บทที่ 1586+1587

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 1586 กำไลคู่บุพเพ

หล่มโคลนยังคงอยู่ตรงนั้น แต่ตี้ฝูอีหายไปแล้ว…

แทบไม่ต้องเสียเวลาคิดเลย เธอกระโจนเข้าไป ฝ่ามือล้วงลงไปทันที ควานหาเขาในแอ่งโคลน

แต่หลังจากล้วงลงไปกลับสัมผัสถึงตัวเขาไม่ได้เลย คว้าได้เพียงน้ำโคลน

สองมือเธอว่างเปล่า สีหน้าแปรเปลี่ยนทันที

หรือว่าเขาจะหนีออกจากความฝันเธอไปแล้ว?

สมองเธอเกิดเสียงดังหึ่งๆ แทบจะยืนไม่อยู่แล้ว

เธอเกลียดเขาจริงๆ แต่ก็ทนมองเขาตายไม่ได้ และสามารถกล่าวได้ว่าไม่กล้าจินตนาการให้เขาตายเลย…

เธอพยายามสงบสติตัวเองอย่างเต็มที่ สูดหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง ตะโกนเสียงกร้าว “ฝันของข้าข้าคือนาย! หากว่าเขายึดกุมไว้ ก็ส่งกลับขึ้นมาให้ข้า!”

ผ่านไปครู่หนึ่ง ในหล่มโคลนก็มีระลอกคืนกระเพื่อม จากนั้นศีรษะของตี้ฝูอีก็โผล่ขึ้นมา…

ดวงตาเขาปิดสนิทไม่ทราบเช่นกันว่าเป็นหรือตาย…

กู้ซีจิ่วแทบไม่เสียเวลาคิดเลย โผเข้าไปลากเขาออกมาทันที!

ร่างเขาเต็มไปด้วยโคลน แทบจะมองโฉมหน้าเดิมไม่ออกแล้ว นอนแน่นิ่งอยู่แทบเท้าเธอ

เธอทรุดกายลงนั่งยองๆ ร่ายคาถามชำระล้างลงบนร่างเขา ชำระล้างคราบโคลนบนหน้าเขาก่อน เผยให้เห็นดวงหน้าหล่อเหลาของเขา

สีหน้าของเขาขาวซีดอย่างยิ่ง แต่ต้องขอบคุณฟ้าดินแล้ว เขายังมีลมหายใจอยู่

ไม่เสียทีที่เขาเป็นเทพศักดิ์สิทธิ์ พอออกมาจากหล่มโคลนนั้นได้ เขาก็ฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็ว

เพียงไม่นานก็ลืมตาขึ้นมาแล้ว ลุกขึ้นนั่ง

ทั้งสองสบตากันแวบหนึ่ง ตี้ฝูอีเอ่ยขึ้น “เจ้า…”

กู้ซีจิ่วแทบจะหมดเรี่ยวแรงอยู่บนพื้นแล้ว ไม่ทราบเช่นกันว่าเธอถอนหายใจด้วยความโล่งอกหรือว่าเศร้าใจ ครู่หนึ่งก็เปล่งวาจาออกมา “ตี้ฝูอี เห็นแก่ที่ข้าไม่สังหารเจ้า สามารถเพิกถอนการวิวาห์นี้ได้หรือไม่?”

นัยน์ตาดำสนิทคู่นั้นของตี้ฝูอีมองเธออยู่ครู่หนึ่ง เอ่ยออกมาเพียงคำเดียว “ได้!”

กู้ซีจิ่วคาดไม่ถึงว่าเขาจะตอบรับอย่างยินดีเช่นนี้ จึงผงะไปเล็กน้อย มองเขาอย่างคลางแคลง

ตี้ฝูอีสูดหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง ลุกขึ้นยืน กล่าวเรียบๆ ว่า “กู้ซีจิ่ว ร่างนี้เป็นของเจ้า ข้าหวังว่าเจ้าจะถนอมมันให้ดี ถึงอย่างไรก็ไม่ง่ายเลยกว่าจะมันจะเป็นเช่นนี้ได้ เอาล่ะ พวกเราออกไปกันเถอะ การหลบหนีแก้ปัญหาอะไรไม่ได้”

….

เมื่อกู้ซีจิ่วลืมตาขึ้นมา ก็มองเห็นมือตนที่ประสานกันแน่นกับตี้ฝูอีเข้าพอดี และกำไลคู่บุพเพบนข้อมือของทั้งสองคู่นั้นก็เริ่มแตกสลาย สลายเป็นจุดแสงระยิบระยับ ล่องลอยในอากาศ เบาบาง จางหายไป

เธอชักมือตัวเองกลับมาอย่างรวดเร็ว ขณะที่โล่งอกอย่างยิ่งก็รู้สึกราวกับว่าสูญเสียชิ้นส่วนขนาดใหญ่ตรงหัวใจไป เจ็บปวดและว่างเปล่ายิ่งนัก!

เธอจำที่ตี้ฝูอีเคยบอกเอาไว้ได้ กำไลคู่บุพเพวงนี้เป็นตัวแทนของวาสนาระหว่างเขากับเธอ เมื่อสวมกำไลคู่บุพเพไว้ เขาและเธอจะสามารถสัมผัสถึงการมีอยู่ของอีกฝ่ายได้ หากว่าฝายใดฝ่ายหนึ่งตกอยู่ในอันตรายอีกฝ่ายจะรับรู้ได้ทันที หากฝ่ายหนึ่งสิ้นชีพลง กำไลคู่บุพเพนี้จะแตกหักทันที อีกฝ่ายก็สามารถรับรู้ได้ ไม่อาจปิดบังไว้ได้

เงื่อนไขที่ทำให้กำไลคู่บุพเพแตกสลายมีอยู่สองข้อ หนึ่งคือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสิ้นชีพ สองคืออยู่บนพื้นฐานที่ทั้งสองฝ่ายยินยอมล้มเลิกสัญญาหมั้นหมาย ตัดขาดวาสนาอย่างสิ้นเชิง…

เธอนึกว่าเธอต้องสวมกำไลวงนี้ไปชั่วชีวิต รักใคร่หวงแหนมันไปชั่วชีวิต นึกไม่ถึงเลยว่าเธอจะไม่ใช่เจ้าของมัน ตั้งแต่ต้นจนจบมิใช่สิ่งที่มีอยู่เพื่อเธอเลย

ตี้ฝูอีลืมตาขึ้นช้ากว่าเธอเล็กน้อย วินาทีที่เขาลืมตาขึ้น ได้เห็นยามที่กำไลคู่บุพเพกลายเป็นละอองแสงสลายหายไปพอดี

เขาจ้องมองข้อมืออยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ลุกขึ้นมา มองเธอแวบหนึ่ง สูดหายใจเบาๆ “การหมั้นหมายนี้เพิกถอนเรียบร้อยแล้ว เจ้าเป็นอิสระแล้ว ซีจิ่ว รักษาตัวด้วย” เขาหมุนกายจากไป

————————————————————————————-

บทที่ 1587 วาสนานำพามาบรรจบ วาสนาจากจรไปจึงร้างลา

กู้ซีจิ่วใจหายอย่างยิ่ง อยู่ด้านหลังเขาเอ่ยถามเสียงหนักประโยคหนึ่ง “ตี้ฝูอี เจ้ารู้แต่แรกแล้วใช่ไหมว่าความทรงจำของข้าไม่ได้หายไป?”

ตี้ฝูอีชะงักฝีเท้า ไม่ได้หันกลับมา “ใช่แล้ว”

“ดังนั้นเจ้าเลยต้องการสังหารข้า จากนั้นก็คืนชีพให้หลานจิ้งเคอสินะ?” นี่คือหนามหยอกอกที่หนักหนาที่สุดในใจเธอ

ตี้ฝูอีค่อยๆ หันกลับมา มองเธออยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็หักใจทำร้ายนางไม่ลงอีก เอ่ยเรียบๆ ว่า “ซีจิ่ว ข้าไม่เคยคิดจะสังหารเจ้าเลย ยังมีอีก ต่อให้เจ้ากับข้าไร้วาสนาต่อกันแล้ว เจ้าก็อย่าได้นำเรื่องวิวาห์ของเจ้ามาล้อเล่น เช่นนั้นผู้ที่เสียเกียรติจะมีเพียงตัวเจ้าเอง เจ้าก็เคยบอกไว้นี่ ใส่ใจเพียงว่าเคยได้ครอง ไม่สนใจตราบชั่วฟ้าดิน ถึงอย่างไรพวกเราก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกันมาแปดปีแล้วมิใช่หรือ? ให้พวกเราอยู่กันด้วยดีจบกันด้วยดีเถิด นับจากวันนี้ไปข้าจะไม่เรื่องอะไรของเจ้าอีก เจ้าก็อย่าได้พะวงถึงข้าอีกเลย…”

กู้ซีจิ่วกำมือจนนิ้วขาวซีด ทว่ามุมปากกลับมีรอยยิ้มหยันบางๆ “ได้!”

ตี้ฝูอีนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนหันหลังจากไป

กู้ซีจิ่วยืนอยู่ที่เดิม ไม่เคลื่อนไหวอยู่เนิ่นนาน จิตใจว่างเปล่าขาวโพลนไปชั่วขณะ

เธอรู้ว่านับแต่นี้ไปขุนเขาสูงสายธารยาวไกลเธอกับเขาจะเป็นคนที่ไม่เกี่ยวข้องกันอีกต่อไปแล้ว ไม่มีทางมาบรรจบกันได้อีก เขาเดินบนหนทางรุ่งโรจน์ของเขา เธอเดินบนหนทางยากเข็ญของเธอ เขาเป็นเทพศักดิ์สิทธิ์ของเขาไป ส่วนเธอก็มีเส้นทางของตัวเองที่ต้องฝ่าฟันเช่นกัน…

ที่แท้วาสนาระหว่างเขากับเธอก็เป็นเช่นนี้ วาสนานำพามาบรรจบ วาสนาจากจรไปจึงร้างลา

วาสนานำพามา เขาดึงดันบุกเข้ามาในโลกของเธอ พังทลายกำแพงที่เดิมทีแกร่งกล้าของเธอ ครองคู่โบยบินกับเธอแปดปี ทำให้เธอเห็นเขาเป็นที่พึ่งของตนไปโดยไม่รู้ตัว เชื่อถืออย่างหมดหัวใจ หลงนึกว่าจะได้อยู่ด้วยกันไปชั่วชีวิต…

วาสนาจากจรไป เขาแยกตัวจากไปอย่างผ่าเผย จากไปอย่างไม่แส เขาบอกว่าต้องการอยู่ด้วยดีจากด้วยดี…

เขาคงจะไม่เคยรู้เลย ความจริงแล้วเธอไม่ได้สนใจชีวิตอมตะไม่แก่ไม่เฒ่ามากขนาดนั้น เธอรู้สึกว่าการที่คนเราเวียนว่ายตายเกิดได้นั้นดีที่สุดแล้วจริงๆ ทุกชาติล้วนไม่จำเป็นต้องแบกรับภาระในชาติก่อน เสมือนการผจญภัยที่แตกต่างกันออกไป จากจุดเริ่มต้นถึงจุดสิ้นสุด ทิวทัศน์ระหว่างสองข้างทางงดงามเป็นที่สุด

ส่วนการเป็นอมตะจะต้องแบกรับความทรงจำมากมายเกินไป พบเจอคนที่คุ้นเคยกันมากเกินไป มนุษย์ยิ่งมีชีวิตยืนยาวมากเท่าไหร่ยิ่งสูญเสียตัวตนดั้งเดิมไปมากเท่านั้น…

เพื่อจะครองรักกับเขาเธอถึงทุ่มเทไขว่คว้าความเป็นอมตะสุดชีวิต เพียงเพื่อได้อยู่ข้างกายกันไปชั่วนิรันดร์ ให้เขาไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไป สองคนจับมือจูงมือกัน ก้าวต่อไปโดยพึ่งพาอาศัยกันและกัน

ยามนี้ในที่สุดเธอก็ได้ชีวิตอมตะมาแล้ว แต่วาสนาของเธอกับเขามีเพียงแปดปีเท่านั้น…

สายตาเธอร่อนลงบนข้อมือซ้ายเปลือยเปล่าของตน ที่ตรงนั้นเคยมีกำไลคู่บุพเพรัดพันอยู่ ยามนี้กลับว่างเปล่าแล้ว

หยกนภาไม่ต้องหึงหวงริษยามันอีกต่อไปแล้ว

ตี้ฝูอีเคยบอกไว้ กำไลนี้มีเพียงคนทั้งสองยินยอมถอนหมั้นกันทั้งสองฝ่ายหรือยามที่ฝ่ายฝ่ายหนึ่งสิ้นชีพเท่านั้นถึงจะสลายไป

วินาทีที่เขาตอบตกลงในความฝันของเธอ กำไลนี้ก็เริ่มแตกสลายแล้ว ไม่มีทางหวนกลับมาอีก

ตอนที่เขายังไม่ตอบรับ ความคิดเธอล้วนวนเวียนอยู่ที่ต้องบังคับเขากลับมาถอนหมั้นให้ได้ ยามนี้เมื่อเพิกถอนไปจริงๆ แล้ว ความรู้สึกเธอเสมือนเหยียบย่างอยู่บนหน้าผาสูงหมื่นจั้งอีกครั้ง

บางทีลึกๆ ในใจของเธอ อาจไม่เคยเชื่อเลยว่าเขาจะไร้เยื่อใยต่อเธอโดยสมบูรณ์แล้ว ต้องการบังคับให้เขาแสดงจิตใจที่แท้จริงออกมา…

ยามนี้ผลลัพธ์ปรากฏแล้ว สุดท้ายเธอก็ว่างเปล่า

….

กู้ซีจิ่วนั่งอยู่ในห้องทั้งวัน ไม่มีใครรู้ว่าสรุปแล้วทั้งวันนี้เธอคิดอะไรอยู่กันแน่ แล้วอะไรคิดหรือไม่

หลานเหยากวงรอคอยอย่างกระวนวายอยู่ตลอด เขาเห็นแล้วว่าตี้ฝูอีจากไปโดยไม่หันกลับมาเลย เดิมทีคิดจะเข้าไปดูกู้ซีจิ่วในห้อง แต่ประตูห้องปิดเอาไว้แน่นสนิท เขาก็ไม่กล้าไปเคาะเช่นกัน

————————————————————————————-