บทที่ 251 ผมเป็นทุกข์เหลือเกิน

อยากง้อเหรอ คุณสามี(เก่า)

เทาเท่ที่รับผิดชอบบากบั่นเลี้ยงดูพ่อแม่มาตลอด เขาคิดไม่ถึงเลยว่า วันหนึ่งพวกเขาสองคนจะคิดวางแผนลับหลังเขา

ตอนนี้เขานึกขึ้นมาได้ว่า ที่ซูซีตั้งใจนั่งข้างเขาในงานเลี้ยงอาหารค่ำคืนนั้น และอยู่ดีๆ สายเสื้อก็ขาดอย่างจงใจ เขารู้สึกว่าตัวเองเป็นไอ้งั่งมาตั้งแต่ต้นจนจบ

หลังจากโซเมนได้ฟังคำอธิบายสั้นๆ จากเขา พลันนึกแปลกใจขึ้นมา “ฉันก็รู้สึกแปลกๆ อยู่หน่อย คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าพวกเขาจะเตรียมการมาอย่างตั้งใจขนาดนี้”

เมื่อก่อนโซเมนและคนอื่นๆ ไม่ค่อยรู้เรื่องของซูซีและวีนามากนัก มีเรื่องเกิดขึ้นมากมายเมื่อไม่นานมานี้ จึงได้เห็นธาตุแท้ของพวกหล่อนชัดเจนขึ้น

จากสัญชาตญาณของนักธุรกิจที่รับรู้ได้อย่างฉับไว โซเมนจึงพูดเตือนเทาเท่ให้ไปตรวจสอบดูสักหน่อย คิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะทายถูก

โซเมนเห็นความเศร้าสลดของเทาเท่ เขาเอื้อมมือไปตบไหล่ปลอบโยนเบาๆ “ช่างมันเถอะ อย่าเศร้าไปเลย บนโลกนี้ยังมีพ่อแม่ที่ห่วยใยลูกจริงๆ และก็ยังมีพ่อแม่ที่ห่วงแต่ตัวเอง นายเพียงแค่โชคไม่ดีที่เจอพ่อแม่แบบนี้”

“เราสองคนเหมือนกัน พ่อฉันก็เป็นแบบนี้ เห็นแก่เงินเห็นเงินเป็นพระเจ้า” ตอนที่โซเมนเอ่ยเอื่อยคำพูดเหล่านี้ออกมา ไร้ซึ่งร่องรอยของความโศกเศร้าในน้ำเสียงเขา มีเพียงความประชดประชันตนเอง

เขามองพฤติกรรมของคนเหล่านี้ที่เรียกตัวเองว่าญาติพี่น้องออกตั้งนานแล้ว เป็นเพียงคนใส่เสื้อผ้าที่ถูกห่อหุ้มด้วยสายเลือดเดียวกันแค่เท่านั้น

ตอนนั้นตระกูลแมคเคนซีขับไล่เขาและแม่ไปต่างประเทศ ไม่มีใครสนใจชีวิตของพวกเขาเลยสักคน เวลานี้เมื่อคุณหญิงแมคเคนซีมีลูกไม่ได้ จึงจำต้องให้เขาลูกชายนอกสมรสผู้ไม่มีตัวตนคนนี้กลับมา อาศัยให้เขามารับช่วงต่อธุรกิจครอบครัว

หรือที่คนในตระกูลแมคเคนซีพูดให้น่าฟังหน่อยก็คือ การกลับภูมิลำเนามาหาบรรพบุรุษ แต่ความเป็นจริงเพียงแค่ไม่ต้องการให้ธุรกิจครอบครัวตกไปอยู่ในมือของคนนอก ดังนั้นจึงต้องเรียกเขากลับมาอย่างช่วยไม่ได้

คำพูดของโซเมนทำให้เทาเท่หัวเราะเยาะตัวเอง ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นแล้วกระดกเหล้าไปอีกแก้ว

ใช่ จิตใจมนุษย์มีหลากหลายประเภท เขาเพียงแค่โชคร้ายไปเท่านั้น ที่ไม่ได้พบเจอพ่อแม่ห่วยใยลูกจริงๆ

หากในวันหน้าเขามีลูกชายและลูกสาว เขาจะไม่ปล่อยให้ลูกๆ ของเขาต้องตกอยู่ในสถานการณ์อันเจ็บปวดและเศร้าสลดเช่นเขาเด็ดขาด เขาจะจับมือของพวกเขาไว้ให้แน่น มอบสิ่งดีที่สุดในโลกแก่พวกเขา ทำให้พวกเขามีความสุขที่สุดและเป็นต้นกำเนิดของครอบครัวอันแสนงดงาม

เวลาสี่ทุ่ม หลังจากอาบน้ำเสร็จสรรพหลินจือเอนกายลงเตียงเตรียมตัวเข้านอน

สองสามวันมานี้เธอชีวิตค่อนข้างวุ่นวาย ฉะนั้นจึงต้องรีบนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ

แต่เมื่อเธอเอนกายลงนอนไม่ทันไร กริ่งประตูก็ดังขึ้น

หลินจือสวมเสื้อผ้าด้วยความสับสนมึนงงแล้วเดินลงไปชั้นล่าง เมื่อเห็นว่าคนที่ยืนอยู่นอกประตูคือเทาเท่ หลินจือไม่รู้ว่าจะพูดอะไรกับเขา

บางทีเธอควรยินดีปรีชา เพราะคราวนี้เขาไม่ได้ปีนหน้าต่างเข้ามา แต่กลับมาเคาะประตูบ้านเธอแทน

“ดึกขนาดนี้คุณ…” หลังจากเปิดประตูออกไปหลินจือกำลังจะเอ่ยถามเขาว่า ดึกขนาดนี้คุณมีธุระอะไร แต่เทาเท่กลับก้าวมาข้างหน้าแล้วสวมกอดเธอไว้ทันใด

“หลินจือ ผมเป็นทุกข์เหลือเกิน” น้ำเสียงของเขาช่างดูโศกเศร้าและสูญเสีย

ปฏิกิริยาแรกของหลินจือเธอคิดว่าไข้หวัดเขากำเริบขึ้นมาอีกแล้ว “คุณเป็นอะไร เป็นไข้อีกแล้วเหรอ”

หลินจือได้กลิ่นเหล้าจากตัวเขาจนฉุดจมูก พลันพูดขึ้นมาอย่างไม่สบอารมณ์ทันที “เทาเท่ คุณเป็นไข้หวัดแล้วยังจะดื่มหนักขนาดนี้ จะทรมานก็คงไม่แปลกหรอกนะ!”

หลังจากสิ้นเสียงหลินจือ ทันใดนั้นเธอพลันรู้สึกเปียกชุ่มบนไหล่ตัวเอง ร่างกายเธอกลับแข็งทื่ออยู่อย่างนั้น

เทาเท่เขา… ไม่ได้ร้องไห้หรอกใช่ไหม

แต่ไหล่ของเธอที่เปียกโชกอยู่นี่คืออะไรกัน

เธอเป่าผมจนแห้งสนิทไปนานแล้ว ก่อนจะออกมาจากห้องน้ำด้วยซ้ำ เป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้เสื้อตัวเองเปียกแบบนี้

“เทาเท่ คุณ…” หลินจือไม่รู้จะพูดอะไรอยู่สักพัก และไม่รู้ว่าต้องใช้คำพูดไหนมาอธิบายความรู้สึกของเธอตอนนี้

เธอรับรู้ได้ว่าเวลานี้อารมณ์ของเทาเท่ดำดิ่งลงอย่างมาก ดังนั้นเธอจึงไม่เลือกที่จะวิ่งไล่ตาม แต่พูดขึ้นมาเบาๆ “ไม่อยากนั่งลงก่อนเหรอ”

คนสองคนยืนกอดกันอยู่หน้าประตูบ้านแบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่อง หลินจือทำได้เพียงแค่ให้เขาเข้ามาด้านในก่อน

เทาเท่ได้ยินคำพูดผ่อนคลายของเธอ จึงสาวเท้ายาวๆ เข้าไปในบ้าน

เมื่อหลินจือเมื่อเห็นดวงตาของเขาแดงก่ำ พลันตกใจขึ้นมา

เทาเท่ร้องไห้จริงๆ เหรอ?

เธอคิดว่าเขาเป็นคนแข็งแกร่งขนาดนั้น คงไม่มีอะไรทำร้ายเขาได้

หลังจากเทาเท่เข้ามาภายในบ้าน เขานั่งลงบนโซฟาในห้องนั่งเล่นของเธอ ยกมือขึ้นมาปิดตาตัวเองแล้วเอนหลังพิงโซฟา หลินจือไม่รู้ว่าตอนนี้เขากำลังอยู่ในอารมณ์ไหน หลังจากปิดประตูบ้านจึงเดินไปรินน้ำอุ่นมาให้เขาหนึ่งแก้ว

“ขอบคุณครับ” เทาเท่รับไปถือไว้ในมือตัวเอง แล้วกล่าวขอบคุณเสียงต่ำ

ในช่วงเวลาเพียงสั้นๆ อารมณ์เขากลับดูสงบลงอย่างมาก ความเปียกชื้นตรงมุมหางตาหายไปแล้ว

หลินจือถามเขาเสียงทุ้มต่ำขณะที่เขากำลังดื่มน้ำ “เกิดอะไรขึ้น?”

แม้เธออยากหลีกเลี่ยงเรื่องเกี่ยวกับเทาเท่สักแค่ไหน แต่สภาพของเขาคืนนี้ดูแย่มากจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นในฐานะเพื่อนบ้าน เพื่อนทั่วๆ ไป หรือกระทั่งในฐานะเพื่อนร่วมงาน เธอควรเป็นห่วงเขาสักหน่อย

เทาเท่ไม่ได้ตอบคำถามเธอตามตรง ทว่ากลับเงยหน้าขึ้นมองเธออย่างเคร่งขรึมแล้วเอ่ยถามว่า “ถ้าวันหนึ่งผมไม่มีอะไรเลย ไม่ใช่ท่านประธานเทาเท่ คุณยังจะรักผมอยู่ไหม”

หลินจือ “…”

คำถามนี้ของเขาเหมือนเป็นหลุมพราง ปัจจุบันที่เขาตำแหน่งดำรงประธานบริษัทฟอเรนากรุป เธอก็ไม่เคยบอกว่ารักเขาสักหน่อย

เธอจะรักหรือไม่รัก ไม่ใช่เพราะว่าเขาเป็นประธานบริษัทฟอเรนากรุปหรือไม่มาตั้งแต่แรก

ฉะนั้นเธอจึงคิดว่าคำพูดนี้ของเขาเป็นหลุมพราง หลุมพรางหลอกให้เธอบอกรักเขาน่ะสิ

แม้ว่าตอนนี้เขาจะดูอ่อนแอ แต่อุปนิสัยที่ชอบคุกคามเธอก็ไม่เคยลดน้อยลงไป

เธอต้องการหลีกเลี่ยงคำถามข้อนี้ จึงหันไปถามเขาว่า “บริษัทคุณมีเรื่องอะไรหรือเปล่า”

เทาเท่เม้มปากแน่นไม่พูดไม่จา

หลินจือรู้สึกว่าช่างไม่สมเหตุสมผลเสียจริง เทาเท่เป็นมีความสามารถแข็งแกร่ง มีสติสัมปชัญญะในการทำงาน เป็นไปไม่ได้ที่จะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับฟอเรนากรุป

ทันใดนั้นความน่าจะเป็นไปได้แย่ๆ ก็ผุดขึ้นมาในหัวเธอฉับพลัน หลินจือหันขวับไปถามเขา “เบลซกำลังมุ่งเป้าหมายมาที่คุณงั้นเหรอ

เทาเท่วางแก้วน้ำในมือลง น้ำเสียงเยือกเย็นเอ่ยขึ้น “แค่พุ่งเป้าหมายมาที่ผม ผมไม่เป็นถึงขนาดนี้หรอก”

เขาไม่เคยกลัวใครหรือว่าสิ่งใดก็ตาม ยิ่งตกเป็นเป้าหมายของเบลซยิ่งไม่กลัว

สิ่งที่ทำให้เขาทุกข์ระทมใจอย่างยิ่งยวดในคืนนี้ คือเรื่องที่ไกอาและวีนาปกปิดและคิดวางแผนกับเขา

เทาเท่เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างหลายปีมานี้ และเรื่องของเขากับซูซีให้หลินจือฟัง เพื่อได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดหลินจือพลันเดือดดาลขึ้นมา

ตอนนั้นไกอากับวีนาบีบบังคับคนให้ตายคามือ เป็นหลินจือที่ไม่เคยคาดคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน แต่เมื่อนึกถึงความทุกข์ระทมไม่มีสิ้นสุดที่วีนาทำกับเธอกระทั่งถึงตอนนี้ และนึกถึงการบีบคั้นของหล่อนในตอนนั้น

หลินจือยิ่งคิดไม่ถึงว่า พวกเขาทั้งคู่ยังจงใจจับคู่ให้เทาเท่กับซูซี

ถูกพ่อแม่ผู้ให้กำหนดคบคิดวางแผนแบบนี้ ไม่น่าแปลกที่เขาจะโศกเศร้าถึงขนาดนี้

อันที่จริงพ่อแม่ที่จัดการเรื่องการแต่งงานของลูกนั้นควรเป็นเรื่องที่ดี แต่สำหรับไกอาและวีนาเห็นได้ชัดว่าทำเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองเพียงเท่านั้น คิดใช้ลูกชายตัวเองเพื่อมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเบลซ เพื่อให้เบลซเก็บความลับนี้ของพวกเขาไว้ตลอดไป

และยังทำให้เธอคิดอีกว่า เทาเท่และซูซีตกหลุมรักกันตั้งแต่แรกเมื่อคราวเจอกันในคืนงานเลี้ยง เช่นนั้นทั้งคู่จึงรักกันปานจะขาดใจตาย ถึงขนาดว่าเทาเท่ขาดซูซีไม่ได้…