บทที่ 28 ความเชื่อใจ

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠)

บทที่ 28 ความเชื่อใจ

“ยางั้นเหรอ? พี่บาดเจ็บบ่อยงั้นเหรอ? พี่ทำงานอะไรกันแน่เนี่ย?” มู่หรงเสวี่ยขมวดคิ้ว

“ก็แค่มีศัตรูเยอะเฉยๆ พี่อยากได้ยานี้เก็บไว้เยอะๆเพราะมีคนอื่นที่ต้องการด้วยเหมือนกัน ช่วยบอกทีได้ไหมว่าพี่จะหาซื้อได้จากไหน?” ชูอี้เสิ่นพูดอย่างเคร่งขรึม

มู่หรงเสวี่ยพูดอะไรไม่ออก บาดเจ็บบ่อยๆงั้นเหรอแถมยังบอกอีกว่ามีคนอีกมากที่บาดเจ็บด้วยงั้นเหรอ อ่า!!!

“ตอนนี้ยามันผลิตได้ไม่เยอะหรอกนะ!”

“ทำไมล่ะ เรื่องราคาไม่ใช่ปัญหาเลยนะ” ชูอี้เสิ่นต้องการยานี้จริงๆเพราะมันใช้ง่ายมากๆ แล้วประสิทธิภาพก็ดีกว่ายาทั่วไปถึงสามเท่า
มู่หรงเสวี่ยจ้องไปที่เขา “ฉันเป็นคนทำยานี้ขึ้นมาเอง ตอนนี้มันเหลือยาอยู่อีกไม่กี่ขวดแล้วพี่ก็ใช้ไปตั้งสองขวดแล้วด้วย” ไม่ขอบคุณที่ช่วยรักษาแล้วยังมีจุ๊บกู๊ดไนท์ทำให้เธอต้องมีปัญหาเรื่องข่าวลืออีกต่างหาก

โม่จื่อเหวินประหลาดใจมากที่ได้ยินว่าเธอเป็นคนปรุงยานั่นขึ้นมา ดูเหมือนว่าเจ้านายของเขาจะไม่ใช่แค่เด็กสาวอายุ 15 ธรรมดาๆแล้วล่ะ

ชูอี้เสิ่นไม่ได้รู้สึกประหลาดใจ เขาเดาไว้แล้วว่าเรื่องจะเป็นแบบนี้แต่แค่ไม่ชอบสายตาที่เธอมองมา “เสี่ยวเสวี่ยถึงแม้เธอจะไม่มียาเธอก็ไม่จำเป็นต้องมองพี่ด้วยสายตาสงสารแบบนั้นก็ได้นะ!”

มู่หรงเสวี่ยทำปากจุ๊ๆ “ว่าไงนะ? เพราะพี่ฉันถึงต้องถูกทั้งโรงเรียนเอาไปนินทาเรื่องผู้ชายรู้บ้างไหม?”

“ทำไม? พี่เหรอ? พี่ไม่ได้ทำอะไรเลยนะ” ชูอี้เสิ่นมองด้วยสีหน้าสับสน

“ไม่หรอก ฉันโทษพี่ไม่ได้หรอก ฉันทำยาให้พี่เยอะๆแบบที่พี่ต้องการไม่ได้หรอกนะ แต่ถ้าถึงเวลาแล้วฉันสร้างแผนกผลิตยาเสร็จฉันจะเอาให้พี่ก่อนแล้วกัน”

“เธอจะเปิดบริษัทผลิตยางั้นเหรอ?”
“ก็คิดๆไว้อยู่”
“พี่ช่วยได้ไหม?”

“ยังไม่ใช่ตอนนี้ พี่มีเรื่องอื่นอีกไหม? ถ้าไม่มีอะไรแล้วพี่กลับก่อนดีกว่านะ ฉันมีอย่างอื่นต้องทำอีก” มู่หรงเสวี่ยบอกให้ชูอี้เสิ่นกลับไปได้แล้ว

ดวงตาของชูอี้เสิ่นจ้องตรง “เธอไล่ให้พี่กลับแล้วเขาล่ะ?” นิ้วเรียวยาวชี้ตรงไปที่โม่จื่อเหวิน

มู่หรงรู้สึกแปลกๆ ทำไมน้ำเสียงถึงได้ฟังดูกล่าวโทษแบบนั้นล่ะ!!! “เขาเป็นเพื่อนฉัน แน่นอนว่าก็อยู่กับฉันสิ” ตอนนี้ชูอี้เสิ่นรีบลุกขึ้นมาทันที “เขาเป็นเพื่อนเธอเหรอ?! พวกเธอกำลังคบกันงั้นเหรอ?! พวกเธออยู่ด้วยกันเหรอ?! พวกเธออยู่ด้วยกัน”

เดี๋ยวนะๆ! ที่ถามมาทั้งหมดมันความหมายเดียวกันหรือเปล่า?!!!

หน้าของมู่หรงเสวี่ยแดงไปด้วยความโกรธ เขากำลังคิดบ้าอะไรกันเนี่ย!!! “พี่กำลังพูดเรื่องอะไร? พี่จื่อเหวินมีหน้าที่ปกป้องฉัน ถ้าเขาไม่อยู่กับฉันแล้วเขาจะปกป้องฉันได้ยังไงล่ะ?”

“อ่า? งั้นเขาก็เป็นบอดี้การ์ดของเธองั้นเหรอ?” ชูอี้เสิ่นถามอย่างสงสัย บอดี้การ์ดอะไรหน้าตาดีขนาดนี้! รูปร่างหน้าตาของบอดี้การ์ดคนนี้ดูดีเกินไปหน่อย

“เมื่อเขามาเป็นบอดี้การ์ดฉัน ฉันก็ถือว่าเขาเป็นเพื่อนด้วย งั้นพี่รีบกลับไปเลยฉันมีอย่างอื่นที่ต้องทำอีก” มู่หรงเสวี่ยรีบผลักเขาไปที่ประตูก่อนที่จะได้ตอบอะไร

ชูอี้เสิ่นเอาแต่พูดไปตลอดทางว่า “งั้นเป็นเพื่อนกันได้แต่อย่าเกินเลยนะ บอดี้การ์ดเธอหน้าตาดีเกินไปพี่ไม่คิดว่ามันจะเป็นผลดีเท่า…”

สุดท้ายหลังจากที่ปิดประตูได้ มู่หรงเสวี่ยก็ดันของ 2-3 ชิ้นไปดันไว้ที่ประตูแล้วหันกลับมาพูดกับโม่จื่อเหวิน “อย่าสนใจเรื่องที่เขาพูดเลยนะ เขาแค่ล้อเล่นเฉยๆ”

โม่จื่อเหวินยังนึกถึงคำว่าเพื่อนที่มู่หรงเสวี่ยเพิ่งจะพูดไปเมื่อกี้อยู่ คุณหนูคนนี้ช่างใจดีจริงๆ

“ไม่เป็นไรครับ ผมไม่สนใจหรอก”
“นี่ก็เกือบจะบ่ายแล้ว ไปรับจื่อหลินกันเถอะ ทิ้งเขาไว้คนเดียวมันไม่ดีเท่าไร”
“ดีครับ” โม่จื่อเหวินยิ้มจนแสบตามู่หรงเสวี่ย

หลังจากนั้นไม่นานพวกเขาก็รับโม่จื่อหลินมา ที่ประตู มู่หรงพูดว่า “พี่จื่อเหวิน ช่วยพาจื่อหลินมาที่ห้องฉันก่อนเดี๋ยวเราจะได้กินข้าวด้วยกัน”

“กินข้าวเหรอครับ? คุณอยากจะทำอาหารเหรอครับ?” โม่จื่อเหวินถาม
มู่หรงเสวี่ยเปิดประตู “ทำไมล่ะ? บางครั้งฉันก็ทำอาหารเองนะ นั่งรอที่โซฟาแป๊บเดียวเดี๋ยวก็ได้กินแล้วโอเคไหม?”
วันนี้มู่หรงเสวี่ยทำให้โม่จื่อเหวินประหลาดใจมากจริงๆ คุณหนูไม่เพียงแค่ใจดีและสุภาพแต่ยังมีเมตตาแล้วก็ทรงอำนาจอีกด้วย เธอถึงขนาดทำอาหารเองด้วย ซึ่งแตกต่างจากเจ้านายคนก่อนๆที่เขาเคยทำงานด้วยอย่างสิ้นเชิง

ในระหว่างที่เขากำลังคิด มู่หรงเสวี่ยก็เดินเข้าไปทำอาหารในครัวแล้ว
“พี่ใหญ่ พี่สาวเขาดีมากเลยนะ ฉันชอบพี่เขาจัง” โม่จื่อหลินพูดอย่างมีความสุข
“ใช่ ดีมากจริงๆ”
“…”

เหตุผลที่มู่หรงเสวี่ยบอกว่าเธอจะทำอาหารเองที่บ้านก็เพราะผักที่เธอได้มาจากมิติลับรสชาติดีมากๆ และถ้าจะกินผักที่มาจากมิติลับมันก็คงเป็นเรื่องยากที่จะให้ร้านข้างนอกทำให้ ดังนั้นถ้าจะกินข้าวด้วยกันงั้นเธอทำเองจะดีกว่า นอกจากนี้สุขภาพของโม่จื่อหลินก็ไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไร เธอจึงอยากทำโจ๊กให้เขาโดยใช้น้ำแห่งจิตวิญญาณในมิติลับเพื่อช่วยรักษาร่างกายของเขาด้วยไม่งั้นเขาก็คงจะเดินไม่ได้ เธออยากที่จะช่วย คืนนี้เธอจะเข้าไปในมิติลับเพื่อศึกษาเรื่องการแพทย์และลองดูว่ามีทางไหนที่จะรักษาได้บ้างหรือเปล่า

มู่หรงเสวี่ยเดินไปที่มุมซึ่งมีกำแพงที่กั้นพื้นที่อยู่แล้วจึงแอบหยิบเอาน้ำแห่งจิตวิญญาณออกมา พร้อมทั้งหยิบหม้อใบเล็กๆออกมาเพื่อทำโจ๊กให้โม่จื่อหลินคนเดียว

หลังจากนั้นสักพักกลิ่นหอมอ่อนๆของโจ๊กก็โชยไปทั่วแล้วเธอก็หยิบผักออกมาจากตู้เย็นและนำมาผัดเป็นจานเล็กๆอีกหลายจาน
“กินกันได้แล้ว!” มู่หรงเสวี่ยยกจานอาหารมาวางที่โต๊ะ
แล้วจึงจัดถ้วยและตะเกียบแล้วจึงเรียกให้สองพี่น้องมานั่งที่โต๊ะ
“พี่จื่อเหวิน ช่วยพาเสี่ยวหลินมาที่โต๊ะทีนะคะ”
“พี่สาวอาหารน่ากินมากเลย มันต้องอร่อยมากแน่ๆ!” โม่จื่อหลินได้กลิ่นหอมทันทีที่เดินเข้ามา นานมากแล้วที่ร่างกายเขาต้องทรมานจากความเจ็บปวดแต่ดูเหมือนตอนนี้จะสบายขึ้นมาเพราะกลิ่นของอาหาร

มู่หรงเสวี่ยหัวเราะอย่างมีความสุข เธอเรียนการทำอาหารมาเพื่อฟางฉีฮัวในชีวิตที่แล้ว อย่างไรก็ตามเธอต้องแลกมันด้วยชีวิตซึ่งก็ไม่เสียเปล่า “กินเยอะๆโอเคไหม? พี่ทำโจ๊กไว้ให้ด้วยนะ ต้องกินเยอะๆล่ะ”

“ได้ครับพี่” หลังจากนั้นเขาก็รีบที่จะตักโจ๊กร้อนๆเข้าปาก
โชคดีที่โม่จื่อเหวินเห็นและห้ามไว้ได้ทัน “จื่อหลิน ค่อยๆกินไม่มีใครแย่งหรอกน่า” โม่จื่อหลินแลบลิ้นออกมาและพูดเอ่ยปากชมว่า “พี่สาวทำอาหารอร่อยมากเลย ฉันอดใจไม่ไหวเลย ฮ่าฮ่า”

“นายก็อย่ากินเร็วเกินไปสิ ถ้ามันลวกปากจะทำยังไงล่ะ? พี่จื่อเหวินเชิญนั่งเลยค่ะแล้วกินพร้อมกันเลยนะ!” มู่หรงเสวี่ยพูดออกมา

“ได้ครับคุณหนู ขอบคุณนะครับ” โม่จื่อเหวินตื้นตันใจอย่างมาก ตอนที่เขาเห็นโจ๊กของโม่จื่อหลิน เขาก็รู้ได้เลยว่ามู่หรงเสวี่ยเข้าใจเขาและรอบคอบมาก ลำไส้และระบบย่อยของจื่อหลินไม่ดีเท่าไร เขาต้องกินอาหารเหลวๆอย่างโจ๊กจะเหมาะกว่า เขาไม่ได้บอกเรื่องนี้กับมู่หรงเสวี่ยแต่เธอก็สังเกตได้เอง
“ฉันบอกว่าให้เรียกว่าเสี่ยวเสวี่ยไม่ใช่เหรอ? ขอพูดให้ชัดเลยนะว่าในเวลาปกติฉันทนได้กับทุกเรื่องแต่ฉันจะไม่ยอมรับเรื่องการขัดคำสั่งเด็ดขาด!” มู่หรงเสวี่ยพูดออกมาอย่างจริงจัง

โม่จื่อเหวินยกมือขึ้นมาและทำท่าทางแบบทหาร “ผมสาบานว่าจะคอยปกป้องดูแลคุณไปตลอดชีวิตของผมเลย”

มู่หรงเสวี่ยยิ้ม นี่คือความต้องการของโม่จื่อเหวินและเธอเชื่ออย่างที่เขาพูด ในอนาคตเขาจะตามเธอไปอย่างใกล้ชิด เธอมีความลับมากเกินไปและเธอไม่อยากให้ระหว่างพวกเธอเป็นลูกจ้างกับนายจ้าง เธออยากให้พวกเขาเป็นเพื่อน, เป็นหุ้นส่วนและเป็นครอบครัวกัน ดังนั้นเธอจึงพร้อมที่จะยื่นมือเข้าไปช่วยอย่างสุดความสามารถ!

หลังจากกินอาหารเสร็จ โม่จื่อเหวินและโม่จื่อหลินก็กลับไปที่ห้องข้างๆ

มู่หรงเสวี่ยกลับเข้าไปที่ห้องของเธอ ล็อกห้องอย่างระวังแล้วเข้าไปที่มิติลับและเข้าไปยังห้องคัมภีร์ยาโบราณ เธอลองหาข้อมูลเกี่ยวกับโรคยากๆอย่างใกล้ชิด เธออยากที่จะรู้ว่าโรคที่เสี่ยวหลินเป็นอยู่สามารถรักษาได้หรือเปล่า ถึงแม้เธอจะเพิ่งเจอเข้าวันนี้เป็นครั้งแรกก็ตาม แต่เธอก็รู้สึกเห็นใจเขาเป็นอย่างมากจริงๆ พร้อมกันนั้นมู่หรงเสวี่ยก็รู้ถึงความรับผิดชอบของเขาด้วย

มู่หรงเสวี่ยมองหาอยู่นานและในที่สุดเธอก็เจอวิธีที่จะรักษาอาการป่วยโรคของเสี่ยวหลินแล้ว โดยมีทางเดียวคือการใช้การฝังเข็มฟีนิกซ์เพื่อฟื้นฟูสุขภาพหัวใจและปรับยาเพื่อช่วยในการพักฟื้นด้วย

ทันทีที่เธอเจอวิธีที่จะใช้รักษาเสี่ยวหลิน มู่หรงเสวี่ยก็แทบจะกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจและรีบวิ่งออกจากห้องเพื่อไปเคาะประตูที่ห้องโม่จื่อเหวิน

สักพักต่อมาประตูก็เปิดออก โม่จื่อเหวินที่ยืนอยู่ข้างในห้องพร้อมผมที่กำลังเปียกและสวมเสื้อคลุมไว้หลวมๆ จนเธอมองเห็นแผงอกเนียนๆและหัวนมชมพูอยู่ตรงหน้าเธอพร้อมด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

มู่หรงเสวี่ยรู้สึกเขินอายขึ้นมาทันที

เธอนิ่งเงียบไปจนกระทั่งเสียงนุ่มของโม่จื่อเหวินดังขึ้นมาเธอจึงเพิ่งรู้สึกตัวว่าตัวเองกำลังมองจ้องหน้าอกของอีกฝ่ายอยู่นาน เธออดไม่ได้ที่จะรู้สึกเขินอาย “ว่างหรือเปล่าฉันมีเรื่องให้ช่วยหน่อย? เสี่ยวหลินหลับหรือยัง?”

“ยังเลย คืนนี้ดูเหมือนเขาจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ” โม่จื่อเหวินมองไปที่โม่จื่อหลินที่กำลังดูทีวีอยู่ในห้องนั่งเล่น นานมากแล้วที่เสี่ยวหลินไม่ได้มีความสุขขนาดนี้

มองข้ามโม่จื่อเหวินไป มู่หรงเสวี่ยก็เห็นร่างของ โม่จื่อหลินที่กำลังสนุกและหัวเราะคิกคักอยู่ เธอชี้ไปที่ห้องตัวเองและทำท่าให้โม่จื่อเหวินเดินตามเธอมา “เสี่ยวเสวี่ย มีอะไรจะใช้ผมหรือเปล่า?” โม่จื่อเหวินที่เดินตามมาที่โซฟาพูดถามออกมาก่อน

“ไม่หรอก ฉันมีบางเรื่องเกี่ยวกับเสี่ยวหลินที่อยากจะบอกจนเก็บความสุขไว้ไม่อยู่เลย”
โม่จื่อเหวินนิ่งอึ้งไป “เสี่ยวหลินมีอะไรหรือเปล่าครับ?”
“ฉันเจอวิธีที่จะรักษาเสี่ยวหลิน…”
ถึงแม้โม่จื่อหลินจะมีความสุขมาก แต่ก็มีบางส่วนในตัวเขาที่ไม่อยากจะเชื่อเรื่องที่มู่หรงเสวี่ยพูด แต่ทุกครั้งที่เขาได้รับการรักษา หมอหลายคนก็จะบอกว่าพวกเขาสามารถรักษาได้อย่างแน่นอน อย่างไรก็ตามสุขภาพของจื่อหลินก็แย่ลงซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตอนนี้เขาเลยไม่กล้าที่จะหวังมากเพราะกลัวที่จะผิดหวังอีก

มู่หรงเสวี่ยมองอาการของเขาและก็เข้าใจ “นายไม่เชื่อฉันเหรอ?! แต่นายควรจะเชื่อในผลที่ได้นะ! ไม่คิดเหรอว่าคืนนี้เสี่ยวหลินดูมีพลังมากกว่าปกติ?”

เมื่อคิดถึงบทสนทนาวันนี้ระหว่างมู่หรงเสวี่ยกับชูอี้เสิ่น โม่จื่อเหวินก็ตาเบิกกว้างและพูดว่า “มันเพราะ…”

“ใช่ ฉันใส่สมุนไพรบางอย่างลงไปในโจ๊กของเสี่ยวหลินด้วย”

คุณหนู ตราบใดที่คุณยอมช่วยจื่อหลิน ผมยอมทำทุกอย่าง ผมขอร้องเลยละครับ” โม่จื่อเหวินจับเข้าที่ไหล่ของ มู่หรงเสวี่ยอย่างตื่นเต้นและเขย่าอยู่แบบนั้น

มู่หรงรู้สึกเวียนหัวจากการเขย่า “ปล่อยก่อน ปล่อยฉันก่อน”

เมื่อได้สติว่าตัวเองทำอะไรลงไป โม่จือเหวินก็รีบปล่อยมือทันที เมื่อเขาเห็นว่าที่แขนของมู่หรงเสวี่ยมีรอยแดง เขาก็รีบเอ่ยปากขอโทษในทันที “ผมขอโทษนะครับคุณหนู ผมผิดเอง…” เขาตบอย่างแรงเข้าที่หน้าตัวเอง

มู่หรงเสวี่ยตกใจและรีบจับเข้าที่มือเขาเพื่อหยุดไม่ให้เขาทำร้ายตัวเอง โดยคาดไม่ถึงอุบัติเหตุก็เกิดขึ้น มู่หรงเสวี่ยที่สวมรองเท้าแตะอยู่ก็ลื่นสะดุดและล้มลง โม่จื่อเหวินเมื่อได้เห็นก็อยากที่จะช่วยจับเธอไว้ ทั้งสองจึงล้มลงไปที่โซฟา

ปากของเธอชนเข้าที่อกเขา โม่จื่อเหวินรู้สึกได้ถึงปากบางที่อ่อนนุ่มที่หน้าอกของเขาและทันใดนั้นหัวใจเขาก็เต้นรัวอย่างไม่เป็นจังหวะ

วินาทีต่อมา “อ่า!” มู่หรงเสวี่ยที่เพิ่งร้องออกมารีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตามเธอรีบที่จะลุกเกินไป เธอจึงล้มลงมาอีกครั้ง หลังจากนั้นสักพักมู่หรงเสวี่ยเพิ่งจะลุกขึ้นได้ เมื่อ มู่หรงเสวี่ยล้มลง โม่จื่อเหวินก็พยายามที่จะรับเธอไว้ เมื่อ ตอนที่เธอมาอยู่ข้างๆเขารู้สึกดีใจมากที่มีเสื้อคลุมหลวมๆที่เขากำลังสวมอยู่ช่วยปกปิดความเขินอายของเขาไว้