ตอนที่ 329 ความคิดของตระกูลเฟิง

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

“พี่อวี้โม่ ท่านลุงฉิน พวกท่านกำลังคิดอะไรกันอยู่รึ?”

ในขณะที่ฉินอวี้โม่และฉินเทียนดำดิ่งอยู่ในภวังค์ความคิด ซูเสี่ยวจวิ้นก็เดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มสดใส

การเอ่ยเรียกอย่างกะทันหันของเด็กสาวดึงสติทั้งสองกลับจากภวังค์ในทันที ทั้งสองยิ้มออกมาและถามกลับ “มีเรื่องอะไรรึ เสี่ยวจวิ้น?”

ซูเสี่ยวจวิ้นเป็นมิตรสหายที่ดีและทั้งสองไม่ได้ตั้งใจที่จะปิดบังเกี่ยวกับมารดาของฉินอวี้โม่ เพียงแต่ตัวพ่อลูกเองก็ยังไม่รู้สถานการณ์ที่แน่ชัดและรู้สึกว่ายังไม่จำเป็นที่จะต้องบอกซูเสี่ยวจวิ้นในตอนนี้ ตราบใดที่ทุกอย่างกระจ่างชัดและพวกเขาเข้าใจอย่างแท้จริง ฉินอวี้โม่จะบอกทุกอย่างให้ซูเสี่ยวจวิ้นได้ทราบอย่างแน่นอน

“พี่เสี่ยวเจี๋ยบอกให้ข้ามาเรียกท่านทั้งสอง ทุกคนกำลังรออยู่ในสวนแล้ว”

ซูเสี่ยวจวิ้นยิ้มอย่างสดใสและไม่ถามอะไรให้มากความ นางไม่ได้อยากเข้ามาขัดจังหวะความคิดของทั้งสอง เพียงแต่ฉู่เจี๋ยได้เตรียมจัดเครื่องดื่มและสิ่งอื่นๆเป็นที่เรียบร้อยแล้วจึงบอกให้นางมาเรียกฉินอวี้โม่และฉินเทียนออกไป

“เข้าใจแล้ว ถ้างั้นเราออกไปดื่มกันเถอะ!”

ฉินเทียนยิ้มกว้างพร้อมเหยียดกายลุกขึ้นและเดินออกไปก่อน

ฉินอวี้โม่ก็ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยก่อนเดินตามบิดาออกไปเช่นกัน

……

อีกฟากหนึ่ง ณ จวนตระกูลเฟิง เสี่ยวเหยียน เฟิงหรูเซียวและเฟิงจิงเทียนกำลังนั่งสนทนากันอย่างสบายๆ

“ท่านปู่ ท่านพ่อ เรื่องทั้งหมดเป็นอย่างนี้เจ้าค่ะ…พี่อวี้โม่ดีกับข้ามากและเป็นเหมือนพี่สาวแท้ๆของข้า หากเฟิงอู๋ต้องการจะทำร้ายนางในงานเลี้ยงตระกูลเฟิงครั้งนี้ ต่อให้ท่านจะไม่ช่วยพี่อวี้โม่ ข้าก็ต้องขอร้องไม่ให้ท่านเข้าไปแทรกแซงเรื่องนี้เจ้าค่ะ”

เสี่ยวเหยียนเล่าให้เฟิงจิงเทียนและเฟิงหรูเซียวได้ฟังทั้งหมดว่านางพบกับฉินอวี้โม่ได้อย่างไรและคนที่นางเรียกเต็มปากว่า ‘พี่สาว’ ปฏิบัติต่อนางอย่างดีเพียงใด

คุณหนูตระกูลเฟิงเป็นกังวลว่าเฟิงอู๋จะทำอะไรที่เป็นภัยต่อพี่สาวในงานเลี้ยงของตระกูลเฟิงที่จะมาถึง แม้ว่าเฟิงหรูเซียวและเฟิงจิงเทียนต่างก็ไม่ชอบเฟิงอู๋เท่าไหร่นัก นางก็ไม่อาจมั่นใจได้ว่าพวกเขาจะฝักใฝ่ฝ่ายเดียวกันและตั้งตัวเป็นศัตรูกับฉินอวี้โม่เพียงเพราะนางเป็นคนนอกตระกูล

นั่นคือสาเหตุที่นางแจ้งให้บิดาและท่านปู่ซึ่งเป็นผู้นำตระกูลได้ทราบเป็นการล่วงหน้าด้วยความหวังว่าต่อให้พวกเขาจะไม่ช่วยฉินอวี้โม่ พวกเขาก็จะไม่เข้ามาแทรกแซงเรื่องนี้

“ลูกเอ๋ย เจ้าอยู่ในตระกูลเฟิงของเรามานานแล้ว เจ้ายังไม่รู้นิสัยของพ่ออีกรึ? ในเมื่อแม่นางฉินอวี้โม่เป็นมิตรสหายที่ดีของเจ้า พ่ออย่างข้าก็ไม่มีทางที่จะตั้งตัวเป็นศัตรูกับนางหรอก ในทางกลับกัน หากเฟิงอู๋คิดจะฉวยโอกาสนี้โจมตีหรือทำร้ายนาง ข้าจะช่วยนางเอง”

เฟิงจิงเทียนแสดงจุดยืนของตนเองโดยไม่ลังเล ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ เขารู้สึกว่าตนเองติดค้างเสี่ยวเหยียนมากมายเหลือเกินและเมื่อได้ฟังสิ่งที่นางกล่าวมา ฉินอวี้โม่ก็ปฏิบัติต่อนางเป็นอย่างดี ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็สัมผัสได้ว่าฉินอวี้โม่ผู้นี้มีความสำคัญมากในหัวใจของบุตรสาว

เช่นนั้นแล้วเขาจะไม่มีทางทำอะไรที่ส่งผลร้ายต่อฉินอวี้โม่ ในทางกลับกัน เขาก็จะช่วยปกป้องฉินอวี้โม่ให้ปลอดภัยตลอดงานเลี้ยงที่จะมาถึง

“ขอบคุณท่านพ่อมากเจ้าค่ะ”

เมื่อได้ยินคำพูดอย่างจริงจังใจของเฟิงจิงเทียน เสี่ยวเหยียนก็ยิ้มอย่างเปี่ยมสุข สิ่งที่นางกังวลมากที่สุดคือบิดาของตนจะเป็นปฏิปักษ์กับฉินอวี้โม่ บัดนี้นางได้รู้แล้วว่าสิ่งที่กลัวจะไม่เกิดขึ้น

“เจ้าเด็กน้อย ปู่ไม่ใช่คนที่แยกแยะถูกผิดไม่ได้สักหน่อย ปู่พอจะรู้เรื่องราวระหว่างฉินอวี้โม่และเฟิงอู๋อยู่แล้ว ว่ากันตามตรง ต่อให้ข้าจะโกรธมากในตอนแรกที่ฉินอวี้โม่ผู้นี้ยโสโอหังมากเกินไป ทว่าหลังจากสืบเสาะจนได้รู้ข้อมูลทั้งหมด ข้าก็เชื่อว่าฉินอวี้โม่ผู้นี้มีสิทธิ์ที่จะยโสโอหังได้ ข้าทั้งชื่นชมและสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับนางมาก ไม่ต้องกังวลไป ข้าก็จะไม่เป็นศัตรูกับนางและจะช่วยเหลือนางเช่นกัน ทว่าหากเป็นไปได้ เจ้าเชิญนางมาพบกับข้าก่อนได้รึไม่? ข้าอยากพบสตรีผู้เจิดจรัสเลื่องชื่อไปทั่วทั้งดินแดน”

เฟิงหรูเซียวยิ้มพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความชื่นชมและอยากรู้เกี่ยวกับฉินอวี้โม่

ทุกวันนี้เขาได้ยินเรื่องเกี่ยวกับฉินอวี้โม่มากมายเหลือเกิน ในตอนแรกเมื่อรู้ว่านางไม่เห็นตระกูลเฟิงอยู่ในสายตา เขาก็ทั้งโมโหและไม่พอใจอย่างมาก เพียงแต่เมื่อเวลาผ่านไปและได้รู้ว่าแท้จริงแล้วเฟิงอู๋และพวกเป็นฝ่ายที่หาเรื่องนางก่อน ผู้นำตระกูลเฟิงจึงไม่ใส่ใจอะไรนัก ยิ่งไปกว่านั้น ฉินอวี้โม่ก็ไม่ลังเลที่จะยืนยันเพื่อสหายของตนเองที่หุบเขาหงส์ร่วงจนกลายเป็นศัตรูตัวร้ายของจูอวิ๋นชางแห่งขุมกำลังพญายม ความกล้าหาญองอาจเช่นนี้ไม่ใช่ลักษณะทั่วไปที่จะพบในสตรีคนอื่นๆได้

ในงานชุมนุมช่างหลอมที่เพิ่งผ่านไปนี้ นางก็คว้าชัยชนะมาได้อย่างราบรื่นในคราวเดียวด้วยพรสวรรค์และพลังที่สะเทือนไปทั่วดินแดน

ด้วยข้อมูลจากเสี่ยวเหยียน เฟิงหรูเซียวก็เข้าใจว่าฉินอวี้โม่เป็นสตรีที่ให้ความสำคัญกับความผูกพันและมิตรสหายเป็นอย่างมาก ด้วยความแตกต่างไม่เหมือนผู้ใดของนางทำให้เฟิงหรูเซียวทั้งชื่นชมและอยากรู้จักตัวตนของนางมากขึ้น เขาไม่มีความคิดที่จะเป็นปฏิปักษ์หรือต่อต้านนาง

อีกอย่างคือเขารู้นิสัยใจคอของเฟิงอู๋เป็นอย่างดี เป็นเพราะความหุนหันพลันแล่นและเจ้าอารมณ์นี้เองที่ทำให้เฟิงหรูเซียวไม่กล้าวางใจให้ตระกูลเฟิงอยู่ภายใต้อำนาจของเขา

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อตอนนี้เฟิงอู๋ผูกมิตรกับขุมกำลังพญายมและคนอื่นๆ ความรู้สึกที่เฟิงหรูเซียวมีต่อเขาก็ย่ำแย่ลงกว่าเดิม แม้ว่าการกระทำของฉินอวี้โม่ถือเป็นการตบหน้าตระกูลเฟิงฉาดใหญ่ ผู้นำตระกูลอย่างเขาก็ไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย

เขาอยากพบฉินอวี้โม่และทำความรู้จักสตรีผู้เลื่องชื่อคนนี้ให้มากขึ้น

เมื่อได้ยินวาจาของเฟิงหรูเซียว ใบหน้าของเสี่ยวเหยียนก็เปี่ยมด้วยความสุขอย่างชัดเจน

“จริงรึเจ้าคะท่านปู่?”

เสี่ยวเหยียนมองปู่ของนางด้วยแววตาเป็นประกายเพื่อยืนยันอีกครั้ง

“ฮ่าๆๆ ปู่จะโกหกหลานทำไมเล่า?”

เฟิงหรูเซียวยิ้มอย่างเอ็นดูพลางแตะศีรษะของหลานสาวเบาๆ

“เยี่ยมไปเลย วันพรุ่งนี้ข้าจะพาพี่อวี้โม่มาพบท่านปู่เจ้าค่ะ”

เสี่ยวเหยียนอดกลั้นรอยยิ้มกว้างไม่ได้ ในดินแดนอ้างว้างแห่งนี้ บุคคลที่นางให้ความสำคัญมากที่สุดคือท่านปู่ บิดาและฉินอวี้โม่ เพราะเช่นนั้นเมื่อได้รู้ว่าพวกเขาไม่ได้เป็นศัตรูต่อกัน เสี่ยวเหยียนจึงเปี่ยมล้นไปด้วยความสุข

ก๊อก ก๊อก ก๊อก!

“ท่านผู้นำ มีข่าวมาจากข้างนอกขอรับ”

ในขณะที่พูดคุยกันอยู่นั้น พ่อบ้านของตระกูลเฟิงก็เคาะประตูและเดินเข้ามา

“ข่าวอะไรรึ?”

เฟิงหรูเซียวมองพ่อบ้านและเอ่ยถามด้วยความสงสัย

“ท่านผู้นำ ก่อนหน้านี้คนจากขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬมาที่เมืองเฟิงหวงของเราและจูอวิ๋นชางผู้นำขุมกำลังพญายมก็นำคนไปล้อมพวกเขาไว้ เดิมทีข้าคิดว่าจะต้องมีการปะทะเกิดขึ้นแน่ๆ แต่ก็ไม่คาดคิดเลยว่าท้ายที่สุดมันกลับกลายเป็นภาพความประทับใจระหว่างบิดาและบุตรสาวที่ได้พบกันอีกครั้ง”

เฟิงหมิง–พ่อบ้านประจำตระกูลเฟิงเป็นคนที่จงรักภักดีต่อตระกูลอย่างยิ่งและเป็นคนที่เฟิงหรูเซียวไว้วางใจได้มากที่สุด

“โอ้? งั้นรึ? แต่ข้าจำได้ว่าผู้นำขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬไม่มีบุตรไม่ใช่รึ?”

เฟิงหรูเซียวยังไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไร หากแต่เป็นเฟิงจิงเทียนที่สงสัยจนอดถามออกไปไม่ได้

เฟิงหรูเซียวเองก็ฉงนสงสัยไม่แพ้กัน เขาจำได้ว่าผู้นำขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬไม่มีทายาทสืบสกุล เป็นไปได้รึไม่ว่าผู้นำขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬก็เผชิญสถานการณ์เดียวกันกับเฟิงจิงเทียน?

“จริงสิ ข้าจำได้แล้ว หรือว่าพี่อวี้โม่จะเป็นบุตรีของผู้นำขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬ?”

เสี่ยวเหยียนนึกบางอย่างขึ้นมาและกล่าวด้วยความตื่นตะลึง

“หืม? คุณหนูทราบได้อย่างไรรึขอรับ?”

เฟิงหมิงตกใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดของเสี่ยวเหยียน เขายังไม่ทันเอ่ยอะไรด้วยซ้ำ แล้วเสี่ยวเหยียนทราบเรื่องนี้ได้อย่างไร?

“อะไรนะ? ฉินอวี้โม่คือบุตรสาวของผู้นำขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬงั้นรึ?”

เฟิงจิงเทียนอดเอ่ยออกไปไม่ได้ น้ำเสียงของเขาเปี่ยมไปด้วยความประหลาดใจ

“ใช่แล้วขอรับ นามของผู้นำขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬคือฉินเทียนและฉินอวี้โม่คือบุตรสาวแท้ๆของเขา กล่าวกันว่าทั้งสองก็แยกจากกันตั้งแต่ที่ฉินอวี้โม่ยังเด็กมากเช่นกัน บัดนี้ทั้งบิดาและบุตรสาวตื่นเต้นมากที่ได้พบกันอีกครั้ง”

เฟิงหมิงพยักศีรษะพร้อมกล่าวยืนยันอีกครา

เขาไม่ได้เห็นเหตุการณ์นั้นด้วยตัวเองและได้ยินเรื่องจากคนอื่นมาอีกที ว่ากันว่าภาพที่ฉินอวี้โม่และฉินเทียนได้พบกันนั้นเป็นภาพที่จับใจมาก และผู้ที่เฝ้ามองทั้งหลายต่างก็รู้สึกซาบซึ้งใจอย่างที่สุด

ยิ่งไปกว่านั้น รูปโฉมของฉินอวี้โม่ก็งดงามอย่างแท้จริงและหลายคนหมายตาต้องใจนางตั้งแต่แวบแรกที่เห็น

“พี่อวี้โม่เคยถามเรื่องของขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬ ข้าก็สงสัยมาตลอดว่านางถามไปทำไม ตอนนี้เมื่อไตร่ตรองดูจึงคิดได้ว่าพี่อวี้โม่เองก็ตามหาบิดาอยู่เช่นกัน”

เสี่ยวเหยียนพยักศีรษะอย่างเปี่ยมไปด้วยความรู้สึก ฉินอวี้โม่เองก็ต้องแยกจากบิดาของนางเช่นกัน นางและ ‘พี่สาว’ เหมือนกันมากกว่าที่คิด

“คุณหนูรู้จักแม่นางฉินอวี้โม่หรือขอรับ?”

เฟิงหมิงตกใจอีกครั้งเมื่อได้ยินคำพูดของเสี่ยวเหยียน จากน้ำเสียงของนางเห็นได้ว่านางสนิทสนมกับฉินอวี้โม่พอสมควร

“ฮ่าๆๆ ไม่ใช่แค่รู้จักเท่านั้น แต่แม่นางฉินอวี้โม่เป็นเหมือนพี่สาวของนางเชียวล่ะ”

เฟิงหรูเซียวกล่าวพร้อมรอยยิ้ม ตอนนี้เขาสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับฉินอวี้โม่ผู้นี้มากขึ้นเรื่อยๆ

ในขณะเดียวกัน เขาก็เข้าใจว่าเหตุใดสตรีนามว่า ‘ฉินอวี้โม่’ จึงได้องอาจกล้าหาญและมากพรสวรรค์เช่นนี้

ลูกไม้ย่อมหล่นไม่ไกลต้น ด้วยบิดาที่น่าเกรงขามและเก่งกล้าสามารถอย่างฉินเทียน บุตรสาวก็คงไม่ต่างกัน

เฟิงหมิงมีสีหน้าที่อ้ำอึ้งพูดไม่ออกไปชั่วขณะ เขามองไปที่เสี่ยวเหยียนด้วยหวังว่านางจะอธิบายให้เขาเข้าใจมากขึ้น

“อาพ่อบ้าน ข้าจะไปหาพี่อวี้โม่ก่อน หากมีอะไรก็ให้ท่านพ่อเป็นคนบอกท่านนะเจ้าคะ”

เมื่อฉินอวี้โม่และบิดาของนางได้พบกันในที่สุด เสี่ยวเหยียนก็มีความสุขกับทั้งสองอย่างมาก ตอนที่ทั้งเฟิงหรูเซียวและเฟิงจิงเทียนรู้เรื่องฉินอวี้โม่แล้ว นางจึงตื่นเต้นดีใจและอดไม่ได้ที่จะรีบไปหา ‘พี่สาวคนเก่ง’ ของนาง

“ไปเถอะ ไปเถอะ”

เฟิงหรูเซียวและเฟิงจิงเทียนไม่คัดค้านอะไร เสี่ยวเหยียนจึงไม่รอช้าและรีบวิ่งออกไปทันที

หลังจากเสี่ยวเหยียนออกไป เฟิงจิงเทียนเล่าทุกอย่างที่เสี่ยวเหยียนบอกให้เฟิงหมิงได้รู้โดยไม่ปิดบังอะไร

“เป็นเช่นนั้นเอง ตอนนี้ข้าก็ชักอยากจะรู้เกี่ยวกับแม่นางฉินอวี้โม่คนนี้ซะแล้ว”

เฟิงหมิงพยักศีรษะ เขาเองก็สงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับฉินอวี้โม่เช่นกัน เขาอยากรู้ว่าตัวตนของสตรีประหลาดผิดมนุษย์คนนั้นแท้จริงแล้วเป็นอย่างไร

….

ภายในเรือนของเฟิงอู๋ ในเวลานี้สีหน้าของเขาบิดเบี้ยวเหยเกอย่างที่สุด

“ท่านผู้นำจู นี่ท่านกำลังล้อข้าเล่นรึไม่?”

เมื่อพิจารณาสิ่งที่จูอวิ๋นชางเล่าให้ฟัง เฟิงอู๋ก็ยังไม่อยากเชื่อ บุรุษลึกลับสวมหน้ากากที่เดินทางมากับคนตระกูลฉู่แท้จริงแล้วคือฉินอวี้โม่อริของเขานั่นเอง และกลับกลายเป็นว่านางคือบุตรสาวของผู้นำขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬเช่นกัน เรื่องนี้ช่างน่าเหลือเชื่อและซับซ้อนมากเกินไปจนเขาไม่อยากเชื่อ

“ฮ่าๆๆ ตอนนี้เราก็ลงเรือลำเดียวกันแล้ว เจ้าคิดว่าข้าจะโกหกเจ้างั้นรึ?”

จูอวิ๋นชางยิ้มบางๆ อันที่จริงตัวเขาเองก็ไม่อยากเชื่อเรื่องนี้ ทว่าในเมื่อมันเป็นความจริง เขาไม่มีทางที่จะเปลี่ยนแปลงมันได้

พลังและพรสวรรค์ของฉินเทียนทำให้จูอวิ๋นชางรู้สึกริษยาจนตาร้อนอยู่แล้ว ยิ่งเมื่อผนวกกับฉินอวี้โม่ที่ประหลาดผิดมนุษย์ จูอวิ๋นชางก็เริ่มไม่มั่นใจแล้วว่าเขาควรจะเดินหน้าและประจันหน้ากับพวกเขาต่อไปหรือไม่

“เรื่องนี้มัน…”

เฟิงอู๋สูดหายใจเข้าลึกๆและพูดไม่ออกไปชั่วขณะ

แรกเริ่มเดิมที ถึงแม้ฉินอวี้โม่จะมากด้วยพรสวรรค์ นางก็ไม่มีโอกาสเท่าไหร่นักเมื่อมาอยู่ในเขตของตระกูลเฟิง

เพียงแต่เขาไม่คิดเลยว่าข่าวสะเทือนวงการเช่นนี้จะแพร่ออกมาก่อนงานเลี้ยงตระกูลเฟิงจะเริ่มต้นด้วยซ้ำ

ฉินอวี้โม่เป็นบุตรีของฉินเทียนและบิดาของนางก็เก่งกล้าสามารถและรักใคร่หวงแหนนางมาก เฟิงอู๋มั่นใจว่าหากตนเองกล้าแตะต้องฉินอวี้โม่ล่ะก็ ฉินเทียนคงจะไม่ยอมและลงมือทำอะไรสักอย่างเป็นแน่

“เราจะทำอย่างไรต่อไป?”

เฟิงอู๋มองจูอวิ๋นชางและไห่ป้าหวังด้วยความรู้สึกยอมจำนนเล็กน้อย

“เราจะทำอะไรได้อีก? มีแต่จะต้องดำเนินตามแผนการเดิมที่วางไว้เท่านั้น”

จูอวิ๋นชางกัดฟันกรอดขณะสีหน้าเปลี่ยนเป็นแน่วแน่อีกครั้ง ถึงอย่างไรพวกเขาก็ยังพอมีโอกาสชนะ ในกรณีนี้ เขาก็จะไม่ยอมจำนนจนกว่าจะได้ลองพยายามจริงๆ

อีกอย่าง… ตอนนี้พวกเขาก็เดินมาไกลจนไม่มีทางถอยกลับได้แล้ว

.