บทที่ 72 Ink Stone_Romance
ไม่กี่วันถัดมา อาซก็เปิดชมรมครั้งที่สองขึ้น แน่นอนว่าหัวข้อเกี่ยวกับการตัดเส้นทางการค้านั่นเอง จุดที่แปลกไปกว่าเดิมไม่ใช่เพียงแค่เส้นทางถูกตัดขาด แล้วจะหาวิธีแก้อย่างไรเพียงเท่านั้น มีการปรึกษาหารือกันว่าใครจะเสียหายอย่างไรอีกด้วย
“หากถูกตัดขาดแค่ครึ่งปีก็สามารถทำให้ล้มละลายไปอย่างต่ำห้าคนเลยครับ”
“ผมคิดว่านั่นเป็นคำพูดของคนที่ผูกขาดการค้ามาโดยตลอด เพราะตั้งแต่เริ่มการค้าแค่อย่างเดียวกับตระกูลเดียวมาโดยตลอดมันผิดตั้งแต่แรกแล้วล่ะสิ”
“ถ้าพอมีปัญญาอยู่ก็ไม่รู้สิ… นี่ไม่มีแม้แต่พื้นฐานด้วยซ้ำเป็นเพราะเชื่อว่ามีคนถือหลังให้เลยจัดการล่ะสิ”
“ดูเหมือนว่าท่านเคานต์โรสเซนต์จะพยายามวิ่งเต้นอยู่เหมือนกัน แต่ผมว่าครึ่งปีนั้นเกินความสามารถท่านนะ เดี๋ยวท่านเคานต์น่าจะเสียหายไปอีกเยอะ”
“แต่ดูจากการจัดการที่เร็วกว่าที่คิด ไม่แน่อาจจะเกลี้ยกล่อมไวเคานต์วิเกต์ได้ง่ายก็ได้นะครับ”
ท่ามกลางบทสนทนาที่รับส่งกันไปมา วิการ์ยกยิ้มอย่างพอใจพลางพูดขึ้น เพราะเป็นเรื่องที่ไม่รู้เลยอาเรียจึงเอียงคอมอง
เธอคิดว่าอ่านหนังสือและหนังสือพิมพ์ สั่งสมความรู้ต่างๆอยู่เสมอแล้วแต่เรื่องของ ‘ไวเคานต์วิเกต์’เธอเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก อาเรียจึงถามต่อ
“ไวเคานต์วิเกต์เหรอคะ เขาก่อเรื่องอะไรเหรอคะ”
“อ๋อ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลยครับ ไม่นานมานี้เขาเพิ่งได้รับโอนคาสิโนน่ะ”
“…ได้รับโอนคาสิโนเหรอคะ”
“ครับ มกุฎราชกุมารท่านขายคาสิโนทิ้งแล้วครับ อีกเดี๋ยวคงจะออกประกาศอย่างเป็นทางการครับ”
ทำไมกัน ไม่ใช่ว่ามกุฎราชกุมารคอยจัดการคาสิโนนั่นอยู่ตลอดหรอกเหรอ ทำไมถึงทรงขายทิ้งไป ไม่เข้าใจจริงๆ
“ทำไมเหรอคะ ทำไมพระองค์ท่านถึงทรงคิดจะขายทิ้ง…”
กำลังจะถามว่าไม่คิดจะไม่ขายทิ้งแต่ก็รีบปิดปากไปทันที
ทันใดนั้นทุกสายตาต่างหันไปมองเธอที่ไม่ได้พูดอะไรต่อ โดยเฉพาะสายตาที่ดื้อดึงของอาซ นัยน์ตาสีฟ้าที่จ้องราวกับจะทะลุเสียให้ได้จนแทบขนลุก ส่งสายตาราวกับให้อาเรียพูดคำต่อจากนั้นที่เธอเก็บซ่อนมันออกมา
“…ไม่คิดจะขายน่ะค่ะ”
จึงรีบเปลี่ยนคำพูดราวกับเป็นสิ่งที่ตัวเองคิดไว้อยู่แล้ว โชคดีที่ยังต่อได้อย่างเป็นธรรมชาติ แต่เนื้อความกลับไม่เป็นเช่นนั้น
อาซที่คอยฟังการประชุมกันจึงถามขึ้น
“ทำไมถึงคิดอย่างนั้นเหรอครับ”
เพราะว่าในอดีตมันไม่ถูกขายทิ้งอย่างไรล่ะ
มกุฎราชกุมารคุมคาสิโนนั่นอยู่จนเกิดเรื่องใหญ่ ทุกคนต่างด่าทอว่าเขาไม่มีความสามารถ ทำให้ราชอาณาจักรต้องพังทลาย อาเรียยังจำได้ดีว่าคอยส่งเสริมเสียงนั้นอยู่ในอดีต
“เรื่องนั้นน่ะ… เพราะท่านไวเคานต์ลูฟร์เพิ่งเริ่มดูแลให้ไม่นานนี่คะ หากทรงต้องการจะขายอยู่แล้ว ก็ทรงไม่รับจัดการเองตั้งแต่แรกไม่ใช่เหรอคะ”
แม้จะแก้ตัวไปแบบนั้น คนส่วนใหญ่ที่มองเธอดูเหมือนจะคิดตามไปแบบนั้นด้วยเช่นเดียวกัน
แต่อาซไม่ใช่ เขายังเน้นย้ำถามต่อราวกับซักไซ้หาความผิด
“อาจจะเพื่อการตรวจสอบอย่างละเอียดจึงจัดการเองสักพักก็เป็นไปได้ครับ หลังจากนั้นค่อยหาขายทิ้งให้คนที่เหมาะสมก็เป็นเรื่องธรรมดาไม่ใช่เหรอครับ”
“ไม่มีทางหรอกค่ะ หากเป็นไวเคานต์วิเกต์ ท่านเป็นชนชั้นสูงในชนชั้นสูงอยู่แล้ว ทำไมถึงได้เป็นบุคคลที่เหมาะสมกับการมาแทนมกุฎราชกุมารเหรอคะ”
“ไม่รู้สิครับ…”
อาซไม่ได้ตอบคำถามของอาเรียพลางยกยิ้มขึ้น รอยยิ้มนั้นทำให้อาเรียเข้าใจได้ว่าตัวเองเข้าใจอะไรผิดอยู่
เธอพลาดอะไรไปนะ คิดอยู่สักพัก ทันใดนั้นสามารถหาคำตอบที่อาซเคยพูดไปแล้วมาตอบเขาได้
“…ความหมายของบุคคลที่เหมาะสมเป็นหลุมพรางสินะคะ”
“หมายความว่าอะไรเหรอครับ”
“ก็หมายความว่าไม่ใช่ ‘ผู้ที่เหมาะกับการดูแลคาสิโน’ อย่างไรล่ะคะ บางที…มกุฎราชกุมารอาจจะหมายถึง ‘คนที่เหมาะสมกับการใช้งาน’ ก็ได้นะคะ”
ดูเหมือนว่าจะมีแค่อาเรียคนเดียวที่ไม่รู้เรื่องมาก่อน แต่ใช้เวลาไวกว่าที่คิด ที่เธอสามารถวิเคราะห์ความหมายนั้นได้ ทุกคนต่างส่งสายตามองเธออย่างน่าสนใจ
“…เพราะกลุ่มชนชั้นสูงต่างตกอยู่ในวิกฤติการเงิน คราวนี้ไวเคานต์วิเกต์คงต้องพัฒนาแน่ะเลยนะครับ เพราะหากครั้งนี้จะก่อตั้งที่ของราชการ ทำเลจะเปลี่ยนไปอย่างไรล่ะครับ”
แม้จะเข้าใจทิศทางที่จะเป็นไปแล้วแต่ยังมีอะไรที่แปลกไปอยู่ ในอดีตท่านไวเคานต์ไม่ได้เข้าไปยุ่งกับเรื่องคาสิโนนี่นา ทำไมครั้งนี้ถึงได้เข้าไปเกี่ยวด้วยนะ
ต่างจากในอดีต ใครกันที่เป็นคนเกลี้ยกล่อมมกุฎราชกุมาร ทำไมในชมรมครั้งนั้นถึงบอกว่าตัวเองต้องแบบนั้นกัน แล้วต่อจากนี้ล่ะ ต้องมีต้นเหตุผลถึงจะเปลี่ยนสิ ไม่ว่าจะคิดอย่างไรเหตุผลนั้นอย่างเดียวที่นึกออกมีก็แค่คำพูดที่เคยพูดที่ชมรมนี้เท่านั้น
‘…เป็นไปเช่นนั้นได้อย่างไรกัน’
ทางเดียวคือต้องทำ เพื่อไม่ให้เรื่องเสนอตัวเด็กสาววัยสิบห้าปีเข้าหูของมกุฎราชกุมาร แต่จู่ๆก็แปลกที่มกุฎราชกุมารกลับเปลี่ยนใจ เมื่อก่อนก็เคยเกิดเหตุการณ์คล้ายๆกัน แค่คิดว่าเป็นเพราะทฤษฎีผีเสื้อขยับปีกหรือเปล่า
ยิ่งไปกว่านั้นไม่ใช่ชมรมที่ภรรยาท่านผู้นำวิการ์หรอกเหรอ หากชมรมนั้นมีมกุฎราชกุมารมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย อาจจะเกิดเรื่องที่อันตรายและวุ่นวายขึ้นได้
แล้วก็มีเหตุผลใหญ่ที่จะลดความเป็นไปได้นั้นด้วย เพราะในอดีตมกุฎราชกุมารเคยพ่ายแพ้ต่อบรรดาชนชั้นสูงอย่างไรล่ะ หากเขาอยู่ฝ่ายชนชั้นสูงที่ไปเข้าร่วมกับฝั่งมกุฎราชกุมารจริงๆ อย่างไรก็ตามเขาต้องหาทางเอาข้อมูลพวกนั้นไปช่วยมกุฎราชกุมารอยู่แล้ว
“เลดี้ช่างฉลาดหลักแหลมจริงๆครับ”
อาซเผยสีหน้าชื่นชมออกมา ดูเหมือนว่าเขาจะตกใจอยู่เหมือนกันที่อาเรียคาดคะเนถึงจุดนี้ได้ด้วยตัวคนเดียว เพราะอย่างนั้นหลังจากพบปะชมรมจบลง ทุกคนกลับไปแล้วก็ตามเขายังไม่หยุดที่จะเอ่ยปากชมอาเรีย ถึงกับขนาดทำให้หญิงหน้าด้านอย่างเธอต้องเขินอายด้วยซ้ำ
“ไม่ถึงกับต้องพูดชมฉันเกินไปแบบนั้นก็ได้ค่ะ เพราะคนที่ไม่รู้อยู่ตอนนั้นก็มีแค่ฉันคนเดียวนี่คะ”
“แน่นอนสิครับที่เลดี้ไม่ทราบ เพราะข้อมูลพวกนั้นไม่ได้ถูกส่งต่ออยู่แล้วครับ แต่อย่างไรก็ตามคาดเดาได้เองคนเดียวนี่ครับ ผมคิดว่าเรื่องนั้นไม่มีใครที่สามารถทำได้อย่างง่ายเลยครับ”
“หากมีเวลาสักหน่อย ฉันว่าใครๆ ก็ทำได้นะคะ”
“…ไม่เลยครับ เพราะเลดี้เป็นคนพิเศษถึงทำมันได้ครับ เช่นนั้นผมจึงเฝ้าคิดถึงเลดี้อย่างไรล่ะครับ”
คำพูดที่พูดออกมาอย่างไม่ประสีประสาอะไรทำให้อาเรียที่เอานาฬิกาทรายมาจับมันจนแน่น ถึงจะตกใจไปก็ตาม นัยน์ตาสีฟ้าของเขากำลังมองเธออยู่อย่างจริงจัง
“ตอนนี้นี่คุณว่าอะไรนะ…”
อาเรียพยายามเรียบเรียงคำพูดถาม ดูเหมือนว่าอาซเพิ่งจะรู้ตัวว่าถูกถามจึงตอบแบบกระอักกระอ่วน
“ผมจะไม่แก้ตัวอะไรเพราะมันเป็นความจริงครับ”
ตึง เธอตกใจราวกับใครทุบตีหัวใจนั้น แม้จะไม่ได้ยินคำแบบนี้แค่ครั้งสองครั้ง แต่เธอกลับไม่สามารถ ตอบกลับหรือแสดงท่าทางอะไรออกไปได้เลย
ทำได้เพียงแค่พยายามทำให้หัวใจที่เต้นจบแทบระเบิดสงบลงเท่านั้น
“แม้ผมจะไม่ได้คิดเข้าหาด้วยแบบนั้นก็ตาม… แต่เลดี้ทำให้ผมสั่นไหวน่ะครับ”
ทั้งสองฝ่ายต่างสั่นไหวเช่นเดียวกัน ทำไมเขาถึงทำให้ตัวเองที่เกิดใหม่พร้อมกับแรงแค้นต้องสับสนแบบนี้ด้วยนะ
มือของอาเรียจับกล่องนั้นพลางขยับมัน สำหรับเธอในตอนนี้แล้วไม่ต้องการความรู้สึกไร้สาระเช่นนั้น
“…คุณจะพูดว่าอะไรเหรอคะ ฉันไม่เข้าใจ”
ดูเหมือนว่าอาซก็คิดเช่นเดียวกัน จึงไม่มีเสียงอะไรตอบอาเรียที่ย้อนกลับเย็นชา
* * *
ความสับสนก่อตัวเร็วขึ้นกว่าที่คิด
เพราะในอดีตต้องเข้าช่วงฤดูร้อนสักพักถึงจะเริ่มมีอะไรที่ทำให้ไม่สบายใจขึ้น ครั้งนี้เริ่มขึ้นตั้งแต่เพิ่งเข้าฤดูร้อนเลย
แน่นอนว่าเริ่มตั้งแต่อาเรียซื้อน้ำตาลมากักตุนไว้ เพราะของในคลังที่ควรจะมีกลับร่อยหรอลงทำให้เรื่องในอดีตเกิดเร็วขึ้น เพราะน้ำตาลที่หายไปทำให้รสชาติอาหารก็เปลี่ยนไปเหมือนกัน
ขนาดมิเอลที่ไม่เลือกทานยังไม่อยากที่จะทานด้วยซ้ำ เพราะคุ้นชินไปกับรสหวานแล้ว
“…หากทางศุลกากรช่วยแก้ปัญหาให้เร็วขึ้นก็คงจะดี”
บนโต๊ะอาหารที่แทบจะไม่ได้ยินเสียงทานอาหารทำให้ท่านเคานต์ส่งเสียงทุ้มต่ำ เสียงราวกับความโกรธนั้นปะทุออกมา
‘ก็นั่นน่ะสิ ใครบอกว่าให้ผูกขาดน้ำตาลแค่คนเดียวกันล่ะ’
หลังจากน้ำตาลถูกตัดขาดการค้าตระกูลที่ผูกขาดน้ำตาลอยู่จึงพยายามทำสัญญากับเจ้าอื่นเพื่อนำเข้าแต่ดูเหมือนจะสายไปเสียแล้ว ดูท่าจะหาผู้ที่ทำสัญญาอย่างลำบากเพราะทางศุลกากรไม่ทำการอนุญาตให้
“เพราะดูไม่น่าเชื่อถือน่ะค่ะ แม้ว่าขั้นตอนลำดับจะสำคัญอย่างไรก็ตาม คนที่ลำบากแบบนี้ก็มีอยู่เยอะนี่นา…”
มิเอลปลดปล่อยความไม่พอใจออกมา แสร้งทำเป็นแสนดีน่ารักน่าเอ็นดูมาตลอดแต่พอเป็นเรื่องของตัวเองกลับรู้สึกถึงความไม่สบายใจความลำบากสินะ ท่าทางสองขั้วแบบนั้นช่างน่าขยะแขยงเสียจริง
ท่านเคานต์เห็นพ้องกับมิเอล
“ว่ากันว่าศุลกากรเข้าไปอยู่ในเขตอำนาจของมกุฎราชกุมารอยู่นานแล้วนะว่าแล้วเชียวความสามารถท่านน่ากังวล กลัวว่าเขาจะไม่สามารถวิเคราะห์ลำดับความสำคัญได้ เป็นห่วงว่าจะคอยดูแลพระองค์ได้อย่างไรน่ะสิ”
แม้น้ำเสียงจะดูเป็นห่วงราชอาณาจักรอย่างไม่ขาดสาย แต่สิ่งที่ท่านเคานต์เป็นห่วงก็คือ ‘อนาคตของราชอาณาจักรที่ตัวเองมีความสุข’ อย่างไรล่ะ เพราะคนที่ลำบากมีเยอะกว่าคนที่มีความสุข
ตามที่ท่านเคานต์พูดเหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้เห็นความเป็นผู้นำของมกุฎราชกุมารได้ชัดเจนขึ้น ถ้าอย่างนั้น สาเหตุหลักก็มาจากคนถูกหลอกใช้ของฝ่ายมกุฎราชกุมารสินะ เพราะนอกจากนั้นก็ไม่มีคนอื่นที่ถูกพูดถึง ดูเหมือนว่าจะหลุดรอดออกไปได้
การรอเวลาให้น้ำตาลราคาสูงขึ้นจึงใช้เวลาเพิ่มขึ้นอีก เพราะพยายามอดทนเพื่อจะปลดปล่อยความโกรธออกมาในตอนแรก ต้องให้เวลาผ่านไปสักพักจึงจะทำให้ทุกคนเข้าใจได้ว่าสิ่งนั้นไม่จำเป็น
ช่วงนั้นล่ะที่เหมาะที่สุด
ดังนั้นระหว่างที่รอเวลาจึงเพลิดเพลินไปกับเวลาว่างพร้อมกับตั้งใจอ่านหนังสือ หนังสือที่เคยคิดว่ายากที่จะพลิกอ่านแต่ละหน้ากลับอ่านได้เรื่อยๆ ดูเหมือนว่าจะเป็นเพราะเธออ่านอย่างสม่ำเสมอ
และเข้าร่วมชมรมของอาซทำให้เปิดประสบการณ์กว้างขึ้นอีกด้วย เพราะพวกเขาคุยกันแต่เรื่องยากๆนี่นา
หลังจากทานมื้อเช้าแบบเบาๆก็จดจ่อไปกับหนังสืออย่างเงียบๆ แปลกที่คฤหาสน์วันนี้กลับวุ่นวายทั้งนอกใน
“มีเรื่องอะไรกัน”
อาเรียที่เงียบมาตลอดจู่ๆก็พูดขึ้นมาคนเดียว ทันใดนั้นเบอร์รีที่ถูพื้นสะอาดด้วยผ้าเช็ดพื้นอยู่ตกใจพลางหมอบตัวลง
‘ยังไม่ถูกข่มเหงด้วยซ้ำ กลับสั่นสะท้านไปแล้วเหรอเนี่ย’
หล่อนที่กระอักกระอ่วนพลางเปิดหน้าต่างออกไปดูเห็นคนสวนต่างเดินไปมาวุ่นวายไปหมด
‘เพราะเรื่องต่างๆที่เกิดขึ้น คฤหาสน์ท่านเคานต์จึงว่างอยู่บ่อยๆ ไม่มีทางที่จะมีแขกมาเยี่ยมได้นี่นา…’
แต่ดูเหมือนว่าแขกที่มาจะเป็นคนพิเศษมากจนทุ่มสุดตัวเพื่อเตรียมรับแขกขนาดนี้เชียว เธอสงสัยจึงเรียกแอนนี่มาถาม หล่อนจึงบอกข้อมูลทั้งหมดที่รู้ออกมา
“อ๊ะ! ฉันลืมบอกเลดี้ไปเลยค่ะ ดูเหมือนว่าวันนี้ดัชเชสแห่งเฟรดเดอริกจะมาน่ะค่ะ เลดี้มิเอลจะจัดงานเลี้ยงน้ำชาค่ะ”
ก่อนหน้านี้เห็นบอกว่าจะอ่านหนังสือเงียบๆจะไม่เรียกใช้อะไรเสียแล้ว ไม่คิดว่าจะเกิดโชคร้ายขึ้นอย่างไรล่ะ ดูเหมือนว่าจะลืมที่เมื่อก่อนมิเอลเคยบอกเองไปแล้ว
“ดัชเชสแห่งเฟรดเดอริกอย่างนั้นเหรอ…”
เป็นคนที่เธอยังไม่อยากจะเจอ แน่นอนว่าหากเจอหล่อนกับตัวเองตอนนี้ยังไม่มีตัวตนอะไรจะต้องพบเจอกับเรื่องร้ายแน่ ยิ่งตนเองเคยมีข่าวลือกับออสการ์ยิ่งแล้วใหญ่
ดังนั้นจึงพยายามหลบหนี แต่โชคร้ายที่ดัชเชสแห่งเฟรดเดอริกไม่คิดเช่นเดียวกัน
“คือว่า… เลดี้คะ ดัชเชสท่านรออยู่ข้างล่างน่ะค่ะ…”
บอกว่าอยากทักทายคุยด้วยทั้งยังส่งข้ารับใช้มาอีก จะหนีได้อย่างไรกัน บังอาจนัก ลูกนางโสเภณีแสนโสโครกนั่น
ไม่รู้ว่าจะปล่อยข่าวลือว่าเธอหนีหรือเปล่า แน่นอนว่าถึงจะไปพบก็ไม่ได้มีข่าวดีขึ้น แต่หาลู่ทางกันไว้ดีกว่า
“…ไปบอกท่านว่าฉันรู้แล้ว”
เพราะกัดฟันแน่นน้ำเสียงที่พูดไปจึงไม่น่าฟังสักเท่าไหร่แต่นั่นก็เป็นการตอบที่เธอพยายามทำมันดีที่สุดแล้ว
“ได้ค่ะเลดี้”
อาเรียมองข้ารับใช้ที่ออกไปพร้อมกับถอนหายใจพลางจัดแจงตัวเองหน้ากระจก แม้จะน่ารำคาญแต่เธอไม่ควรทำอะไรให้จับผิดได้โดยเด็ดขาด
……………………….