บทที่ 1509 – ยารูปลักษณ์ผันแปร พบเจอ

Ancient Strengthening Technique เทพอสูร บรรพกาล

บทที่ 1509 –  ยารูปลักษณ์ผันแปร พบเจอ

“ราชาหมีทองคำปรากฏตัว ณ ชายแดนของหุบเขา มีใครกันที่ไม่กังวลเรื่องนี้”ผู้คนยังคงพูดจาอย่างต่อ

“เรื่องนี้เป็นเรื่องที่อันตรายมาก ข้าไม่กล้าเข้าไปในภูเขาแล้ว”

………….

“ราชาหมีทองคำ?”สายตาของชิงสุ่ยแสงเป็นประกายเพราะว่าเขามีสูตรยาที่จำเป็นต้องใช้ส่วนประกอบที่อยู่ในร่างกายของราชาหมีทองคำ

สูตรยาชนิดนี้เป็นสูตรยาที่คนเก่าคนแก่จากหอคอยจักรพรรดิเป็นคนมอบมันให้กับเขา มันเป็นสูตรยาที่ช่วยทำให้สัตว์อสูรของเขาวิวัฒนาการอีกครั้ง

ยารูปลักษณ์ผันแปร!!

นี่อาจจะเป็นตัวยาที่ปลุกสายเลือดที่ซับซ้อนภายในออกมา แม้ว่าจะเป็นสัตว์อสูรที่มีสายเลือดธรรมดา ตัวยานี้อาจจะทำให้การไหลเวียนของโลหิตดีขึ้นและทำให้ร่างกายแข็งแกร่งขึ้น แต่ในกรณีสำหรับสัตว์อสูรสายเลือดทรงพลัง ประสิทธิภาพของมันก็คงจะขึ้นอยู่กับสถานการณ์ แต่แน่นอนว่ามันจะทำให้ผู้ที่พบเห็นต้องรู้สึกประหลาดใจ

………………

ช่วงปลายปีที่ผ่านมาชิงสุ่ยกำลังตามหาวัตถุดิบสำหรับสร้างยารูปลักษณ์ผันแปร จนเหลือเพียงแค่ส่วนประกอบสำคัญนั่นก็คือเกล็ดหลังทองคำจากราชาหมีทองคำและถุงน้ำดี…..

ชิงสุ่ยค่อยๆเดินตรงไปยังกลุ่มผู้ฝึกตนที่กำลังพูดคุยกันอยู่อย่างช้าๆ กลุ่มคนเหล่านี้มีประมาณ 10 คน ทุกคนล้วนเป็นคนที่แข็งแกร่งโดยในกลุ่มนั้นมีคนที่อยู่ในระดับปราณนักบุญพิโรธอยู่ 2 คน ส่วนที่เหลือนั้นอยู่ในระดับปราณจักรพรรดิ

“สวัสดีพี่ชาย พวกท่านพอจะรู้หรือไม่ว่าราชาหมีทองคำอยู่ที่ไหนกัน? ถ้าอยากจะเข้าไปตรวจสอบสักหน่อย”ชิงสุ่ยกล่าวถามอย่างสุภาพ

คำพูดที่น่าประทับใจย่อมนำมาซึ่งคำตอบที่ดี

คนเหล่านั้นจ้องมองชิงสุ่ย เด็กหนุ่มผู้นี้ยังคงวัยเยาว์ยิ่งนัก คนอื่นๆจ้องมองดูเขาด้วยสายตาดูถูก เหลือเพียงแค่ผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งระดับปราณนักบุญพิโรธ สองคนที่กล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “เจ้าคิดจะสังหารราชาหมีทองคำอยู่สินะ?”

คนที่พูดนั้นเป็นชายวัยกลางคนอายุประมาณ 40 ปี เขามีคิ้วหนาและนัยน์ตาที่กว้าง กลิ่นอายของเขานั้นโดดเด่นเป็นอย่างมาก มันเป็นกลิ่นอายที่สามารถดึงดูดความสนใจจากทุกคนได้ ทันทีที่เขากล่าว บรรดาผู้คนที่มองดูด้วยสายตาดูถูกและกำลังจะพูดอะไรบางอย่างออกมา พวกเขาถึงกับหุบปากเงียบทันที

คนที่เหลือเมินหน้าหนีขณะที่ชิงสุ่ยหัวลอกมา “ข้ามีบางอย่างที่ตั้งใจจะต้องทำให้ได้ ฉะนั้นข้าจึงอยากรู้ว่ามันอยู่ที่ใดก็เท่านั้นเอง”

ถ้าหากชิงสุ่ยจะต้องตามหามันด้วยตัวเอง ด้วยขนาดของหุบเขาคุนเผิงที่มีอาณาบริเวณกว้างใหญ่ไพศาล มันก็คงยากแม้ว่าจะใช้การรับรู้ทางจิตวิญญาณก็ตาม

“มาเถิด ข้าจะไปกับเจ้าเอง!!”ทันใดนั้นเสียงที่ดูเยือกเย็นและมีเสน่ห์เย้ายวนก็ปรากฏขึ้นจะด้านหลัง

ชิงสุ่ยหันกลับมาด้วยสีหน้าที่งุนงง หญิงสาวในชุดขุนนาง เส้นผมของเธอนั้นงดงามอย่างมากคล้ายกับศิลปะชิ้นเอกของสวรรค์ที่แวววาวดุจหยก  รูปร่างของเธอนั้นทรงเสน่ห์อย่างมากและมีกลิ่นอายที่ดูสง่างามและกดขี่ ดวงตาคู่งามของเธอนั้นคล้ายกับบทกวีที่ไม่อาจจำกัดความได้ คล้ายกับท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวสุกสกาว

เธอเปรียบเสมือนดวงจันทร์ที่ส่องสว่างบนท้องฟ้ามืดมิด รัศมีภายนอกของเธอจะดูสงบนิ่งและแรงกดดันของเธอนั้นกลับลึกราวกับอ้นมหาสมุทร เสื้อผ้าของเธอนั้นแม้จะดูเหมือนมนุษย์ แต่รัศมีของเธอนั้นยิ่งกว่าเทวา

เป็นไปได้หรือไม่ว่าจะเป็นเธอคนนี้?

ชิงสุ่ยเชื่อว่าหญิงสาวที่แสนสมบูรณ์แบบคนนี้จะต้องเป็นหญิงสาวลำดับที่ 10  ของลำดับรูปภาพโฉมงามทั้ง 12 เขาคิดว่าเธอจะต้องเป็นหญิงสาวที่มาจากจักรวรรดิระดับ 4  และดูเหมือนว่าถ้าหากเขาไม่เข้าใจผิดเขาเคยเห็นเธอแล้วครั้งหนึ่งตอนที่อยู่ในมหาทวีปอูเซียตะวันตก

เป็นไปได้หรือไม่ว่าเธอจะมาจากจักรววรดิหิมะนิรันดร์?

ความแข็งแกร่งปัจจุบันของชิงสุ่ยนั้นอยู่ระดับสูง แต่เขากลับรู้สึกว่าหญิงสาวคนนี้แข็งแกร่งกว่าตัวเขาเสียอีก บางทีเธออาจจะอยู่บนจุดสูงสุดของดินแดนบัญชาสวรรค์พินาศ ตัวของชิงสุ่ยเองก็ไม่อาจมองเห็นอายุที่แท้จริงของเธอได้ นี่จึงเป็นคำอธิบายที่สมเหตุสมผล

ความงดงามของเธอนั้นอาจไม่ได้เทียบเท่ากับ อีเย่เจี้ยนเก้อ แต่ก็ไม่ต่างอะไรจากติ๊เฉินหรือชางห่ายหมิงเยวี่ยเลย อีกทั้งเธอยังมีเสน่ห์ที่ยั่วยวนเฉกเช่นเดียวกับถานท่ายหลิงเหยียน เห็นได้ชัดว่าร่างกายของเธอนั้นสมบูรณ์แบบ แต่ก็มีกลิ่นอายของความเย็นชาและลึกลับแฝงอยู่

หญิงสาวผู้นี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าอีเย่เจี้ยนเก้อเลย แต่ชิงสุ่ยไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงเลือกปรากฏตัวในตอนนี้ จากคิดวิเคราะห์เขาก็ตระหนักได้ทันทีว่า

เธอคงสามารถรับรู้ความแข็งแกร่งของเขาและรู้ว่าตัวของเขาอาจไม่ได้แข็งแกร่งเท่าเธอ แต่ก็ยังทรงพลังและที่สำคัญผู้คนมากมายจะต้องจำเขาได้แน่เพราะเรื่องของตระกูลสือ

และด้วยความงดงามของเธอรวมถึงคนเหล่านั้นตระหนักได้อย่างดีว่าพวกเขาคงไม่คู่ควรที่จะพูดคุยกับเธอแม้แต่น้อยจึงค่อยๆเดินออกจากพื้นที่ตรงนั้นไปอย่างเงียบๆ

“ยินดีที่ได้พบ เหตุใดเจ้าถึงเลือกที่จะช่วยข้าล่ะ?”ชิงสุ่ยกล่าวถามพร้อมกับรอยยิ้ม

“หมอเทวดาชิง ข้าช่วยเจ้าก็เพื่อให้หลังจากนั้นเจ้าจะได้ช่วยค่า มันคงไม่เลวร้ายจนเจ้าต้องปฏิเสธข้าหรอกนะ?”หญิงสาวกล่าวคำทั้งหมดจากนั้นก็เดินเข้าหาชิงสุ่ยและหยุดลงตรงหน้าเขาประมาณ 3 เมตร

กลิ่นหอมจางๆที่แสนบริสุทธิ์คล้ายกับดอกกล้วยไม้ ส่งกลิ่นหอมจนถึงตัวของชิงสุ่ย

“วันนี้ดูเหมือนจะสายเกินไปแล้ว เราค่อยเข้าไปพรุ่งนี้ดีหรือไม่?”ชิงสุ่ยคิดเล็กน้อยก่อนจะกล่าว

แต่ความจริงแล้ว ชิงสุ่ยยังคงงุนงงกับเรื่องราวทั้งหมด และยังคงคบคิดเรื่องความลับที่ซ่อนอยู่ภายใต้รูปภาพ โฉมงามทั้ง 12

มันมีเพียง 12 เส้นลมปราณสวรรค์จริงๆหรือ? แล้วถ้ากรุยเส้นลมปราณทั้งหมดจะได้รับประโยชน์เพียงใด?

“เช่นนั้นพรุ่งนี้ข้าจะมาหาเจ้า”หลังจากกล่าวจบเธอก็หายตัวไปทันที

ชิงสุ่ยมองไปยังพื้นที่ที่ว่างเปล่าเบื้องหน้าและรู้สึกว่ามันเหมือนฝันอย่างมาก ทั้ง 10 คนที่เดินทางออกไปยังคงพูดคุยกันถึงบางสิ่งบางอย่าง ส่วนชิงสุ่ยก็เดินกลับไปก่อกองไฟและเริ่มปรุงอาหาร

บริเวณโดยรอบอบอุ่นขึ้นทันทีจากกองไฟที่ใช้ในการเตรียมอาหาร ในยามค่ำคืน ภูเขาย่อมเป็นสถานที่ที่ขึ้นชื่อว่าหนาวเหน็บ โชคดีที่ทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นผู้ฝึกตนจึงสามารถต้านทานความหนาวเหล่านั้นได้โดยง่ายดาย

แม้ว่าชิงสุ่ยจะไม่ได้ใส่เครื่องเทศใดๆแต่คุณภาพเนื้อของเขายังคงยอดเยี่ยม รสชาติอาหารของเขานั้นเป็นรสชาติที่ครบรสและเต็มไปด้วยกลิ่นหอม

เขาทำซุปขนาดเล็กสำหรับตัวเองเนื่องจากไม่มีใครอยู่รอบตัวเขา เขาจึงไม่ได้เร่งรีบไปๆ

ค่ำคืนที่เงียบสงัดผ่านไป ชิงสุ่ยก็ลืมตาตื่นขึ้นมาในเช้าวันรุ่ง บริเวณรอบที่พักของเขายังคงเงียบสงัด ทันทีที่เขาเงยหน้ามองขึ้นไปบนขอบฟ้าหญิงสาวที่แสนงดงามก็ปรากฏ

หญิงสาวผู้นี้มารอเขาตั้งแต่เนิ่นๆ

ชิงสุ่ยเก็บที่พักของและโยนมันกลับเข้าไปในดินแดนหยกยุพราชอมตะ จากนั้นเขาก็บินทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าตรงไปหาหญิงสาวผู้นั้นและยืนอยู่ข้างเธอ

“สวัสดียามเช้า”ชิงสุ่ยกล่าวพร้อมกับรอยยิ้ม

รูปรักของเธอนั้นทรงเสน่ห์เป็นอย่างมาก และไม่ได้มีทรวดทรงที่เป็นเส้นโค้งมากเกิน ดูเหมือนเสน่ห์อันน่าหลงใหลเหล่านี้จะปรากฏออกมาจากร่างกายและจิตวิญญาณของเธอ

หญิงสาวผู้นั้นหันกลับไปหาชิงสุ่ยและกล่าวว่า “อรุณสวัสดิ์!!”

ในตอนนี้ชิงสุ่ยมองเห็นเธอได้อย่างชัดเจน ผิดจากเมื่อวานที่เจอกันในยามตะวันใกล้ตกดิน ผิวของเธอนั้นดูนุ่มนวลคล้ายกับหยก และมีดวงตาอันทรงเสน่ห์ที่แม้แต่ชิงสุ่ยยังไม่อาจต้านทานความน่าดึงดูดเหล่านี้ได้

“ไปกันเถอะ!!”ชิงสุ่ยสังเกตเห็นว่าหญิงสาวผู้นี้เป็นคนไม่พูดมาก เขาจึงตอบกลับโดยไม่อ้อมค้อม

“ไปกันเถอะ”

หญิงสาวผู้นี้นำสัตว์ของเธอออกมา มันเป็นเพียงแค่นกขนาดเล็ก ซึ่งทำให้ชิงสุ่ยงุนงงอย่างมาก ตอนแรกเขาคิดว่าเธอจะนำเอามังกรฟ้าขนาดมหึมาของเธอออกมาเสียอีก

ชิงสุ่ยคาดคิดได้ทันทีว่าที่เธอทำเช่นนี้เพราะไม่อยากให้ชิงสุ่ยนั่งอยู่บนสัตว์อสูรตัวเดียวกับเธออย่างแน่นอน

เมื่อเธอนำนกขนาดเล็กออกมา ชิงสุ่ยจึงเรียกอสูรสยบมังกรของเขาออกมาเช่นกัน

แม้ว่าร่างกายของมันจะไม่ใหญ่นัก แต่ก็สร้างความน่าสยองสยองให้กับทุกสายตาขณะที่เขาบินผ่านหุบเขาคุนเผิงได้

แผนเดิมชิงสุ่ยวางแผนจะนั่งบนสัตว์อสูรของเธอเพื่อถามบางสิ่งบางอย่าง แต่ตอนนี้คงเป็นไปไม่ได้แล้ว ชิงสุ่ยอยากรู้อย่างมากว่าหญิงสาวคนนี้ต้องการให้เขาช่วยเหลืออะไรดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่เร่งรีบมาก

เพราะก่อนหน้านั้นเธอได้เอ่ยปากเรียกเขาว่า “หมอเทวดาชิง” นี่คงเป็นคำว่าอย่างหนึ่งที่จะอธิบายถึงความช่วยเหลือที่เธอต้องการ

แม้ว่าที่แห่งนี้จะเป็นเส้นปลายเขตแดนของหุบเขาคุนเผิง แต่ดูเหมือนว่าระยะทางอีกยาวไกล ชิงสุ่ยไม่รู้เหมือนกันว่าหญิงสาวผู้นี้รู้หรือไม่ว่าราชาหมีทองคำอยู่ที่ใด แต่มันก็ไม่สำคัญเลยตราบเท่าที่เขาจะยังคงได้รับวัตถุดิบที่เขาต้องการ

เขาไม่รู้เหมือนกันว่านี่เป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ที่เขาได้มาพบกับหญิงสาวผู้นี้ แต่เขาค่อนข้างคุ้นเคยกับหญิงสาวผู้นี้อย่างมาก เพราะมันคือรูปภาพหญิงคนที่ 10  ที่ถูกแขวนอยู่ภายในดินแดนหยกยุพราชอมตะ

เมื่อคนๆหนึ่งมองดูรูปภาพรูปเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นประจำ มันให้ความรู้สึกเหมือนว่าจะคุ้นเคยกับคนๆนั้นและรู้จักกันมาเป็นเวลายาวนานอย่างมาก นี่คือสิ่งที่ชิงสุ่ยรู้สึก

หลังจากนั้นประมาณ 2 ชั่วโมง หญิงสาวผู้นั้นก็ได้เดินทางมาถึงสถานที่แห่งหนึ่งที่คล้ายกับหุบเขา พวกเขาสั่งให้สัตว์อสูรลงไปสู่เบื้องล่าง

“เข้าไปด้วยกันเถอะ ดูเหมือนว่าเจ้ากำลังมองหาราชาหมีทองคำเพื่อนำมาทำส่วนผสมในการปรุงยาสินะ!!”หญิงสาวผู้นั้นกล่าวขณะที่เดินตรงไปยังเบื้องหน้า

“อืม ข้าจำเป็นต้องใช้วัตถุดิบบางอย่างจากร่างกายของมัน”ชิงสุ่ยตอบกลับ

“เหตุใดเจ้าถึงรู้ว่าราชาหมีทองคำจะมาปรากฏตัวที่นี่?”

“แล้วมันแข็งแกร่งเพียงใด?”ชิงสุ่ยถามอย่างรวดเร็ว

“ตัวมันนั้นค่อนข้างแข็งแกร่งเลยทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งพลังในการป้องกันของมัน เจ้าคงไม่อาจทำลายมันได้เพียงชั่วครู่ แต่ถ้าหากเจ้าร่วมมือกับสัตว์อสูรของเจ้าก็คงจะสามารถต่อกรกับมันได้”

ชิงสุ่ยเข้าใจคำพูดของเธอ เขายังคงจ้องมองจากเบื้องหลัง และค่อนข้างสนใจกับกลิ่นอายที่เธอครอบครอง

ดูเหมือนว่าเธอจะรับรู้ได้ถึงสายตาที่จ้องมอง จากนั้นเธอก็หันกลับมามองชิงสุ่ย

“เจ้าชอบจ้องมองผู้หญิงงั้นหรือ?”หญิงสาวผู้นั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา

“หรือว่าเจ้าไม่ใช่ผู้หญิงล่ะ”

ชิงสุ่ยตอบกลับจนทำให้เธอเกือบสำลัก

โฮกกกกกกก!!

เมื่อเข้าไปสู่ภายในหุบเขา ก็จะพบกับทางเข้าหุบเขาเล็กๆ และหนาแน่นไปด้วยพลังปราณจิตที่มากกว่าภายนอกถึง 10 เท่า มันเป็นพลังกดดันที่ทำให้ชิงสุ่ยถึงกับงุนงง

“สถานที่ที่อัดแน่นไปด้วยพลังปราณ”

“เจ้าเองก็รู้ด้วยอย่างนั้นหรือ”หญิงสาวผู้นั้นจ้องมองเขาด้วยสายตาที่ประหลาดใจ

“มันก็ไม่มีอะไรเลยนิ ดูเหมือนจะเป็น ค่ายกลเบญจธาตุ ศาสร์แห่งประตูมายา ค่ายกลหยินหยาง…..”

หญิงสาวผู้นั้นเม้มริมฝีปาก ผู้ชายคนนี้ไม่เหมือนกับผู้ชายคนอื่น เขาเป็นคนที่ดูแล้วเหมือนคนกล้าและบ้าบิ่น ไร้ระเบียบแต่เธอกลับรู้สึกถึงความผิดแปลกในตัวของเขา…..

ด้วยความรู้สึกประหลาด ชิงสุ่ยจึงหยุดพูด การแสดงกิริยาต่างๆอาจจะนำมาซึ่งมารยาทที่ดูหยาบคาย สิ่งที่เขาควรทำคือพยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้

นี่คือวิธีการที่คนส่วนใหญ่ใช้กัน ซึ่งมีผลต่อเราสุภาพสตรีอย่างแน่นอน

แต่วิธีการนี้ก็ไร้ประโยชน์สำหรับหญิงสาวบางคน ซึ่งตัวของชิงสุ่ยเองก็ไม่ได้ต้องการอะไรจากเธอ เขาจึงไม่ได้พูดเยินยอสรรเสริญใดๆทั้งสิ้น เขาพูดไปตามอารมณ์ และพยายามแสดงและท่าทางที่ดูสงบนิ่งตลอดเวลา