ตอนที่ 530 กระบิดกระบวนสร้างเรื่อง
ในตำหนักเย็นมิเคยมีความคึกคักเยี่ยงนี้มาก่อน เหล่าคนในวังได้ยินว่าอ๋องมู่จะมาจึงทยอยกันจัดเสื้อผ้าอาภรณ์และออกมาต้อนรับ คาดมิถึงว่าพระชายามู่ก็มาด้วยจึงยิ่งครึกครื้นไปกันใหญ่
เรื่องเจอผีนี้เดิมทีฮ่องเต้ได้มอบหมายให้มู่จวินฮานจัดการไปแล้วจึงทรงอนุญาตให้สองสามีภรรยาเข้าออกวังหลวงได้อย่างอิสระ
อันหลิงเกอคาดเดาไว้แล้วว่าต้องมีคนหลบหนีจึงเสนอให้มีการปิดประตูตำหนักเย็นไว้โดยอนุญาตให้เข้าได้ทว่าออกมิได้
เดิมทีแล้วผู้ที่อาศัยอยู่ในตำหนักเย็นย่อมได้รับการปฏิบัติที่มิเป็นธรรมกว่าตำหนักอื่น บัดนี้มาเกิดข่าวลือเรื่องเห็นดวงไฟผีแพร่กระจายไปอีก ก่อนหน้านี้อันหลิงเกอได้ทำการตรวจสอบแล้วมิได้ทำอันใดมากนักเพราะมิอยากแหวกหญ้าให้งูตื่น ในวันนี้การที่นางกับมู่จวินฮานมาตรวจสอบที่นี่อีกครั้งก็เพื่อหาผู้บงการสร้างเรื่อง ‘ดวงไฟผี’ ขึ้นมา
หลังจากอันหลิงเกอตรวจสอบอย่างแน่ชัดแล้วก็ให้องครักษ์จับขันทีผู้หนึ่งมัดไว้และกดลงไป มู่จวินฮานเห็นก็รู้สึกมีโทสะเล็กน้อย “บังอาจนัก ! ”
“บอกมาว่าเหตุใดเจ้าจึงกระทำเรื่องเหล่านี้ในวัง ? เจ้ารู้ว่านี่คือความผิดร้ายแรง ทว่ามีผู้ใดสั่งการเจ้า หากเจ้าสารภาพแล้วบางทีข้าอาจลงโทษสถานเบา ! ” มู่จวินฮานถามเสียงเข้ม ส่วนอันหลิงเกอก็นั่งอยู่ด้านข้างด้วยท่าทางผ่อนคลาย
แต่ขันทีที่ถูกมัดมิกล่าวอันใดออกมาสักคำ เพียงแค่คุกเข่าแล้วใช้สายตาเย็นชาจ้องไปยังอันหลิงเกอ นางจึงส่งเสียง หึ ! อย่างเย็นชาและกล่าวว่า “หลักฐานแน่นหนา หากเจ้ามิยอมบอกว่าผู้ใดบงการอยู่เบื้องหลัง แม้แต่ชีวิตของเจ้าก็มิอาจรักษาไว้ได้ ! ”
คำพูดของอันหลิงเกอทำให้ขันทีและนางกำนัลที่อยู่โดยรอบพากันอกสั่นขวัญแขวนเพราะสัมผัสได้ถึงความโหดเหี้ยมภายในคำพูดเหล่านั้น
ทว่าขันทีคนเดิมยังแสดงท่าทีเด็ดเดี่ยวและองอาจ มิยอมกล่าวอันใดออกมาแม้แต่คำเดียว ไม่ว่าอันหลิงเกอมีความอดทนเพียงใดสุดท้ายมันก็ถูกใช้จนหมด
“หึ ! ช่างเป็นบ่าวที่ซื่อสัตย์ ! ความตายอยู่ตรงหน้าแท้ๆ ก็ยังมิยอมกล่าวความจริงออกมา ! ” มู่จวินฮานจึงเอ่ยเสียงเข้มพร้อมยืนขึ้น ขันทีและนางกำนัลที่อยู่โดยรอบตัวเห็นมู่จวินฮานบันดาลโทสะเยี่ยงนี้ก็พากันคุกเข่าลงด้วยความหวาดกลัวและตอนนี้มีเพียงอันหลิงเกอที่ยังนั่งอยู่ตามเดิม
เมื่อเห็นเยี่ยงนั้นก็ทำให้ขันทีหน้าซีดเผือดทันใดและตระหนักได้ว่าตนต้องตายอยู่ดีจึงตะโกนออกไปเสียงดัง “ขอฝ่าบาทมีพระชนมายุยืนยาวนับหมื่นปี หมื่นหมื่นปี มิช้าก็เร็วจวนอ๋องมู่ต้องพังพินาศ ! ”
เมื่อเหล่าขันทีและนางกำนัลได้ยินคำก็พากันตื่นตกใจ ขันทีผู้นี้บังอาจดูหมิ่นท่านอ๋องมู่ แต่อันหลิงเกอกับมู่จวินฮานตระหนักได้ว่าอีกฝ่ายคิดยั่วยุความสัมพันธ์ระหว่างพวกนางและฮ่องเต้
เมื่อรู้ว่าต้องตาย ขันทีจึงกระโดดขึ้นมาอย่างสุดกำลัง จุดประสงค์ก็เพื่อให้พิษหนอนกู่บนร่างกายไปสู่ร่างกายของมู่จวินฮานซึ่งในช่วงเวลานั้นมู่จวินฮานยังมิทันได้หลบหลีก เหล่าขันทีและนางกำนัลที่กำลังคุกเข่าต่างเห็นเขากำลังจะโดนพิษนั้นเต็ม ๆ
ในเวลานั้นมีนางกำนัลที่อยู่ใกล้มู่จวินฮานที่สุดกระโดดโดยใช้ข้างกายตนบังมู่จวินฮานเอาไว้ ส่งผลให้ร่างกายของนางโดนพิษ ส่วนมู่จวินฮานที่ได้รับความช่วยเหลือไว้ทันก็รู้สึกตื่นตระหนกมากทีเดียว
หลังจากนั้นขันทีจึงโดนองครักษ์ส่วนพระองค์จับไว้และปิดปากเพราะกลัวว่าเขาจักกล่าววาจาหยาบคายดูหมิ่นเบื้องสูงอีก
อันหลิงเกอรู้จักพิษหนอนกู่เป็นอย่างดีเพราะเคยเห็นมาจากหอพิษกู่ แต่คาดมิถึงว่าขันทีที่มิรู้จักแม้แต่ชื่อเสียงเรียงนามจะมีพิษร้ายแรงเยี่ยงนี้ ทั้งยังมีความเคียดแค้นชิงชังพวกตนมาก
ครั้นเห็นร่างกายที่เกร็งกระตุกของนางกำนัลผู้นั้น มู่จวินฮานก็คิดนำตัวของนางเข้าไปที่สำนักหมอหลวงเพื่อดูว่าจักช่วยชีวิตนางได้หรือไม่
อันหลิงเกอเอ่ยปลอบโยน “เป็นดั่งที่ท่านคิดไว้ ข้ารู้ดี ท่านไปจัดการเรื่องตรงหน้าให้เสร็จสิ้นก่อนเถิดเจ้าค่ะ” มู่จวินฮานพยักหน้า “ขอมอบหมายอำนาจทุกอย่างให้เจ้า”
เมื่ออันหลิงเกอได้รับสิทธิ์ความเป็นผู้นำ นางก็เปลี่ยนเป็นเลือดเย็นขึ้นมาทันใด “คนชั่วผู้นี้ ข้าให้โอกาสเจ้าแล้วแต่เจ้ามิรักชีวิตและยังลอบทำร้ายท่านอ๋อง เจ้าคิดว่าตายไปแล้วทุกอย่างจะจบลงหรือ ? ”
ส่วนขันทีผู้นั้นยังแสดงท่าทีมิเกรงกลัวความตาย “ข้าจะทำให้เจ้าบรรลุเป้าหมาย ลงโทษเจ้าตามความผิดที่ก่อคือเผาให้ตายทั้งเป็น”
จากนั้นอันหลิงเกอก็โบกมือแล้วออกคำสั่งให้ทหารลากตัวขันทีผู้นั้นออกไป “ลากตัวไป”
หลังจากนั้นตำหนักเย็นก็กลับมาเงียบสงบและมิมีผู้ใดกล้าก่อเรื่องขึ้นอีก
ผู้ใดก็มิคาดคิดว่าเรื่องวุ่นวายที่เกิดขึ้นหลายครั้งหลายคราในพระราชวังล้วนถูกจัดการให้สงบได้โดยอ๋องมู่และจวนอ๋องมู่ทั้งสิ้น
หลังจากอันหลิงเกอจัดการเรื่องนี้แล้วก็ยังรู้สึกมิวางใจ ส่วนมู่จวินฮานก็เป็นกังวลเช่นกัน หากมีเรื่องเยี่ยงนี้เกิดขึ้นอีกแล้วการจัดการกับมันก็คงมิง่ายเป็นแน่
พลันอันหลิงเกอก็นึกได้ว่าตั้งแต่มู่เหล่าหวางเฟยพาทัวป๋าหลิวลี่เข้ามาในวัง นางยังมิได้ไปเยี่ยมเลยสักครั้งจึงรู้สึกผิดมิน้อย ดังนั้นนางจึงตั้งใจว่าจักไปคารวะในช่วงสองสามวันนี้ แม้เห็นทัวป๋าหลิวลี่แล้วรู้สึกลำบากใจบ้าง อย่างไรก็ต้องเผชิญหน้ากันอยู่ดี
ผู้ใดคาดคิดว่ายังมิทันพ้นประตูก็มีนางกำนัลมารายงานว่ามู่เหล่าหวางเฟยป่วยหนัก
ทันทีที่ได้ยินว่ามู่เหล่าหวางเฟยล้มป่วย อันหลิงเกอก็เกิดความกังวลทั้งยังโทษตนเอง เหตุใดมิคิดว่าเรื่องดวงไฟผีในวังกับเรื่องของทัวป๋าหลิวลี่จะส่งผลต่อมู่เหล่าหวางเฟยจนทำให้ล้มป่วยลงได้
ตอนนี้อันหลิงเกอพุ่งตรงไปในห้องนอนของมู่เหล่าหวางเฟยโดยมิสนใจสิ่งใดและคิดว่าจักพยายามให้ถึงที่สุดเพื่อทำให้มู่เหล่าหวางเฟยหายจากอาการป่วย
หลังวุ่นวายจัดการเรื่องภายในตำหนักเย็นเสร็จ อันหลิงเกอก็รีบมาดูอาการของมู่เหล่าหวางเฟยทันที
นางเรียกหมอหลวงที่ให้การรักษามู่หวางเฟยก่อนหน้านี้มาสอบถาม “ท่านหมอจงบอกความจริงกับข้ามาเถิด”
หมอหลวงผู้นั้นเดิมทีมีสีหน้าลำบากใจอยู่แล้ว ครั้นได้ยินอันหลิงเกอกล่าวเยี่ยงนี้ก็ยิ่งมิกล้าปิดบัง “เรียนพระชายา ข้าน้อยเป็นหมอหลวงมานานหลายปียังมิเคยเจออาการป่วยเช่นเดียวกับมู่เหล่าหวางเฟยมาก่อน ข้าน้อยไร้ความสามารถจึงมิอาจรักษาเหล่าหวางเฟยได้ขอรับ”
“แม้แต่ท่านก็ยังไร้หนทางหรือ ? ” อันหลิงเกอรู้สึกตื่นตกใจอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อเห็นว่าหมอหลวงยังมิสามารถรักษาได้ อันหลิงเกอจึงยิ่งตื่นตระหนกและตัดสินใจว่าจะดูแลมู่เหล่าหวางเฟยด้วยตนเองแล้วค่อยไปปรึกษากับมู่จวินฮาน
ครั้นอันหลิงเกอเข้ามาก็เห็นทัวป๋าหลิวลี่คอยปรนนิบัติรับใช้อยู่ข้างกายมู่เหล่าหวางเฟย เมื่อเห็นอันหลิงเกอแล้วสีหน้าของทัวป๋าหลิวลี่ก็เปลี่ยนไป หลังจากนั้นนางก็คำนับอันหลิงเกอแล้วเดินออกไปอย่างรู้จักกาลเทศะ ส่วนอันหลิงเกอเห็นว่ามู่เหล่าหวางเฟยยังมิได้สติจึงยิ่งเป็นกังวล
หากมู่จวินฮานเห็นหมู่เฟยป่วยกะทันหันเยี่ยงนี้ก็คงเกิดความเจ็บปวดขึ้นในใจมิน้อย นางจึงพยายามดูแลเหล่าหวางเฟยให้ดีที่สุด อวยพรให้อีกฝ่ายแข็งแรงในเร็ววัน มู่จวินฮานจึงสามารถคลายความกังวล
ทางด้านทัวป๋าหลิวลี่เดินออกจากห้องด้วยความรู้สึกปวดใจ เดิมทีนางอยู่ข้างกายของมู่เหล่าหวางเฟยอย่างมิได้รับความเป็นธรรมและหลายวันมานี้นางมิได้พบมู่จวินฮานเลย กระทั่งพบอาการป่วยของมู่เหล่าหวางเฟย เมื่อรู้ว่ามู่จวินฮานมาที่ตำหนักเย็น นางจึงให้นางกำนัลไปเรียนเรื่องนี้ให้เขารับรู้ แต่ผู้ใดจะคิดว่านอกจากมู่จวินฮานไม่มาแล้ว อันหลิงเกอยังช่วงชิงอำนาจในการดูแลปรนนิบัติมู่เหล่าหวางเฟยไปจากนาง
ความรู้สึกไร้ความสุขเยี่ยงนี้ทำให้ทัวป๋าหลิวลี่ยิ่งตำหนิอันหลิงเกอและเกลียดชังสตรีผู้นี้มากยิ่งขึ้นเพราะสิ่งดีๆ ทุกอย่างล้วนตกไปอยู่ที่อีกฝ่าย
ตอนนี้นางมิอาจบันดาลโทสะออกมาได้ ทว่าทันใดนั้นนางก็เกิดความคิดหนึ่งขึ้นมาว่าในเมื่อมู่เหล่าหวางเฟยป่วยอยู่บนเตียงโดยมีอันหลิงเกอดูแลคนเดียว หากเวลานี้มู่เหล่าหวางเฟยถูกพิษ คนที่น่าสงสัยก็คงมีเพียงอันหลิงเกอ
เมื่อคิดได้ดังนั้นทัวป๋าหลิวลี่ก็รอจังหวะตอนที่อันหลิงเกอกลับไปเก็บของที่จวนอ๋องในช่วงเวลาพลบค่ำ นางจึงแอบเข้าไปในห้องของมู่เหล่าหวางเฟยและทำการวางยาพิษลงในถ้วยยา แม้มิถึงแก่ชีวิต ทว่าหากมู่จวินฮานสังเกตเห็นก็คงโมโหมิน้อย
และเป็นเช่นนั้นจริง หลังจากที่เหล่าหวางเฟยดื่มยาพิษลงไปก็หมดสติโดยมิตื่นอีกเลย หลังจากนั้นมู่จวินฮานและทัวป๋าหลิวลี่ก็เดินเข้ามาในห้องพร้อมกัน “เหตุใดสีหน้าของมู่เหล่าหวางเฟยจึงดูแย่เยี่ยงนี้เจ้าคะ ? ”
เป็นทัวป๋าหลิวลี่ที่เอ่ยถามอันหลิงเกอขึ้นมาทั้งยังแสร้งทำเป็นตกใจ “เมื่อวานยังดีอยู่เลย เหตุใดพี่สาวดูแลหมู่เฟยวันเดียวก็…”
ในเมื่อมู่เหล่าหวางเฟยเกิดล้มป่วยอย่างกะทันหันโดยมิมีผู้ใดทราบต้นสายปลายเหตุแม้แต่หมอหลวง ทัวป๋าหลิวลี่จึงจับจุดอ่อนได้จึงเอ่ยถามอันหลิงเกอต่อหน้ามู่จวินฮานโดยมิเกรงกลัว