ตอนที่ 529 สร้างเรื่องผีขึ้นมา
แม้รู้สึกขุ่นเคืองแต่ทัวป๋าหลิวลี่ก็มิกล้าปฏิเสธ ดังนั้นนางจึงเก็บข้าวของเพื่อตามขันทีเข้าวัง
“คารวะมู่เหล่าหวางเฟยเจ้าค่ะ” เมื่อทัวป๋าหลิวลี่ได้พบมู่เหล่าหวางเฟยเป็นครั้งแรกก็รู้สึกประหม่าเล็กน้อย ดังนั้นนางจึงคุกเข่าคำนับอยู่เช่นนั้น
“ลุกขึ้นเถิด เห็นเจ้าซูบผอมเยี่ยงนี้ก็มิอาจเอาเปรียบเจ้าได้เลย” มู่เหล่าหวางเฟยเห็นนางมีรูปร่างบอบบางและมิคิดว่านางจะเป็นคนเอาแต่ใจและหยิ่งผยอง
ทัวป๋าหลิวลี่ได้ยินมู่เหล่าหวางเฟยพูดปลอบใจ แต่ทุกถ้อยคำเป็นการย้ำเตือนมิให้ตนแก่งแย่งชิงดีจึงทำให้บังเกิดความกลัวขึ้นในใจจนมิรู้ว่าควรทำเยี่ยงไร
แค่นิ่งฟังมู่เหล่าหวางเฟยกล่าวต่อ “ข้าเห็นเจ้ามิได้รับการดูแลที่ดีในจวน ร่างกายจึงอ่อนแอลงเยี่ยงนี้ หากให้ท่านอ๋องมาหาเจ้าทุกวันก็คงมิได้ ! ” มู่เหล่าหวางเฟยกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาแบบมิได้ใส่ใจนัก
ทำให้ทัวป๋าหลิวลี่ตระหนักได้ถึงสถานะของตน นางมิเพียงไร้ที่พึ่งในต้าโจวเท่านั้น ยังมิได้รับความโปรดปรานจากมู่จวินฮานจึงรู้สึกเจ็บปวดใจมาก ทว่าขอแค่มีบุตรในครรภ์แล้ว ผู้ใดก็ทำร้ายนางมิได้
“หลิวลี่ทราบดีเจ้าค่ะ ขอบพระคุณมู่เหล่าหวางเฟยที่เมตตา” นางมิกล้าละเลยการตอบกลับมู่เหล่าหวางเฟย
ทางด้านอันหลิงเกอหลังจากพักผ่อนได้มิกี่วันก็ได้ยินข่าวลือจากทัวป๋าหลิวลี่ว่าเจอผีกลางดึกในวัง กระทั่งตื่นตกใจจนแทบหัวใจหยุดเต้นและหวังให้นางเห็นใจ
แต่อันหลิงเกอมิรู้ว่าเรื่องนี้จริงหรือไม่ นางจึงมิกล้าตอบรับโดยง่าย ทำได้เพียงตำหนิทัวป๋าหลิวลี่ไปโดยมิได้ใส่ใจ แม้ในความเป็นจริงแล้วนางยังเฝ้ามองอย่างเงียบ ๆ
เรื่องเจอผีในวังหลวงของทัวป๋าหลิวลี่ผ่านไปได้สองถึงสามวัน อันหลิงเกอก็มิได้ใส่ใจอีก แต่ช่วงนี้มีข่าวลือแพร่สะพัดออกมาว่าเจอผีภายในจวนอ๋องมู่
ซึ่งเป็นเรื่องต้องห้ามที่สุดในจวน อันหลิงเกอเข้าใจว่าหากมิสืบหาต้นตอของเรื่องให้กระจ่างก็จักเกิดเรื่องโกหกมากขึ้นเรื่อย ๆ
หลังจากนั้นอันหลิงเกอจึงเรียกองครักษ์เงาให้ไปสืบข่าวในช่วงนี้จึงได้ทราบว่ามักมีคนเห็นผีกลางดึก แล้วที่แย่กว่านั้นมีคนเห็นวิญญาณออกมาเดินเร่ร่อนอีกด้วย
อันหลิงเกอกลัวทำให้ผู้อื่นตื่นตระหนกและหวาดกลัวมากขึ้น
มิแน่ว่าเรื่องนี้อาจเป็นหุ่นเชิดที่ทัวป๋าหลิวลี่ใช้มาสร้างความปั่นป่วนก็ได้
ดังนั้นอันหลิงเกอจึงอยากเห็นด้วยตาว่ามีสิ่งใดปรากฏในยามค่ำคืนของวังหลวงกันแน่ คืนนี้นางจึงกำชับให้นางกำนัลสองสามคนและนางเองเฝ้าอยู่ในสวนดอกไม้อย่างเงียบ ๆ เพื่อสืบหาความจริง
หลังจากท้องฟ้าค่อย ๆ มืดสนิทก็ได้ยินแค่เสียงตื่นตกใจของเหล่านางกำนัลที่อยู่ด้านข้างพร้อมชี้ไปยังแสงไฟกลุ่มหนึ่งด้วยความตกตะลึง อันหลิงเกอจึงหันไปมองและปรากฏว่าเป็นแสงไฟสองสามกลุ่มจาง ๆ มิได้สว่างไสว แต่ทำให้รู้สึกขนพองสยองเกล้าในยามค่ำคืนได้
นางกำนัลสองสามคนล้วนเป็นคนที่อันหลิงเกอเลือกเองทั้งสิ้น ทุกคนมีความกล้าหาญแรงกล้า แต่ดูเหมือนเป็นครั้งแรกที่เจอเรื่องนี้จึงรู้สึกเคร่งเครียดมิน้อย
เมื่อเห็นทุกคนเงียบมิกล่าวอันใด นางจึงทำได้เพียงบอกเรื่องนี้แก่มู่จวินฮานที่รู้ว่าอันหลิงเกอกล้าหาญแม้แต่เรื่องจับผี เขาจึงรู้สึกปวดใจมิน้อย
“มิว่าเจ้าเจอสิ่งใด ข้าก็จะปกป้องอยู่ข้างกายมิเปลี่ยนแปลง” เขากระซิบข้างหูของนางเบา ๆ
อันหลิงเกอได้ยินอย่างชัดเจนก็ยิ่งอยากทำเพื่อมู่จวินฮาน นางจึงตัดสินใจว่าจะกำจัดข่าวลือเรื่องดวงไฟผีที่ปรากฏในวังจนหมดสิ้น
วันรุ่งขึ้น ในตอนที่อันหลิงเกอกำลังวางแผนจัดการดวงไฟผีประหลาดอยู่นั้น ก็มีขันทีพานักบวชรูปหนึ่งเข้ามาพร้อมสารลับจากฮ่องเต้ส่งมอบแก่มู่จวินฮาน เนื่องจากเรื่องนี้มิอาจป่าวประกาศได้จึงต้องส่งเป็นสารลับ “ท่านอ๋องได้รับอนุญาตจากฮ่องเต้ให้เชิญนักบวชเข้าวัง หวังว่าพระชายาจักช่วยนักบวชในการสืบหาความจริง”
“ข้าได้ยินชื่อเสียงของท่านมานานว่าแข็งแกร่งมาก ข้าจึงอยากเชิญท่านไปดูหน่อยว่ามีวิญญาณประเภทใดกันแน่อยู่ในวัง” อันหลิงเกอเอ่ยกับนักบวชอย่างให้ความเคารพ
ซึ่งนักบวชก็อ่อนน้อมถ่อมตนมากทีเดียวเมื่อเห็นอันหลิงเกอให้เกียรติเยี่ยงนี้ “เมื่อมินานมานี้ได้ยินว่ามีดวงไฟผีปรากฏขึ้นในวัง อาตมาคิดว่าเป็นผีเร่ร่อนที่ถูกขังอยู่ในวัง อาตมาจักโปรดสรรพสัตว์ให้พ้นทุกข์ จิตใจจะได้สงบ”
อันหลิงเกอพยักหน้า จากนั้นก็เตรียมของที่จำเป็นและเดินทางเข้าวัง เมื่อมาถึงวังหลวงแล้วนักบวชรูปนั้นได้เอ่ยว่ามีวิญญาณมากมายภายในวังหลวงแห่งนี้จึงทำให้อันหลิงเกอหนาวสะท้านทันที
“แต่พระชายามิต้องกลัว ท่านอ๋องได้บอกอาตมาเอาไว้แล้ว” นักบวชอธิบายให้อันหลิงเกอฟังเพราะกลัวว่านางจะหวาดกลัวเกินไป
อันหลิงเกอเข้าใจความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดของนักบวชจึงรีบพยักหน้าทันที
หลังจากนั้นนักบวชก็ทำการท่องบทสวดจนผ่านไปเกือบหนึ่งวัน บรรยากาศรอบกายเข้าสู่ยามพลบค่ำจึงบอกให้อันหลิงเกอไปจากที่นี่
ทว่าในราชสำนักกลับมีคนผู้หนึ่งเข้ามาใส่ร้ายอันหลิงเกอยามนี้
“สาเหตุที่ในวังมีผีก็เป็นเพราะมีการทำให้ความศักดิ์สิทธิ์เสื่อมถอยจึงทำให้วิญญาณฉกฉวยโอกาสเข้าแทรก หากมิใช่เช่นนั้นแล้วพระราชวังที่ทรงพลังจักมีผีปรากฏได้อย่างไร สำหรับกระหม่อมแล้วคิดว่าต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับทัวป๋าหลิวลี่ ทั้งกระหม่อมคาดเดาได้ว่ายังมีปิศาจร้ายตัวอื่นด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ได้ยินดังนั้นจะมิเข้าพระทัยได้เยี่ยงไรว่าความศักดิ์สิทธิ์เสื่อมถอยและปิศาจร้ายอีกตัวที่ขันทีหมายถึงก็คืออันหลิงเกอ เพราะนางได้รับแต่งตั้งเป็นขุนนางและหมอหญิงคนแรกของต้าโจว เมื่อคิดได้เยี่ยงนั้นจึงทำให้ฮ่องเต้กริ้วขึ้นมา “บังอาจ ! เจ้ากล้ากล่าวว่าพระชายามู่เป็นปิศาจ นั่นคือรางวัลที่ข้าตั้งใจประทานให้อ๋องมู่เอง!”
เมื่อฮ่องเต้ทรงกริ้วขึ้นมา พวกขันทีต่างพากันคุกเข่าร้องตะโกนแต่ครั้นฮ่องเต้เห็นมู่จวินฮานที่กำลังโมโหมากเช่นกันจึงทำได้เพียงตรัสว่า “บังอาจใส่ร้ายพระชายามู่ กระทำผิดต้องลงทัณฑ์หากมีผู้ใดวิงวอนก็ลงทัณฑ์ไปพร้อมกัน ! ”
หากเรื่องในวังเป็นเยี่ยงนี้ อย่างน้อยขันทีก็มิกล้าวิจารณ์เพิ่มอีก แต่อันหลิงเกอรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
คิดไปคิดมาสุดท้ายก็อยากสืบหาความจริงในเวลากลางคืน ดังนั้นจึงถือโอกาสตอนที่ฟ้ายังมิมืดไปดูสถานที่เห็น ‘ดวงไฟผี’ ในวันนั้น
สถานที่ที่อันหลิงเกอเห็นดวงไฟผีอยู่ข้างต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง นางจึงสังเกตบริเวณโดยรอบและพบเบาะแสบางอย่างเป็นผงสีเขียวที่ผ่านการเผาไหม้แล้วทิ้งรอยอยู่ใต้ต้นไม้
เมื่อเห็นเยี่ยงนี้อันหลิงเกอจึงมั่นใจว่าต้องมีคนตั้งใจสร้างเรื่องผีขึ้นมาเพื่อทำให้จิตใจของผู้คนหวั่นไหว ทั้งยังดึงนางเข้าไปเกี่ยวข้องอีกด้วย
หลังกลับถึงจวน อันหลิงเกอก็เริ่มเรียบเรียงเรื่องราวที่สืบหามาได้ทันทีและยังส่งองครักษ์เงาไปสืบหาต้นตอของผงสีเขียว จากนั้นมินานก็หาที่มาของผงเขียวได้ทั้งหมดซึ่งพบว่าดวงไฟผีที่คนในวังเห็นน่าจะเป็นเล่ห์กลที่ใช้ประโยชน์จากต้นไม้ใหญ่
เมื่อรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดแล้ว อันหลิงเกอจึงยกยิ้มมุมปากพร้อมนึกในใจว่าการทำให้จิตใจผู้คนว้าวุ่นจักได้ประโยชน์อันใด ?
“พระชายาเจ้าคะ นี่คือ…” ปี้จูมิเข้าใจ
“แร่ธาตุ” อันหลิงเกอยิ้มเยาะ นี่คือสิ่งใดแม้แต่หมอหลวงก็ต้องรู้
ทันใดนั้นนางก็นึกถึงทัวป๋าหลิวลี่ที่อยู่ในพระราชวังขึ้นมา เรื่องผีที่เกิดขึ้นในวังมิใช่นางพบคนแรกหรอกหรือ ? เมื่อคิดได้เยี่ยงนี้อันหลิงเกอจึงตื่นตัวทันใดและให้องครักษ์เงาไปสืบหาที่ตำหนักของมู่เหล่าหวางเฟย
เนื่องจากตำหนักของมู่เหล่าหวางเฟยใกล้กับตำหนักเย็น หรือเรียกว่าอยู่ภายในเขตตำหนักเย็นเลยก็ว่าได้
หากคนที่ทำเรื่องพิสดารนี้เป็นคนในตำหนักเย็นก็คงปล่อยให้ทำตามอำเภอใจมิได้และฝีมือของคนฝั่งนั้นก็เก่งกาจมิน้อย อีกทั้งทัวป๋าหลิวลี่ก็มีลูกน้องที่เชื่อใจได้ย่อมทำการนี้ประสบผลสำเร็จแน่นอน
เป็นอย่างที่คาดไว้จริงเพราะอันหลิงเกอยังมิทันมีเวลาดื่มน้ำชาก็มีคนมารายงานว่าพบขันทีผู้หนึ่งซ่อนผงแร่ธาตุไว้ในตำหนักเย็น
หลังอันหลิงเกอได้ยินก็พรวดลุกขึ้นอย่างฉับพลันและเดินไปบอกให้มู่จวินฮานทราบทันที
ดูเหมือนฝั่งมู่จวินฮานก็ได้รับข่าวเช่นกันจึงทำให้ทั้งสองพบกันระหว่างทาง “เมื่อครู่ข้าได้ยินว่าเรื่องดวงไฟผีที่เจ้ากำลังตามสืบอยู่มีเบาะแสแล้ว” มู่จวินฮานเอ่ยก่อน เมื่อได้ฟังแล้วอันหลิงเกอก็แสดงสีหน้าวางใจและผ่อนคลายออกมา
นางพยักหน้าและนำเรื่องที่ตนสงสัยกับสิ่งที่สืบพบเล่าให้มู่จวินฮานฟังจึงทำให้ใบหน้าของมู่จวินฮานโหดเหี้ยมทันที
“ครานี้ต้องลงโทษคนสร้างเรื่องและผู้ที่อยู่เบื้องหลังให้จงได้ ! ”
มู่จวินฮานรู้ดีว่าอันหลิงเกอบริสุทธิ์และมิจำเป็นต้องสร้างเรื่องเหล่านี้ เบื้องหลังต้องมีผู้คิดอยากทำร้ายนางแน่นอน