“เย็นวันนั้น ไทเฮาเป็นฝ่ายไปที่พระตำหนักอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เช้าตรู่วันถัดไปถึงได้ออกจากพระตำหนักอ๋อง
จากนั้นสองสามวัน เซียวเหยี่ยนก็เคยไปค้างอยู่ที่วังฉางเล่อ เรื่องเหล่านี้เจ้าลองไปสืบถามดูก็รู้
เซียวเหยี่ยนเคยรักไทเฮามาหลายปี ไทเฮาอยู่ในวังหลังไม่ได้เป็นที่โปรดปราน แต่เพียรเข้าหาเซียวเหยี่ยนผู้มีอำนาจ พอเจ้าปรากฏตัว เซียวเหยี่ยนก็เปลี่ยนใจไปหาเจ้า แตกหักกับไทเฮาโดยไม่เสียดาย หากไม่ใช่เพราะไทเฮากับเซียวเหยี่ยนเคยมีความสัมพันธ์อะไรกัน ไทเฮาคงไม่เกลียดเจ้าขนาดนี้”
หลิงอวี้จื้อจำที่เซียวเหยี่ยนเคยบอกได้ ว่าเขาเลิกรักมู่หรงกวานเย่ว์ตั้งนานแล้ว ไม่มีทางที่เมื่อปีที่แล้วเขายังมีความสัมพันธ์เช่นนั้นกับมู่หรงกวานเย่ว์ เธอไม่เชื่อ
“คนที่ผูกพันกันมาสิบกว่าปียังทิ้งกันได้อย่างไร้ความปรานี หากวันหนึ่งเซียวเหยี่ยนไปชอบหญิงอื่น เขาจะทิ้งเจ้าเหมือนที่ทิ้งไทเฮาหรือไม่ อวี้จื้อ ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องเสียใจ เจ้าชอบเซียวเหยี่ยนได้ แต่ไม่ควรรักมากเกินไป มิเช่นนั้นข้าเกรงว่าเจ้าจะรับไม่ไหว”
“หม่อมฉันเชื่อคำที่เขาพูดเท่านั้น”
หลิงอวี้จื้อยังมีแก่ใจดื่มชาเสียที่ไหน เธอรู้ว่ามู่หรงกวานเย่ว์ชอบเซียวเหยี่ยน แต่เธอไม่เคยสัมผัสได้เลยแม้แต่น้อยว่าเซียวเหยี่ยนมีใจให้มู่หรงกวานเย่ว์ ดังนั้นเธอจึงเชื่อเซียวเหยี่ยน
เฉินเซี่ยวหรูยกชาขึ้นดื่มหนึ่งคำ
“ข้าอาจมีบางเรื่องที่ไม่ได้บอกเจ้า แต่ไม่เคยหลอกเจ้าเลย อวี้จื้อ ข้าไม่อยากให้เจ้าเข้ามายุ่งกับเรื่องเหล่านี้จริงๆ และข้าก็ไม่เคยคิดจะทำอะไรเจ้าด้วย”
“ท่านอ๋องพูดจบหรือยังเพคะ ถ้าพูดจบแล้วหม่อมฉันขอตัวลาก่อน ขอบพระคุณท่านอ๋องอย่างยิ่งที่หวังดี”
หลิงอวี้จื้อพูดจบก็ลุกขึ้น พยักหน้าให้เฉินเซี่ยวหรู แล้วออกไปจากห้องทานอาหารส่วนตัวอย่างเร็ว
เฉินเซี่ยวหรูมิได้รั้งหลิงอวี้จื้อไว้ ตอนนี้เห็นหลิงอวี้จื้อตั้งแง่กับเขา ในใจเขาก็ผิดหวังมาก แผนที่วางไว้ก่อนหน้านี้จะมาพังทลายภายในชั่วพริบตาไม่ได้ เขาต้องทำให้หลิงอวี้จื้อไว้ใจใหม่อีกครั้ง
ในสมองหลิงอวี้จื้อสับสนยุ่งเหยิง ถึงแม้จะบอกตนเองว่าอย่าไปฟัง แต่ก็ยังฟังอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เซียวเหยี่ยนไม่มีทางหลอกเธอหรอก
เธอกำผ้าพันคอไว้ ใจลอยตลอดทาง จนถึงพระตำหนักอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ถึงมีสติกลับมา
มั่วชิงเปิดม่านให้เธอ หลิงอวี้จื้อลงจากรถม้า เซียวเหยี่ยนกำลังซ้อมกระบี่อยู่ที่ป่าไผ่ข้างหลังเรือน เขาสวมชุดคลุมสีเข้ม ร่างกายกระชับแข็งแรง ทะลวงฟันไปมาอย่างเร็วอยู่ในป่าไผ่ หลิงอวี้จื้อมองอยู่ไกลๆ ได้ยินแต่เสียงไผ่เสียดสีซู่ซ่า
เมื่อเซียวเหยี่ยนเก็บกระบี่แล้ว หลิงอวี้จื้อก็ปรบมืออย่างอดใจไม่ไหว ดวงตาฉายแววหลงใหลได้ปลื้ม
“โอ้โห อาเหยี่ยน ท่านหล่อมากเลย”
เซียวเหยี่ยนเดินไปตรงหน้าหลิงอวี้จื้อ คำชมของหลิงอวี้จื้อได้ผลมาก ทำให้ใบหน้าเขามีรอยยิ้มจางๆ
“เจ้ามาแล้วหรือ”
“อื้ม ข้าถักผ้าพันคอมา ท่านลองดูสิ”
หลิงอวี้จื้อพูดเสร็จก็เอาผ้าพันคอมาพันบนคอของเซียวเหยี่ยน แล้วพยักหน้าอย่างพอใจ
“ไม่เลว อุ่นหรือไม่เพคะ”
“เจ้าถักเองหรือ”
หลิงอวี้จื้อพยักหน้าอย่างแรง
“ใช่แล้ว มีรางวัลให้ไหม”
เซียวเหยี่ยนเชยคางหลังอวี้จื้อขึ้น จูบที่ริมฝีปากของเธอ
“ของสิ่งนี้ดีมาก เจ้าเป็นคนคิดคำว่าผ้าพันคอหรือ”
“ก็คงใช่แหละเพคะ!”
ถ้าจะให้อธิบายคงยาว หลิงอวี้จื้อจึงยอมรับไปง่ายๆ ในยุคนี้ยังไม่มีเส้นเชือกสีสดใสสักเท่าไหร่ ดังนั้นเธอจึงเลือกเส้นเชือกสีเทา พอถักออกมาแล้วก็เข้ากับบุคลิกของเซียวเหยี่ยนมากทีเดียว
เซียวเหยี่ยนจูงมือหลิงอวี้จื้อ เตรียมพาเธอไปเดินเล่นในป่าไผ่ คำพูดของเฉินเซี่ยวหรูผุดขึ้นมาในความคิดของหลิงอวี้จื้อเป็นระยะๆ เธอทนแล้วทนอีก แต่ก็ทนไม่ไหว ถามว่า
“อาเหยี่ยน เหตุใดท่านถึงช่วยหนุนให้ฮ่องเต้ได้ครองบัลลังก์ล่ะ”