ภาคที่ 4 ตอนที่ 64 เรื่องสนุกที่ทั้งเมืองรอคอยนี้

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

เมื่อท้องฟ้าสว่างขมุกขมัว ทั้งเมืองหลวงก็เอะอะอย่างยิ่ง คนนับไม่ถ้วนแห่มายังประตูเมืองทิศใต้ 

 

 

พวกเฉิงกั๋วกงจะเข้าเมืองหลวงจากที่นี่ ตัดผ่านเมืองไปยังถนนเสด็จพระราชดำเนิน หลังจากนั้นจะเข้าเฝ้าฮ่องเต้หน้าพระราชวัง 

 

 

เหลาสุราร้านนำชาบนถนนเส้นนี้ตั้งแต่ครึ่งเดือนก่อนก็ถูกจองหมดแล้ว คนที่จองไม่ได้และจองที่สูงๆ ไม่ไหว ฟ้ายังไม่ทันสว่างก็มายึดครองที่บนถนน 

 

 

ตั้งแต่ในเมืองจนไปถึงนอกเมืองคนเบียดอยู่เต็ม ที่ซึ่งฝูงชนมากที่สุดย่อมเป็นประตูเมืองกับถนนเสด็จพระราชดำเนิน เพราะที่นี่จะมีองค์ชายมาต้อนรับด้วยองค์เอง รวมถึงการเข้าเฝ้าฮ่องเต้ 

 

 

นอกจากที่นี่ สถานที่อื่นก็ฝูงชนแออัดเช่นกัน จากที่สูงสุดบนประตูเมืองมองออกไป ฝูงชนแทบจะเรียงรายไปจนถึงค่ายทหารนอกเมืองที่นั่น 

 

 

เพื่อรักษาระเบียบ กรมทหารม้าห้าเมืองรวมถึงกองทหารองครักษ์เคลื่อนพลนับพันคน เพียงแต่ฝูงชนมากมายเช่นนี้ ทั้งทหารเหล่านี้ก็สังกัดกองทหารองครักษ์ไม่ใช่องครักษ์เสื้อแพร อำนาจข่มขวัญไม่พอ เสียงเอะอะและการเบียดเสียดจึงเกิดขึ้นตรงนั้นตรงนี้ 

 

 

“ครึกครื้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนจริงๆ” บุรุษสวมชุดไหมหรูหราคนหนึ่งที่อยู่ในห้องที่สูงที่สุดของเหลาสุราใกล้ประตูเมืองถอนหายใจเอ่ยขึ้น “เฉิงกั๋วกงชื่อเสียงโด่งดังจริงๆ ชวนให้คนเลื่อมใส” 

 

 

“แต่สำหรับคนพวกนี้แล้ว ที่จริงสงสัยใคร่รู้มากกว่า” มีคนหัวเราะเรียบเฉย “เลื่อมใสอะไรคงเรียกไม่ได้” 

 

 

“ใช่แล้ว ที่นี่คือเมืองหลวง ไม่ใช่แดนเหนือ” มีอีกคนหัวเราะหยันเช่นกัน “หากเฉิงกั๋วกงคิดว่าจะเหมือนอยู่ที่แดนเหนือเช่นนั้นได้ เกรงว่าคงต้องผิดหวังแล้ว” 

 

 

บุรุษสวมชุดผ้าไหมหรูหราผู้นั้นหัวเราะแล้ว 

 

 

“เตรียมพร้อมแล้วหรือไม่?” เขาหันศีรษะกลับมาเอ่ยถาม 

 

 

บุรุษหลายคนพยักหน้า 

 

 

“เพื่อไม่ให้พลาด” คนหนึ่งในนั้นเอ่ยพลางยื่นมือชี้ด้านหน้า “จึงจัดคนไว้นอกเมืองสิบลี้” 

 

 

“ถึงเวลาเฉิงกั๋วกงมาไม่ได้ ข่าวย่อมแจ้งมาให้ทุกคนได้ทราบสาเหตุเอง เช่นนี้ย่อมไม่ทำให้องค์ชายเชื้อพระวงศ์ทั้งหลายด้านนี้ตื่นระหนก” บุรุษอีกคนอมยิ้มเอ่ย 

 

 

คนบางพวกหาเรื่องได้ คนบางพวกหาเรื่องไม่ได้ ตรรกะนี้พวกเขาที่เป็นพ่อค้ารู้ชัดยิ่งกว่าใคร 

 

 

บุรุษชุดไหมหรูหราพยักหน้า สีหน้าพึงพอใจรั้งสายตากลับ มองไปยังนอกประตูเมืองไกลๆ 

 

 

“หวังว่าเฉิงกั๋วกงจะชอบเรื่องไม่คาดฝันครั้งนี้” เขายิ้มเอ่ย 

 

 

………………………………………. 

 

 

เมื่อกระบวนทัพสี่เหลี่ยมก้าวออกจาค่ายใหญ่นอกเมือง ฝูงชนที่รอคอยอยู่ด้านนี้ก็ส่งเสียงเอะอะทันที 

 

 

กำลังพลเหล่านี้ไม่เหมือนกับกองทหารองครักษ์ที่เห็นประจำวันอย่างสิ้นเชิง ชุดเกราะของพวกเขาแม้นับไม่ได้ว่าสวยงาม รูปร่างก็ไม่สูงใหญ่อย่างเช่นเหล่าทหารองครักษ์ แต่ก็เป็นเพราะความเก่าอยู่บ้างผอมแกร็นอยู่บ้างนั่นที่ยิ่งเสริมกลิ่นอายเหล็กและคาวเลือด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงดาบหอกกระบี่คันศรโล่ที่พวกเขาพกเหล่านั้น กดทับจนก้าวเท้าของม้าล้วนหนักอึ้งขึ้นหลายส่วน 

 

 

ยามเผชิญหน้าเสียงโห่ร้องที่ระลอกหนึ่งดังกว่าระลอกหนึ่งกะทันหันนี้ กำลังพลในกระบวนทัพล้วนไม่ขยับสักนิด คล้ายดวงตามองไม่เห็นหูไม่ได้ยิน 

 

 

อิทธิพลของภาพท่ามกลางพายุใหญ่คลื่นยักษ์ข้ายืนตระหง่านไม่ขยับเช่นนี้ยิ่งทำให้คนที่มาชมเรื่องสนุกฮึกเหิมอย่างยิ่ง 

 

 

มีทหารม้าของกองทหารองครักษ์หลายคนขี่เร็วรี่มา 

 

 

“ฝ่าบาทออกจากตำหนักบรรทมแล้วขอรับ” 

 

 

“บรรดาองค์ชายทั้งหลายก็ออกจากประตูวังแล้วขอรับ” 

 

 

ออกจากพระราชวังเวลาใด อยู่ตำแหน่งไหนเวลาใด ต้อนรับเวลาใด นั่นล้วนเป็นฤกษ์ดีที่โหรทำนายไว้แล้ว ไม่ใช่บอกจะไปก็ไปได้ตามสบาย 

 

 

ได้ยินรายงานฝั่งนี้ ขุนนางด้านนี้ที่รออยู่ก็ส่งสัญญาณให้เฉิงกั๋วกงทันที 

 

 

“ท่านกั๋วกง ออกเดินทางได้แล้วขอรับ” พวกเขาเอ่ย 

 

 

เฉิงกั๋วกงส่งสัญญาณให้ผู้ใต้บังคับบัญชา แตรสัญญาณและกลองศึกฉับพลันดังขึ้น ทัพใหญ่เคลื่อนไหวพร้อมเพรียง 

 

 

แตรสัญญาณฮูมฮูมหนักหน่วงเสียงกลองก็ฮึกเหิม แรงสั่นสะเทือนยามกีบเท้าเหล็กตกพื้นพร้อมเพรียง ทำให้ชาวบ้านที่มุงดูอยู่สองฝั่งเส้นขนลุกชัน หลังเงียบอยู่พักหนึ่งก็ร้องสรรเสริญดังกว่าเดิม 

 

 

“ตอนทำศึกก็กระบวนทัพเช่นนี้ใช่หรือไม่?” 

 

 

“นี่น่าตื่นตะลึงเกินไปแล้วจริงๆ” 

 

 

“มิน่าทำให้ชาวจินกลัวจนไม่กล้ารุกรานได้” 

 

 

“เจ้าโง่รึ ชาวจินก็มีกระบวนทัพเช่นกัน บนสนามรบทำสงครามล้วนเป็นเช่นนี้” 

 

 

กองทัพเคลื่อนไปข้างหน้าพร้อมกับเสียงพูดคุย เสียงเอะอะประหนึ่งคลื่นสมุทรถาโถมแผ่ขยาย 

 

 

ได้ยินเสียงเอะอะไกลออกไปลอยมา ฝูงชนที่รออยู่ด้านนี้ก็วุ่นวายพักหนึ่ง 

 

 

“มาแล้ว” 

 

 

“มาแล้ว” 

 

 

“ห้ามเบียด!” 

 

 

“ถอยหลัง!” 

 

 

เสียงตะโกนเสียงตำหนิเสียงร้องไห้ของเด็กที่ถูกเบียดปะปนอยู่ด้วยกัน ทั้งถนนใหญ่อื้ออึงอย่างยิ่ง นายทหาร เจ้าพนักงาน ทหารองครักษ์ทิ่มกระบองชูแส้ม้าหวดตีพักหนึ่งถึงทำให้ฝูงชนสงบลงได้ 

 

 

ตรงที่แถบนี้มีคนไม่น้อยสีหน้าประหลาด คล้ายหนักใจคล้ายตื่นเต้นคล้ายตึงเครียดทั้งยังตื่นเต้นอยู่เลือนราง 

 

 

“มาแล้ว” 

 

 

“เตรียมพร้อม” 

 

 

“อย่าเพิ่งขยับก่อน” 

 

 

“ฟังคำสั่ง” 

 

 

เสียงแผ่วเบาส่งต่อกันไปในฝูงชน คนไม่น้อยเริ่มรวมตัวกันไปยังทิศทางหนึ่ง ในเวลานี้เองก็ได้ยินเสียงดังโครม 

 

 

“เต๋อเซิ่งชางแจกรางวัล” 

 

 

พร้อมกันนั้นเสียงตะโกนก็ดังขึ้น 

 

 

เต๋อเซิ่งชาง? 

 

 

แจกรางวัล? 

 

 

แจกรางวัลอะไร? 

 

 

คนที่อยู่ที่นั่นอึ้งไปวูบหนึ่ง มองตามเสียงไปแล้วตะลึงทันที 

 

 

เห็นเพียงสองข้างทางคนหลายคนฉับพลันโผล่ออกมา ในมือถือตะกร้าอยู่ เวลานี้กำลังเทตะกร้าไปด้านข้าง เงินมากมายดุจสายฝนสาดกระจาย 

 

 

เสียงโครมนี่ก็คือเสียงเงินร่วงตกพื้นนี่เอง 

 

 

ฝูงชนชะงักหนึ่งวูบหนึ่งจากนั้นก็เฮละโล คนนับไม่ถ้วนโถมเข้าใส่เงินบนพื้น 

 

 

ฝูงชนกลุ่มหนึ่งที่เดิมทีกำลังจะรวมตัวเข้าด้วยกันฉับพลันถูกพุ่งกระแทกจนวุ่นวาย นอกจากนี้ในหมู่พวกเขาก็มีคนไม่น้อยวิ่งเข้าใส่เงินที่สาดร่วงอยู่ด้วย 

 

 

“อย่าไป!” 

 

 

“ห้ามไป!” 

 

 

“รีบกลับมา!” 

 

 

เสียงตะโกนร้อนรนดังขึ้นวุ่นวาย ทว่าต่อหน้าเงินตรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อแย่งชิงกับคนมากมาย สติปัญญาก็ไม่เหลืออยู่แล้ว การเคลื่อนไหวคล้ายเป็นไปตามสัญชาติญาณ 

 

 

เห็นฝูงชนที่พริบตาวุ่นวายกระจายไป บุรุษหลายคนที่เป็นแกนนำก็ถลึงตากัดฟัน 

 

 

“เจ้าตัวสายตาคับแคบเหล่านี้” พวกเขาเอ่ยสียงเบาแต่ก็จนปัญญา อย่างไรหากไม่ใช่สายตาคับแคบก็คงไม่มีทางถูกเงินของพวกเขารวบรวมมา 

 

 

ดังนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมองไปทางคนที่สาดเงินเหล่านั้นด้วยสีหน้าชิงชัง 

 

 

เต๋อเซิ่งชาง! 

 

 

รวยจนไม่มีที่ใช้เงินนักรึ? มาร่วมสนุกอะไรด้วย วุ่นวายจริง! 

 

 

สาดเงินเวลานี้ไม่กลัวชักนำความโกลาหลรึ? พวกนายทหารรีบขับไล่พวกเขาสิ จับพวกเขามาลงโทษสิ! 

 

 

แต่การสาดเงินของเต๋อเซิ่งซางนี่สาดได้มีชั้นเชิงยิ่งนัก ประการแรกอยู่ลึกเข้าไปสองฝั่งฟากถนน แล้วยังมีบรรดาพนักงานรักษาระเบียบไม่ให้คนเบียดเหยียบกันอีก 

 

 

ฝูงชนถูกดึงออกไป ข้างถนนใหญ่จึงเบียดเสียดน้อยลงแล้ว ดังนั้นเหล่านายทหารที่วุ่นจนหายใจไม่ทันกลับได้ผ่อนหายใจ พวกเขาจึงไม่ได้ไปขับไล่คนของเต๋อเซิ่งชาง ตรงกันข้ามรู้สึกขอบคุณอยู่นิดๆ คล้ายอยากให้พวกเขาสาดเงินไปตลอด 

 

 

นี่ทำให้คนหลายคนฝั่งนี้ยิ่งโกรธจนเต้นผาง 

 

 

“มาแล้ว!” 

 

 

คนหนึ่งในนั้นเสียงลนลานอยู่บ้างตะโกนขึ้นมา ยื่นมือชี้ด้านหน้า 

 

 

กองทัพทหารบนถนนใหญ่ประหนึ่งขุนเขากลิ้งมา ที่ๆ มาถึง เสียงโห่ร้องพลันดังขึ้น 

 

 

รอไม่ได้แล้ว! บุรุษที่เป็นแกนนำกัดฟันทีหนึ่ง 

 

 

“ไม่ต้องสนใจคนที่แย่งเงินพวกนั้นแล้ว มีคนเท่าไรก็เท่านั้น ไม่อาจรอได้แล้ว รอกระบวนทัพนี่เดินเข้าใกล้พวกเราก็พุ่งเข้าไปไม่ได้แล้ว” เขาเอ่ยเสียงเบา 

 

 

คนรอบด้านเห็นกระบวนทัพทหารใกล้เข้ามาทุกที ในใจก็ตะลึงงัน บรรยากาศนี่น่าสะพรึงเกินไปแล้วอย่างแท้จริง 

 

 

พวกเขาถึงขั้นรู้สึกว่าหากพุ่งออกไปขวางทาง กองทหารเหล่านี้คงเหยียบย่ำผ่านบนร่างพวกเขาไปเหมือนมองไม่เห็น 

 

 

“ไม่มีทาง ที่นี่คือเมืองหลวง นี่คือใต้พระบาทโอรสสวรรค์ พวกเขาไม่ใช่โจรจินเสียหน่อย” บุรุษที่เป็นแกนนำเอ่ย “แล้วยังใต้สายตาของประชาชนนับหมื่นอีก เฉิงกั๋วกงไม่กล้าแน่นอน” 

 

 

เหตุผลนี้ก็ถูก ความหวาดหวั่นของผู้คนรอบด้านถดถอยไป 

 

 

“เร็วๆ ขวางทางไว้” 

 

 

“เอาป้ายผ้าออกมา” 

 

 

พร้อมกับความวุ่นวายพักหนึ่ง คนที่รวมตัวอยู่ด้วยกันก็พุ่งไปกลางถนน 

 

 

นายทหารที่เพิ่งผ่อนลมหายใจชั่วขณะรับมือไม่ทัน ถูกพุ่งชนจนโงนเงนโซเซ เบิ่งตามองคนหนึ่งร้อยกว่าคนวิ่งไปตรงกลางถนน 

 

 

เกิดเรื่องอะไรขึ้น? คนรอบด้านล้วนได้สติมองมา สีหน้าประหลาดใจ 

 

 

นายทหารทั้งหลายเลิกคิ้ว 

 

 

จะก่อเรื่อง! 

 

 

“เร็ว รีบไล่ไป” 

 

 

แต่สายไปแล้ว กระบวนทัพของเฉิงกั๋วกงมาถึงตรงหน้าแล้ว 

 

 

มองเห็นผืนดินฝั่งนี้ฉับพลันฝูงชนโผล่ออกมาขวางทาง สีหน้าขึงขังของนายทหารแถวหน้าสุดพลันปรากฏความประหลาดใจ รวมถึงไม่รู้จะทำอย่างไรอยู่บ้าง 

 

 

“หยุด” 

 

 

ธงโบกสะบัดส่งสัญญาณ กีบเท้าม้าย่ำหนักหน่วง กระบวนทัพที่กำลังเคลื่อนที่พริบตายืนมั่นคงอยู่ที่เดิมไม่ขยับแล้ว 

 

 

การเคลื่อนไหวพร้อมเพรียงพรึบพรับนี่นำความตื่นตะลึงยิ่งกว่าเดิมมา เสียงเอะอะรอบด้านพลันเงียบลง 

 

 

กระทั่งนายทหารในหน้าที่ทั้งหลายที่จะพุ่งออกมาขับไล่คนเหล่านี้ก็หยุดลงโดยไม่ทันรู้ตัวด้วย ท่าทางกริ่งเกรงอยู่บ้างมองไป 

 

 

ฝั่งนี้ตกอยู่ท่ามกลางความเงียบอันแปลกประหลาด 

 

 

บุรุษที่ยืนอยู่กลางถนนพรูลมหายใจ 

 

 

บังคับให้หยุดได้จริงๆ 

 

 

แม้คนน้อยลงไปมาก เคลื่อนไหวก็ลนลานอยู่มาก ไม่บรรลุถึงความเคร่งขรึมอย่างที่คิดไว้ล่วงหน้า แต่ดีเลวก็ยังทำได้แล้ว 

 

 

เขาคุกเข่าลงดังตึก พร้อมกับที่เขาคุกเข่าลงคนอื่นๆ บนถนนใหญ่ก็คุกเข่าลงพรึบพรับเช่นกัน ป้ายผ้าเจ็ดแปดผืนถูกยกชู 

 

 

“ท่านกั๋วกง ให้ทางรอดพวกเราประชาชนตัวน้อยด้วยเถิด” 

 

 

เสียงตะโกนพร้อมเพรียงดังขึ้นในเวลาเดียว 

 

 

เห็นภาพนี้ นายทหารมากมายในกระบวนทัพอดไม่ได้เบิ่งตา สีหน้าประหลาดใจทั้งยังฉงน 

 

 

นี่ก็คือพบผู้เป็นใหญ่ใจเป็นธรรมขวางถนนเรียกร้องความเป็นธรรมที่บนเวทีละครแสดงกันรึ? 

 

 

พวกเขาจะร้องทุกข์ขอความช่วยเหลือจากเฉิงกั๋วกงหรือ?