม้า และโยนไปให้มู่เหมียนด้วย มู่เหมียนลงจากรถม้าแล้วกระโดดขึ้นไปบนรถม้า ทั้งสองคนอยู่ข้างรถม้า ส่วนคนอื่น ๆ ที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดีก็หยิบธนูและลงมาจากรถม้า จากนั้นก็ยิงไปที่คนที่เข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว

ไฟที่แผดเผาและเสียงที่กรีดร้อง แต่คนเหล่านั้นยังไม่ตายในทันที พวกเขายังต้องการเข้ามาใกล้

อวิ๋นหลัวฉวนตระหนักได้ว่าสถานการณ์ไม่ดี:“แย่แล้ว พวกมันต้องการให้พวกเราตายไปด้วยกัน มู่เหมียน เจ้าไปก่อน ข้าจะรั้งอยู่ที่นี่”

“เจ้าระวังตัวด้วย”

มู่เหมียนขึ้นไปในรถม้าและต้องการพาฉีเฟยอวิ๋นจากไป แต่ฉีเฟยอวิ๋นตะโกนออกมาว่า:“จะทิ้งฉวนเอ๋อร์ไว้ไม่ได้นะ”

รถม้าหยุดและฉีเฟยอวิ๋นก็เดินออกมา นางนั่งลงแล้ววางกู่ฉินหลวนเฝิ่งไว้บนตัก จากนั้นก็ดีดสียงดัง

เมื่อเสียงพิณดังขึ้น หนึ่งในผีดิบก็มองไม่เห็น ผีดิบถอยหลังไปและยืนแข็งทื่ออยู่นาน แต่หลังจากนั้นพวกมันก็ยังจะเข้าไปใกล้อีก

“แม้ว่ามันจะไร้ประโยชน์ แต่พวกเจ้าต้องมาบนขึ้นรถม้าก่อน ข้าจะหยุดพวกมันไว้ แล้วพวกเราค่อยคิดหาทางออกไปจากที่นี่” ฉีเฟยอวิ๋นไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว

“หากเกิดอะไรขึ้นแล้วจะทำอย่างไร?” มู่เหมียนเป็นกังวล

“ไม่มีเวลาคิดแล้ว”

เสียงพิณของฉีเฟยอวิ๋นได้เริ่มโจมตีผีดิบเหล่านั้นแล้ว ทุกคนก็ขึ้นมาบนรถม้าและกำลังจะจากไป จู่ ๆ จิ้งจอกหางสั้นก็รีบวิ่งตรงออกไปที่ข้างหน้ารถม้า

“มีคนกำลังมา” ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกได้ถึงความดีใจของจิ้งจอกหางสั้น และถอนหายใจด้วยความโล่งอก

มู่เหมียนประหลาดใจ:“ใครมากัน?”

“น่าจะเป้นคนรู้จัก” ฉีเฟยอวิ๋นถือกู่ฉินหลวนเฝิ่งและกลับเข้าไปในรถม้า มีเสียงฝีเท้ามาดังมาจากด้านหลัง พื้นดินสั่นสะเทือน และทำให้ม้าของรถม้ากระสับกระส่าย มันกลัวม้าเหล่านั้นที่กำลังมา

อวิ๋นหลัวฉวนลงจากหลังม้าและหันกลับไปมองด้านหลัง

ม้าศึกนับสิบตัวกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ คนที่เป็นผู้นำสวมชุดเกราะสีดำ สวมหมวกเหล็กและสวมผ้าปิดหน้าสีดำบน เพียงครู่เดียวที่อวิ๋นหลัวฉวนหันไปมองเขา ทหารม้าเหล่านั้นก็พุ่งเข้ามา

เมื่ออวิ๋นหลัวฉวนหันกลับมา รถม้าทั้งสามคันก็ถูกล้อมรอบด้วยทหารม้า และทหารม้าเหล่านั้นก็พุ่งตรงไปยังหล่าผีดิบ จากนั้นบนพื้นก็เต็มไปด้วยซากศพ

ฉีเฟยอวิ๋นจ้องมองไปที่ด้านหลังของชายที่นั่งอยู่บนหลังม้า ดูคล้ายท่านอ๋อง แต่ชายผู้นี้ไม่ใช่ท่านอ๋องอย่างแน่นอน แต่เหมือนจะเป็น……ท่านอ๋องตวน?

ไม่นานผีดิบเหล่านั้นก็ถูกเหยียบย่ำจนกลายเป็นโคลน ฉีเฟยอวิ๋นจึงถามว่า:“ผู้ที่มาเป็นใคร?”

“ผู้น้อยเป็นทหารม้าที่ได้รับคำสั่งให้มาคุ้มกันพระชายาพ่ะย่ะค่ะ” เสียงหนักแน่นดังมาจากบนหลังม้า เห็นได้ชัดว่าปลอมตัวมา ฉีเฟยอวิ๋นจึงไม่ได้พูดอะไร

อวิ๋นหลัวฉวนถามว่า:“เจ้ามาจากตระกูลใด?”

“……”

อ๋องตวนหันไปมองอวิ๋นหลัวฉวนที่อยู่บนรถม้า และมองดูนางอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หันกลับไปโดยไม่ได้ตอบ

อวิ๋นหลัวฉวนงุนงง:“หยิ่งยโส”

อ๋องตวนหันกลับไปมองอวิ๋นหลัวฉวน ก่อนที่จะหันไปมองไปข้างหน้า

อ๋องตวนพาผู้คนออกไปจากป่า และตลอดทางก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก

เมื่อมาถึงที่ปลอดภัยแล้ว รถม้าก็หยุด ฉีเฟยอวิ๋นลงมาจากรถและเดินไปหาอ๋องตวน

ทุกคนกำลังเฝ้าระวังอยู่รอบ ๆ ฉีเฟยอวิ๋นเดินไปหาอ๋องตวน:“ท่านจะไม่พูดคุยกับนางหน่อยหรือ?”

ที่นี่ไม่มีผู้อื่น ฉีเฟยอวิ๋นจึงเปิดโปงอ๋องตวนโดยตรง

“แค่เห็นว่านางไม่เป็นอะไรก็พอแล้ว ไม่รีบร้อน” อ๋องตวนหันมามอง

ฉีเฟยอวิ๋นถามว่า:“ทำไมผู้ที่มาถึงเป็นท่าน ท่านอ๋องล่ะเพคะ?”

“เดิมทีเขาจะมา แต่คราวนี้เป็นข้าที่ขอร้องไว้ ผิดหวังที่ไม่เห็นเขาใช่หรือไม่?”

ฉีเฟยอวิ๋นยอมรับ นี่มันเวลาไหนกันแล้ว เขายังจะหยอกล้ออีก

“ก็ผิดหวังอยู่บางเล็กน้อย แต่ก็เป็นกังวลมากกว่า ท่านมาย่อมดีกว่าเขามา อย่างน้อยก็จะไม่วุ่นวาย เพราะถ้าหากเขามา ในเมืองหลวงต้องวุ่นวายเป็นแน่”

“ข้ากับเขาก็ไม่ต่างกัน เจ้าพูดราวกับว่าหากต้าเหลียงไม่มีเขาก็จะเกิดเรื่องขึ้น หากไปถึงหูของฝ่าบาท เจ้ากับเขาก็คงจะแบกรับไม่ไหว” อ๋องตวนข่มขู่

“ข้าคิดว่าเขาเทียบไม่ได้เลยกับท่าน เขาก็เป็นเพียงแค่คมมีดในมือของพวกท่านเท่านั้น”

ฉีเฟยอวิ๋นถือกู่ฉินหลานเฝิ่งกลับไปที่รถม้า นางเหนื่อยและต้องการพักผ่อน

อ๋องตวนยืนเหม่อลอยอยู่ข้างนอก และครุ่นคิดเกี่ยวกับคำพูดของฉีเฟยอวิ๋น จากนั้นอ่องตวนก็พาผู้คนจากไปก่อนรุ่งสาง