ตอนที่ 330 ความสัมพันธ์ของตระกูลฉิน-เฟิง

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

อีกฟากหนึ่งของเมือง แน่นอนว่าฉินอวี้โม่และคนอื่นๆไม่ได้ทราบถึงแผนการของพวกเขา ภายในสวนของจวนที่พักตระกูลฉู่ คนกลุ่มหนึ่งกำลังนั่งล้อมวงและสนทนาพาทีกันอย่างออกรส

“ท่านลุงฉิน ตอนนี้ท่านคงจะมีความสุขอย่างมากที่ได้พบกับบุตรสาว”

ฉีอวิ๋นเหล่ยมองฉินเทียนพร้อมรอยยิ้มประดับบนใบหน้าและเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เจือความหยอกเย้าเล็กน้อย

“ฮ่าๆๆ นั่นเป็นเรื่องที่แน่นอน ตอนที่ได้พบกับเสี่ยวโม่เอ๋อร์ครั้งแรก ข้าก็บรรยายความสุขที่เอ่อล้นในใจไม่ได้เลย”

ฉินเทียนยิ้มตอบ สีหน้าของเขาแสดงถึงความสุขอย่างซ่อนไม่มิด

“พี่อวี้โม่ ยินดีด้วย ในที่สุดท่านก็ได้พบบิดาสักที”

ซูเสี่ยวจวิ้นมองฉินอวี้โม่พร้อมรอยยิ้มและยกแก้วสุราให้กับนาง

ฉินอวี้โม่รับมันมาโดยไม่ลังเลและดื่มหมดภายในคราวเดียว วันนี้นางมีความสุขอย่างยิ่ง เมื่อในที่สุดก็ได้พบกับบิดาที่ตามหามานาน มันก็ถือว่าเป้าหมายแรกของนางบรรลุแล้ว

“พี่อวี้โม่ จะดื่มสังสรรค์กันทั้งที ทำไมท่านไม่ชวนข้าบ้างล่ะ?”

เสียงหวานใสของเสี่ยวเหยียนดังขึ้นในหูฉินอวี้โม่และทุกคนในที่นี้ จากนั้นเด็กสาวรอยยิ้มสดใสก็วิ่งตรงเข้ามาอย่างรวดเร็ว

“เสี่ยวเหยียน เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร?”

ฉินอวี้โม่และคนอื่นๆตกตะลึงเล็กน้อยเมื่อเห็นเสี่ยวเหยียน

“พี่อวี้โม่ ข้าเล่าเรื่องท่านให้ท่านพ่อและท่านปู่ฟังแล้ว พวกเขาอยากพบกับท่านมากและบอกให้ข้าเชิญท่านไปที่จวนตระกูลเฟิงในวันพรุ่งนี้เพื่อสนทนากับพวกเขา”

เสี่ยวเหยียนวิ่งตรงเข้าไปหาพี่สาวคนโปรดพร้อมยิ้มกว้างและกล่าวอธิบายสั้นๆ

“หากข้าเดาไม่ผิด นี่คงจะเป็นท่านลุงฉินเทียน–บิดาของพี่อวี้โม่”

เสี่ยวเหยียนหันไปและเห็นฉินเทียนที่นั่งอยู่ถัดจากฉินอวี้โม่ นางยิ้มให้กับฉินเทียนและกล่าวอย่างเคารพนอบน้อม

“ท่านพ่อ นี่คือคุณหนูของตระกูลเฟิงและเป็นเสมือนน้องสาวของข้า—เฟิงมู่เหยียนเจ้าค่ะ”

ฉินอวี้โม่แนะนำเสี่ยวเหยียนให้กับฉินเทียนพร้อมรอยยิ้ม

ฉู่เจี๋ยและคนอื่นๆก็มองอย่างอธิบายไม่ถูกเช่นกัน พวกเขาไม่รู้มาก่อนเลยว่าฉินอวี้โม่จะรู้จักกันคุณหนูแห่งตระกูลเฟิงเป็นการส่วนตัว

“โอ้ ช่างเป็นเด็กสาวที่น่ารักทีเดียว”

ฉินเทียนยิ้มอย่างเอ็นดู ในเมื่อฉินอวี้โม่เอ่ยว่าคุณหนูตระกูลเฟิงเป็นเหมือนน้องสาวของนาง ผู้เป็นบิดาอย่างเขาก็เข้าใจได้ว่าเสี่ยวเหยียนน่าจะเป็นมิตรสหายที่ดีของฉินอวี้โม่

“มาสิ เสี่ยวเหยียน นั่งลงก่อนเถอะ แล้วเล่าให้พี่เสี่ยวเจี๋ยและทุกคนได้ฟังว่าเจ้ารู้จักกับพี่อวี้โม่ได้ยังไง”

ซูเสี่ยวจวิ้นรีบเลื่อนม้านั่งมาข้างเสี่ยวเหยียน  นางและเสี่ยวเหยียนอายุไล่เลี่ยกันและมีนิสัยใจคอคล้ายกัน แม้ว่ายังไม่ได้พูดคุยกันเท่าไหร่นัก ทั้งสองก็รู้สึกเหมือนเป็นสหายเก่าแก่ที่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน

เสี่ยวเหยียนไม่รอช้าและนั่งลงข้างซูเสี่ยวจวิ้นทันที

“พี่เสี่ยวเจี๋ย อย่าแปลกใจไปเลย พี่อวี้โม่กับข้ารู้จักกันนานแล้วล่ะ…”

เมื่อเห็นสีหน้างุนงงสงสัยของฉู่เจี๋ยและคนอื่นๆ เสี่ยวเหยียนก็ยิ้มบางๆพร้อมเล่าเรื่องราวการพบเจอกันของตนเองและฉินอวี้โม่

หลังจากได้ฟังเรื่องราว ฉู่เจี๋ยและคนอื่นๆก็พยักศีรษะตามๆกัน

ไม่คิดเลยว่าความสัมพันธ์ระหว่างฉินอวี้โม่และเสี่ยวเหยียนจะสนิทสนมและเป็นไปด้วยดีเช่นนี้

“พี่อวี้โม่ ยินดีด้วยที่ท่านได้พบกับบิดาที่พลัดพรากกันนาน”

เสี่ยวเหยียนกล่าวพร้อมรอยยิ้มแสดงความยินดีให้กับฉินอวี้โม่ นางเองก็รู้สึกดีใจแทนพี่สาว

“ขอบใจมาก”

ฉินอวี้โม่ยิ้มเล็กน้อยและตอบรับ เสี่ยวเหยียนรู้เรื่องนี้มาก่อนแล้ว นางจึงรู้สึกได้ว่าเสี่ยวเหยียนยินดีและมีความสุขกับนางจากก้นบึ้งของหัวใจอย่างแท้จริง

“จะว่าไปแล้ว เสี่ยวเหยียน ท่านปู่และท่านพ่อของเจ้ามีความคิดเห็นกันอย่างไร?”

ซูเสี่ยวจวิ้นมองเสี่ยวเหยียนพร้อมเอ่ยถามอย่างสงสัยใคร่รู้ นางจำความบาดหมางระหว่างฉินอวี้โม่และเฟิงอู๋ได้เป็นอย่างดี นางจึงอยากรู้ความคิดของผู้นำตระกูลเมื่อได้รู้ว่าคุณหนูใหญ่ของตระกูลสนิทชิดเชื้อกับฉินอวี้โม่มากถึงเพียงนี้

“ไม่ต้องกังวล ทั้งท่านปู่และท่านพ่อเป็นผู้ที่เข้าใจความผิดชอบชั่วดี แน่นอนว่าพวกเขาต้องอยู่ข้างพี่อวี้โม่”

เสี่ยวเหยียนยิ้มอย่างมั่นใจ จุดยืนของทั้งเฟิงหรูเซียวและเฟิงจิงเทียนชัดเจนอย่างไม่ต้องสงสัย พวกเขาจะต้องอยู่ฝ่ายเดียวกับฉินอวี้โม่อย่างแน่นอน

“ฮ่าๆๆ เยี่ยมเลย ข้านึกว่าพวกเขาจะเข้าข้างเฟิงอู๋เสียอีก ถึงอย่างไรพี่อวี้โม่ก็เป็นคนนอก แต่หากเป็นเช่นนั้นจริงๆเจ้าก็คงจะต้องเป็นผู้ที่ลำบากใจที่สุด”

ซูเสี่ยวจวิ้นจับแขนเสี่ยวเหยียนไว้และกล่าวพร้อมรอยยิ้มกว้าง

“ฮ่าๆๆ จะเป็นแบบนั้นได้ยังไงเล่า พี่อวี้โม่เป็นพี่สาวที่ดีของข้า ข้าจะอยู่เคียงข้างนางไปตลอดอยู่แล้ว”

เสี่ยวเหยียนยิ้มและกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“แต่ข้ามีความสงสัยอยู่อย่างหนึ่ง นั่นแสดงว่าทั้งพี่อวี้โม่และท่านลุงฉินเทียนมาจากดินแดนหวนหลิงอย่างนั้นรึ?”

ซูเสี่ยวจวิ้นมองฉินอวี้โม่และฉินเทียนอีกคราพร้อมเอ่ยถามด้วยความสงสัย

สองพ่อลูกพยักศีรษะเบาๆเป็นการตอบรับและไม่ปฏิเสธ

“แปลกจริงๆ ทั้งสองที่มาจากดินแดนหวนหลิงมีพรสวรรค์ที่เหนือกว่าพวกเราเสียอีก แล้วนี่พวกเราจะใช้ชีวิตกันอย่างไรกัน?”

แม้ว่ารู้มาก่อนแล้ว ทว่าเมื่อเห็นฉินอวี้โม่และฉินเทียนพยักศีรษะยืนยัน เสี่ยวเหยียนและคนอื่นๆก็อดรู้สึกปลงตกไม่ได้

เดิมทีพวกเขาก็มั่นใจว่าตนเองมีพรสวรรค์ที่ไม่เป็นรองผู้ใด ทว่าเมื่อเทียบกับพ่อลูกคู่นี้แล้วนั้น พรสวรรค์ของพวกเขาก็กลายเป็นสิ่งไร้ค่าไปโดยปริยาย!

“ใช่ ใช่เลย มันไม่ปกติเลยจริงๆ! นอกจากนี้พรสวรรค์ด้านการหลอมอุปกรณ์ของอวี้โม่ก็โดดเด่นอย่างมาก ไม่เหลือที่ยืนให้กับพวกเราเลย”

ฉีอวิ๋นเหล่ยยิ้มและกล่าวเสริม ทว่าน้ำเสียงของเขาไร้ซึ่งความริษยาใดๆ การที่พ่อลูกคู่นี้มากไปด้วยพรสวรรค์ พวกเขาทั้งหมดก็ย่อมมีความสุขกับคนทั้งสอง คำพูดตัดพ้อเหล่านี้เป็นเพียงการกล่าวติดตลกในหมู่คนกันเองเท่านั้น

“ฮ่าๆๆ อย่าพูดให้มากความเลย ข้าทำใจให้ชินมาหลายปีแล้วล่ะ ตอนนี้เมื่อมีเสี่ยวโม่เอ๋อร์มาอีก ในอนาคตเราคงต้องหมั่นเพียรพัฒนาตนเองอย่างหนักเพื่อที่เราจะได้ไม่ด้อยกว่านางมากนัก”

ฉินจ้านกล่าวพร้อมรอยยิ้ม ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ เขาก็ได้เห็นพรสวรรค์และความทุ่มเทเพียรพยายามของฉินเทียน แม้ว่าฉินจ้านและฉินอวี้โม่ล้วนมากด้วยพรสวรรค์ ความแข็งแกร่งในปัจจุบันของทั้งสองก็ล้วนมาจากความพยายามที่ผ่านๆมา

“ใช่แล้ว เราจะต้องทุ่มเทให้มากกว่าเดิม”

ฉีอวิ๋นเหล่ยนึกบางอย่างได้ก่อนกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “เจ้าว่าหากเฟิงอู๋ชางรู้เรื่องนี้ เขาจะมีท่าทีเป็นอย่างไร?”

“ฮ่าๆๆ เขาจะต้องรีบปรี่มาที่นี่เพื่อวัดฝีมือกับเสี่ยวโม่เอ๋อร์เป็นแน่”

เห็นได้ชัดว่าฉินจ้านและเหวินซื่อชู่คุ้นเคยกับเฟิงอู๋ชางเป็นอย่างดี หากผู้ที่คลั่งไคล้ในการต่อสู้คนนั้นได้พบกับฉินอวี้โม่ เขาจะต้องอยากวัดฝีมือกับนางอย่างแน่นอน

“ข้าเดาว่าเขาจะต้องมาที่นี่ในไม่ช้า หวังว่าตอนนั้นเขาจะไม่พยายามสู้กับพี่อวี้โม่ล่ะ  ไม่เช่นนั้นเราคงจะต้องปวดหัวมากแน่”

ซูเสี่ยวจวิ้นอดเอ่ยออกไปไม่ได้ นางรู้สึกหมดหนทางอย่างยิ่งเมื่อนึกถึงยอดฝีมืออย่างเฟิงอู๋ชาง

ฉีอวิ๋นเหล่ยและคนอื่นๆก็มองหน้ากันพร้อมพยักหน้าด้วยความรู้สึกที่ไม่ต่างกัน

เมื่อมองดูพวกเขาสนทนากันอย่างมีความสุข ฉินอวี้โม่และฉินเทียนก็มีอารมณ์ที่ดีอย่างยิ่ง

ค่ำคืนนี้ทุกคนดื่มสังสรรค์ในสวนและพูดคุยกันอย่างสนุกสนานเพลิดเพลิน บรรยากาศที่นี่ทั้งมีชีวิตชีวาและอบอุ่นอย่างที่สุด จนกระทั่งตกดึก ทุกคนก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน

เช้าตรู่วันต่อมา ฉินอวี้โม่และเสี่ยวเหยียนก็มุ่งหน้าไปที่จวนตระกูลเฟิงด้วยกันเพื่อพบกับเฟิงหรูเซียวและเฟิงจิงเทียน

เฟิงหรูเซียว เฟิงจิงเทียนและเฟิงหมิงก็ทราบล่วงหน้าแล้วว่าฉินอวี้โม่กำลังจะเดินทางมา พวกเขาทั้งสามจึงมารออยู่ที่ห้องโถงตั้งแต่เช้าตรู่

ทว่าเป็นเพราะฉินเทียนเป็นห่วงฉินอวี้โม่ เขาจึงเดินทางมาเช่นกัน

เมื่อมาถึงห้องโถง ฉินอวี้โม่ก็เห็นเฟิงหรูเซียวซึ่งนั่งอยู่บนที่นั่งประจำตัวของเขาและเฟิงจิงเทียนก็นั่งอยู่ถัดจากเขา ส่วนเฟิงหมิงก็ยืนอยู่ข้างหลัง

“ท่านปู่ ท่านพ่อ นี่คือพี่อวี้โม่เจ้าค่ะ ส่วนนี่คือบิดาของนาง—ท่านลุงฉินเทียน”

เสี่ยวเหยียนจ้ำอ้าวตรงเข้าไปหาเฟิงหรูเซียวและกล่าวแนะนำคนทั้งสอง

“คารวะท่านผู้นำตระกูลเฟิง”

ทั้งฉินอวี้โม่และฉินเทียนเอ่ยขึ้นด้วยความเคารพ ผู้นำตระกูลเฟิงคนนี้มีอายุมากกว่าทั้งฉินอวี้โม่และฉินเทียน เป็นธรรมดาที่ทั้งสองจะแสดงความเคารพต่อเขา

“ไม่จำเป็นต้องสุภาพมากหรอก ฮ่าๆๆ”

เฟิงหรูเซียวพึงใจกับอากัปกิริยาเคารพนอบน้อมของทั้งสองอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่าทั้งสองเป็นคนทะนงตนและองอาจ พวกเขาก็ยังนอบน้อมในเวลาที่สมควร

“นั่งลงก่อนเถอะ”

เฟิงหรูเซียวกล่าวพร้อมผายมือชี้ไปที่เก้าอี้ก่อนที่สองพ่อลูกนั่งลงอย่างไม่รีรอ

“นี่มัน..เป็นท่านเองหรือ?!”

เฟิงจิงเทียนซึ่งนิ่งเงียบมาตลอดเอ่ยขึ้นมาเมื่อเห็นฉินเทียนชัดๆ น้ำเสียงของเขาเจือความประหลาดใจอย่างชัดเจน

ฉินเทียนก็สังเกตเห็นเฟิงจิงเทียนและรู้สึกคุ้นหน้าอยู่เช่นกัน

“เมื่อสิบปีก่อน ไม่ไกลจากนอกเมืองลั่วหยาง ท่านได้ช่วยชีวิตข้าไว้ ไม่ทราบว่าท่านจำได้รึไม่?”

เฟิงจิงเทียนเดินตรงเข้าไปหาฉินเทียนเพื่อยืนยันสิ่งที่คิดและกล่าวพร้อมรอยยิ้ม

ฉินเทียนเองก็เริ่มจำบางอย่างได้เช่นกันและยืนขึ้นพร้อมกล่าว “ใช่แล้ว ท่านนั่นเอง ข้าจำได้แล้ว”

เมื่อหลายปีก่อน ฉินเทียนบังเอิญออกไปท่องนอกเมืองลั่วหยางและเห็นเฟิงจิงเทียนที่ถูกไล่ล่าโดยกลุ่มคนชุดดำ เมื่อเห็นท่าไม่ดีและนึกถึงกลุ่มคนชุดดำที่เคยตามล่าตนเองในอดีต เขาจึงเข้าไปช่วยเฟิงจิงเทียนไว้

ในตอนนั้นเฟิงจิงเทียนได้รับบาดเจ็บสาหัสพอสมควรและฉินเทียนมอบโอสถให้ไปจำนวนหนึ่ง ทว่าในตอนนั้นยังมีธุระหลายอย่างที่ต้องสะสาง เขาจึงพาเฟิงจิงเทียนไปส่งในที่ปลอดภัยและจากไปตามทางของตนเอง

เมื่ออาการดีขึ้น เฟิงจิงเทียนก็รู้สึกสับสนไม่น้อย ทว่าเขาก็จดจำรูปลักษณ์ใบหน้าของบุคคลที่ช่วยชีวิตตนเองได้ ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ เขาพยายามสืบหาข่าวคราวของคนผู้นั้นแต่ก็ไม่พบเบาะแสอะไรเลย ไม่คิดเลยว่าจะได้พบคนที่ตามหาในวันนี้

“ท่านผู้มีพระคุณ โปรดรับการแสดงความขอบคุณจากข้าด้วยเถอะ”

เฟิงจิงเทียนเดินเข้าไปตรงหน้าฉินเทียนก่อนโค้งคำนับและแสดงความเคารพอีกฝ่ายอย่างนอบน้อม

“เอ่อ…อย่าเลย”

ฉินเทียนประคองเฟิงเทียนให้โน้มตัวขึ้นทันที

เฟิงหรูเซียว ฉินอวี้โม่และคนอื่นๆมองดูสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างงุนงง พวกเขาไม่รู้เลยว่าทั้งสองเคยพบกันมาก่อน

“ท่านพ่อ ท่านจอมยุทธ์ฉินเทียนคือคนที่ช่วยข้าไว้ตอนอยู่นอกเมืองลั่วหยางในตอนนั้น หากไม่ได้เขาช่วยไว้ ข้าคงกลายเป็นศพไปแล้วตอนที่ท่านพบข้า”

เฟิงจิงเทียนอธิบายให้เฟิงหรูเซียวได้ทราบขณะมองฉินเทียนด้วยความซาบซึ้งใจ

เฟิงหรูเซียวก็จำสถานการณ์หลังพบตัวเฟิงจิงเทียนได้ดี เขาอดรู้สึกประทับใจไม่ได้เมื่อได้ยินว่าฉินเทียนคือผู้มีพระคุณของเฟิงจิงเทียน

“ไม่คิดเลยว่าจะบังเอิญขนาดนี้ โลกใบนี้ช่างกลมจริงๆ ตอนนั้นฉินเทียนช่วยชีวิตเจ้าไว้และตอนนี้แม่นางอวี้โม่กับเสี่ยวเหยียนก็เป็นพี่น้องที่ดีต่อกัน ดูเหมือนว่าตระกูลเฟิงของเราจะมีสายสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับตระกูลฉิน!”

เฟิงหรูเซียวอดถอนหายใจไม่ได้ จู่ๆเขาก็รู้สึกว่าทั้งสองตระกูลมีความเกี่ยวข้องและมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นต่อกันอย่างที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน แม้ว่าเฟิงอู๋จะมีเรื่องบาดหมางกับฉินอวี้โม่ ทว่าตอนนี้เขาก็จะขออยู่ฝ่ายเดียวกับฉินอวี้โม่

“ใช่แล้ว ไม่คิดเลยว่าจะบังเอิญขนาดนี้”

ฉินเทียนตบไหล่เฟิงจิงเทียนและกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ตอนนั้นข้ามีเรื่องบางอย่างต้องสะสางก็เลยทำได้เพียงปล่อยท่านไว้ที่นั่น ทว่าหลังจากนั้นข้าก็กลับมาหาท่านและพบว่าท่านไม่ได้อยู่ตรงนั้นอีกแล้ว ข้าคิดว่าตระกูลของท่านคงมาช่วยไว้แล้ว เมื่อคิดเช่นนั้นข้าจึงออกจากเมืองลั่วหยาง ไม่คิดเลยว่าหลังจากเวลาผ่านมาหลายปี ท่านจะยังจำข้าได้”

เฟิงจิงเทียนยิ้มเช่นกัน เดิมทีเขาก็รู้สึกชื่นชมผู้นำขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬอยู่ในใจมาตลอด บัดนี้เมื่อได้รู้ว่าผู้นำขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬคือคนเดียวกับที่ช่วยเขาไว้ในอดีต เป็นธรรมดาที่เขาจะชื่นชมฉินเทียนยิ่งกว่าเดิม

“ตอนนั้นข้าไม่ทันได้ขอบคุณท่านผู้มีพระคุณที่ช่วยข้าไว้ ตอนนี้โชคดีจริงๆที่ได้พบกัน ข้าต้องขอบคุณท่านมากจริงๆ”

“เฮ้ อย่าเรียกข้าว่าผู้มีพระคุณเลย เรียกข้าว่าฉินเทียนก็พอ”

ฉินเทียนยิ้มอย่างเป็นมิตรและไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะซาบซึ้งในน้ำใจมากถึงเพียงนี้ การช่วยชีวิตเฟิงจิงเทียนในตอนนั้นเป็นสิ่งที่เขาทำโดยไม่ได้ใช้ความพยายามอะไรมากนัก กล่าวได้ว่าพรหมลิขิตคือสิ่งที่นำพาให้ทั้งสองมาพบกันอีกครั้ง

“ฮ่าๆๆ ไม่ว่าท่านจะพูดอย่างไร เราก็ต้องจัดงานเลี้ยงให้ท่านอย่างสมเกียรติ ท่านห้ามปฏิเสธเด็ดขาด”

เฟิงหรูเซียวยิ้มอย่างมีความสุขและบรรยากาศในห้องโถงก็อบอุ่นเป็นกันเองอย่างมาก

.