บทที่ 29
ใจเย็น

ทั้งสองเงียบไปชั่วขณะและทั้งสองต่างก็มีสีหน้าที่เขินอาย
“ผมขอโทษนะครับคุณหนู ผมไม่ได้ตั้งใจ” ในที่สุด โม่จื่อเหวิน ก็เปิดปากพูดก่อน เขาทำอะไรแบบนี้ได้ยังไง

แน่นอนว่ามู่หรงเสวี่ยรู้ดีว่าเขาไม่ได้ตั้งใจ เป็นเธอเองที่พลาดล้มลงไป จูบแรกของเธอในชีวิตนี้เลย

“ไม่เป็นไร มันเป็นความผิดของฉันเอง ฉันไม่ได้ยืนให้ดีเองก็เลยบังเอิญล้มไปแบบนี้” มู่หรงเสวี่ยหน้าแดง

เพื่อทำลายบรรยากาศที่น่าอับอาย มู่หรงเสวี่ยจึงเปลี่ยนหัวข้อ “ไม่ต้องคิดมากนะ เรามาคุยเรื่องเสี่ยวหลินก่อนดีกว่า”

“มีอะไรจะให้ผมจัดการดีครับ?”
“ฉันต้องการเข็มทองชุดหนึ่งสำหรับการฝังเข็มและการรมยา พรุ่งนี้พี่ไปส่งฉันที่โรงเรียนก่อนแล้วค่อยไปซื้อของนะ เอาการ์ดนี้ไปใช้ได้ตามสบายเลยค่ะ” มู่หรงเสวี่ยหยิบการ์ดใหม่ออกมา เมื่อวันก่อนมู่หรงเสวี่ยไปสมัครบัตรใหม่ของธนาคารไว้หลายใบไว้ใช้เผื่อฉุกเฉิน ซึ่งแต่ละใบจะมีเงินประมาณ 10 ล้านหยวน ซึ่งสะดวกที่จะเอาออกมาใช้ตอนนี้อย่างมาก

โม่จื่อเหวินรับการ์ดมาและสาบานกับตัวเองอยู่ในใจว่าจะต้องปกป้องคุณหนูด้วยชีวิต

“ไม่มีอะไรแล้ว พี่กลับไปพักได้เลยนะคะ เอ่อ เดี๋ยวนะคะ…” มู่หรงเสวี่ยเดินกลับเข้าไปในครัว หยิบแก้วออกมาสองใบเติมน้ำต้มลงไปและแอบหยดน้ำแห่งจิตวิญญาณลงไป 2-3 หยด แน่นอนว่าโม่จื่อเหวินไม่เห็นเรื่องนี้

“นี่น้ำสองแก้วนะคะ แก้วหนึ่งให้พี่และอีกแก้วให้เสี่ยวหลิน แต่ถ้าเสี่ยวหลินหลับแล้วก็ไม่เป็นไรนะคะ”

โม่จื่อเหวินรับแก้วน้ำมา “งั้นผมกลับก่อนนะครับ เสี่ยวเสวี่ยงั้นคุณก็รีบนอนได้แล้วนะครับ!”
เมื่อโม่จื่อเหวินกลับไปที่ห้องและเห็นว่าจื่อหลินยังดูทีวีอยู่ เขาก็ส่งแก้วน้ำให้น้อง “เสี่ยวเสวี่ยฝากมาให้นายดื่ม หลังจากดื่มเสร็จแล้วก็รีบเข้านอนได้แล้วนะ แล้วพรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่!”

“พี่สาวใจดีมากเลยนะฮะ ผมจะดื่มให้หมดเลย” จื่อหลิน รีบรับแก้วน้ำมาและรีบดื่มเข้าไปทันที แล้วเขาก็ปิดทีวีอย่างว่าง่าย อันที่จริงเขายังไม่ง่วง หลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกสดชื่นเท่าวันนี้มาก่อนเลย เขารู้สึกสบายตัวขึ้นมาก รู้สึกมีความสุขอย่างมากด้วยแต่เขาก็ไม่อยากให้พี่ชายต้องเป็นห่วง

“ฝันดีล่ะ!” โม่จื่อเหวินมองจื่อหลินค่อยๆหลับก่อนที่จะกลับไปที่ห้องตัวเอง หลังจากที่เงียบไป เขาก็รู้สึกแปลกๆราวกับว่ามีพละกำลังที่ไร้ขีดจำกัดและรู้สึกสบายอย่างที่สุด

โม่จื่อเหวินประหลาดใจมากและคิดว่าน่าจะเป็นเพราะน้ำที่เขาเพิ่งจะดื่มเข้าไปและในเวลาเดียวกันความเชื่อใจในตัว มู่หรงเสวี่ยก็เพิ่มมากขึ้นไปอีก

เช้าวันต่อมามู่หรงเสวี่ยที่กำลังทำอาหารเช้าอยู่ที่เตรียมที่จะออกไปเรียกโม่จื่อเหวินและน้องชายเขาให้มาทานอาหารเช้า อย่างไรก็ตาม เธอหันมาเห็นว่าโม่จื่อเหวินยืนอยู่ตรงหน้าประตูเรียบร้อยแล้ว

“ตื่นเช้าจังนะคะ?! แล้วทำไมไม่เข้ามาข้างในล่ะคะ? พี่ไม่มีกุญแจเหรอ?” มู่หรงเสวี่ยประหลาดใจ

“ผมกลัวว่าจะทำคุณตื่นน่ะครับ” เขาอธิบายสั้นๆ

“ไม่หรอก ทีหลังก็เข้ามาได้เลยนะคะ แล้วจื่อหลินตื่นหรือยังคะ? เรียกให้เขามาทานอาหารเช้า…”

“ผมซื้ออาหารเช้ามาเผื่อคุณกับเขาด้วย”

มู่หรงเสวี่ยสังเกตเห็นถุงใบใหญ่สองใบที่แขนของโม่จื่อเหวิน พร้อมทั้งหยดเหงื่อที่หน้าผากของโม่จื่อเหวินด้วย เดาว่าเขาคงจะรีบวิ่งกลับมาเพราะกลัวอาหารเช้าจะเย็นซะก่อน

หัวใจของมู่หรงเสวี่ยรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาทันทีพร้อมทั้งรับอาหารเช้าที่อยู่ในมือเขามา “ชวนเสี่ยวหลินมากินด้วยกันสิคะ ฉันเองก็ต้มโจ๊กไว้ด้วยเหมือนกัน”
“ดีเลย…”
หลังจากนั้นสักพักโม่จื่อหลินกับโม่จื่อเหวินก็เดินเข้ามา
“อรุณสวัสดิ์ครับพี่สาว!”
“อรุณสวัสดิ์จ๊ะเสี่ยวหลิน มากินโจ๊กนี่ก่อนสิ พี่ทำไว้เยอะเลย”
“โจ๊กของพี่สาวนี่ของโปรดผมเลยนะครับ”
“ฮ่าฮ่า พี่จื่อเหวินก็นั่งลงด้วยสิคะ…”

หลังจากอาหารเช้า มู่หรงเสวี่ยกับพี่ใหญ่ก็บอกให้ จื่อหลิน อยู่ที่บ้าน

บนรถมู่หรงเสวี่ยกำลังคิดถึงเรื่องโรงพยาบาลที่เธออยากที่จะเปิดและยาต่างๆที่เธออยากจะพัฒนาซึ่งต้องใช้กำลังคนเป็นจำนวนมาก เธอจึงถามโม่จื่อเหวิน “พี่จื่อเหวิน พี่รู้จักใครที่กำลังหางานอยู่บ้างหรือเปล่าคะ? ที่บริษัทของฉันต้องการคนอีกเยอะเลย”
โม่จื่อเหวินคิดอยู่สักพัก “ผมรู้จักพี่น้องทหารที่เกษียณแล้วอยู่หลายคน แต่บางคนก็บาดเจ็บเยอะทำให้ฝีมือไม่ดีเหมือนก่อน พวกเขาอยู่ได้ด้วยเงินอุดหนุนของรัฐบาลที่ไม่เยอะเท่าไร มีหลายคนที่มีครอบครัวที่ต้องเลี้ยงดูด้วย แต่พวกเขาก็เป็นคนดีมากๆเลยนะครับ พวกเขาผ่านความเป็นความตายกันมาแล้ว ผมรับรองเรื่องนิสัยของพวกเขาได้เลย”

“เรื่องบาดเจ็บไม่สำคัญหรอกค่ะ พี่ลืมเรื่องฝีมือการรักษาของฉันแล้วเหรอ? ได้คนที่เชื่อใจได้เหมือนครอบครัวก็ต้องดีกว่าอยู่แล้ว บริษัทของเราใหญ่มาก แล้วก็ยังมีงานเล็กๆที่ต้องใช้ผู้หญิงในการดูแลจัดการด้วย ไม่ต้องห่วงเรื่องเงินเดือนนะคะ ตราบใดที่ภักดีกับฉัน ฉันจะดูแลพวกเขาอย่างดีเลย…”

“ให้ผมติดต่อให้ไหมครับ?” โม่จื่อเหวินถาม

“คงต้องรอก่อนนะคะ ฉันจะต้องให้ทางบริษัทเป็นคนติดต่อ ตอนนี้ยังไม่สะดวกที่จะนัดให้ติดต่อเท่าไร” มู่หรงเสวี่ยคิดเรื่องนี้อยู่สักพัก เธอไม่รู้ว่าพี่กู่จะจัดการเรื่องสัญญาเรียบร้อยแล้วหรือยัง? วันนี้หลังเลิกเรียนคงต้องโทรหาซะหน่อย

พวกทหารผ่านศึกที่โม่จื่อเหวินแนะนำมีฝีมือดีมาก เธอสามารถตั้งทีมรักษาความปลอดภัยได้เลยแต่บริษัทเจวี๋ยลี่กรุ๊ปจะต้องขยายออกไปเรื่อยๆ ถ้าไม่มีทีมรักษาความปลอดภัยคงจะไม่ดีแน่ๆ ถึงแม้จะมีบริษัทรักษาความปลอดภัยพิเศษที่เธอยกหน้าที่รักษาความปลอดภัยส่วนสำคัญทั้งหมดให้ดูแล แต่เธอก็จะไม่วางใจและจะฝึกคนของเธอเองด้วยเหมือนกัน

กู่หมิงเป็นคนเดียวที่ดูแลธุรกิจซึ่งก็ยากสำหรับเขาเกินไป บางทีเธอน่าจะไปเจอคนคนนั้น ลั่วเฉิงเฟย เธอยังจำได้ว่าเขาในเวลานี้เขายังเรียนชั้นมัธยมอยู่เลย เพราะเขาจนเลยต้องลาออกจากโรงเรียน อย่างไรก็ตามเขาเป็นอัจฉริยะทางธุรกิจตัวจริงเลย น่าเสียดายที่เขายังเด็กเกินไปและขาดแคลนเรื่องเงินทุน เขาเลยต้องโดนปฏิเสธและไม่มีใครสนใจความคิดเจ๋งๆของเขาตลอด

อย่างไรก็ตามลั่วเฉิงเฟยก็ไม่ยอมแพ้ เขาได้รับการจ้างงานจากเจ้าของบริษัทเล็กๆแห่งหนึ่งที่ชื่อ ฮุ่ยหยาน จื่อจู หลังจากที่ต้องล้มเหลวมาหลายครั้ง

หลังจากนั้นลั่วเฉิงเฟยก็พึ่งเพียงสมองอันชาญฉลาด, สายตาที่กว้างไกลและความกล้าเท่านั้น ทำให้บริษัทเล็กๆก้าวขึ้นมาเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ของจีนอันดับที่หกภายในระยะเวลาแค่สองปีเท่านั้น ซึ่งทำให้ทั้งประเทศต่างก็ตกตะลึงอย่างมาก

หลังจากนั้นก็มีคนมากมายเข้ามาติดต่อเขา แต่ ลั่วเฉิงเฟยไม่เคยทิ้งบริษัทเดิมไม่ว่าข้อเสนอจะดีขนาดไหนก็ตาม

และคำตอบของเขาก็ทำให้คนมากมายนับไม่ถ้วนต้องนับถือ เขาบอกว่าเป็นเพราะเจ้าของบริษัทนั้นถึงทำให้เขามีวันนี้ได้ เขาขอบคุณเจ้าของบริษัทที่เชื่อใจเขาและมอบโอกาสให้เขาในตอนนั้นที่เขาไม่มีอะไรเลย ตราบใดที่เจ้าของบริษัทยังต้องการเขา เขาก็จะไม่มีวันทิ้งไปไหน

อันที่จริง ในตอนแรกเจ้าของบริษัทยังมีพนักงานไม่พอและก็ไม่มีกำไร เขามองที่ลั่วเฉิงเฟยที่ในตอนนั้นยังเป็นเพียงนักเรียน เขาเพียงแค่คิดว่ามันคงจะดีสำหรับบริษัทที่จะมีเด็กหนุ่มหัวใหม่ๆบ้างจึงจ้างเขาในฐานะเด็กฝึกงาน

หลังจากนั้นเจ้าของบริษัทก็ได้เห็นความชาญฉลาดของเขาหลายครั้ง

เธอจะทำยังไงดี? ในชีวิตนี้ มู่หรงเสวี่ยอยากที่จะตัดหน้าฮุ่ยหยาน จื่อจูก็แค่นั้น ขอโทษด้วยนะคุณเจ้าของบริษัท ฉันจะมอบอนาคตให้เขาเอง
ไม่นานพวกเขาก็มาถึงโรงเรียน มู่หรงเสวี่ยบอก โม่จื่อเหวินให้ไปซื้อเข็มทองคำแล้วจึงเดินเข้าโรงเรียนไป

เมื่อเดินเข้าประตูโรงเรียนไป มู่หรงเสวี่ยก็พร้อมที่จะถูกทุกคนหัวเราะใส่ แต่ก็พบว่าวันนี้ทุกคนดูแปลกๆ มองสายตาของพวกเขามันดู “แปลกๆ” งั้นเหรอ?!

เหมือนกับว่ามีบางอย่างอยากจะพูดแต่ไม่กล้าที่จะพูดออกมา นี่พวกเขาแอบหลงรักฉันเพราะเรื่องข่าวลืองั้นเหรอ?!!!

นี่เธอต้องคิดมาไปเองแน่ๆ มู่หรงเสวี่ยที่มองสายตาแปลกๆของทุกคนก็รู้สึกขนลุกไปทั่วทั้งตัว นี่มันอะไรกันเนี่ย?! เธอทนไม่ไหวแล้ว เธอเรียกนักเรียนคนหนึ่งที่กำลังเดินผ่านไป “มีเรื่องอะไรกันเหรอ?”

เด็กผู้ชายที่ถูกเรียกตอบแบบเขินๆ “นั่น…นั่น…”

นั่นเหรอ?! “อันไหนอ่ะ?”

“ผมขอตัวนะครับ!” เด็กผู้ชายรีบเดินไป ทิ้งให้มู่หรงเสวี่ยยืนงงต่อไป

อีกครั้งที่มู่หรงเสวี่ยเห็นกระดาษข่าวของโรงเรียนมีคนรุมล้อม เกิดอะไรขึ้นเนี่ย? สีหน้าของมู่หรงเสวี่ยหมองลง มีรูปถ่ายอีกแล้วหรือไง???

หลังจากที่เดินเข้าไปดูใกล้ๆ เธอก็พบรูป 2-3 ใบติดอยู่แต่มันแตกต่างออกไปนิดหน่อย รูปแรกเป็นรูปของเธอกับหยางเฟิงกำลังทานอาหารค่ำด้วยกัน แล้วก็ยังมีคนอื่นในรูปด้วย คนนั้นคือโม่อ้ายลี่ เดิมทีพวกเขาทานอาหารด้วยกันสามคน เดาว่ารูปแรกคงถูกดึงออกไปและตอนนี้ก็เปลี่ยนเป็นรูปดั้งเดิมของจริง

รูปที่สองคือชายที่แก่กว่าเธอ พี่กู่กำลังคุยกับเธออยู่ รูปแรกที่เธอเคยเห็นจะถูกตัดให้เหลือแค่เพียงด้านบนเท่านั้น ภาพพื้นหลังก็ไม่ค่อยชัดเท่าไร ตอนนี้รูปนี้มีพื้นหลังที่ชัดเจน จึงสามารถเห็นได้ว่าเบื้องหลังมีคนอยู่มากมายและนี่อยู่บนถนนร้านขายของเก่า และเห็นได้อย่างชัดเจนว่าพวกเขากำลังคุยกันอยู่

รูปที่สามคือภาพที่เธอถูกจุ๊บที่หน้าผาก แต่มีอีกรูปหนึ่งเป็นรูปที่พวกเธอแยกย้ายกันกลับไปที่ห้องของตัวเอง
นอกจากรูปพวกนี้ ก็ยังมีข้อความเขียนไว้ตัวใหญ่และหัวข้อก็ยิ่งชัดเจนกว่าอีก :เรื่องข่าวลือของคุณมู่หรงมีคนใส่ร้ายหรือเปล่า?!!! ทั้งโรงเรียนถูกใครบางคนหลอกลวงอยู่หรือเปล่า?!!! บางทีพวกเราทุกคนน่าจะคิดเรื่องนี้หน่อยนะ!!!

นอกจากนี้ยังมีรายชื่อเพื่อนสมัยเด็กจนโตของมู่หรงเสวี่ยซึ่งมีทั้งญาติๆและเพื่อนๆด้วย

นี่เป็นการช่วยเธอกู้ชื่อเสียงงั้นเหรอ?!!! ฝีมือใครกัน? มู่หรงเสวี่ยจำคำที่โม่หลิวเฟิงพูดเมื่อวันก่อนได้ ฝีมือพี่โม่ทำเหรอ

โดยไม่สนใจสายตาขอโทษของนักเรียนรอบข้าง มู่หรงเสวี่ยเดินออกห่างและหยิบโทรศัพท์ออกมากดโทรหาโม่หลิวเฟิง

ปลายสายรีบกดตอบรับทันที “ว่าไงมู่หรงเสวี่ย”
“พี่โม่ขอบคุณนะคะ” มู่หรงเสวี่ยพูดอย่างนุ่มนวล
“ขอบคุณเรื่องอะไรเด็กโง่”
“เรื่องที่โรงเรียนไงคะ ขอบคุณที่พี่ช่วยแก้ข่าวให้เร็วแบบนี้”

โม่หลิวเฟิง : จะไม่เร็วได้ยังไง? เธอบอกเองไม่ใช่เหรอว่าเดี๋ยวเรื่องมันก็เงียบไป?!!! บางทีเขาคงต้องเข้าไปจัดการเองซะแล้ว

“เรื่องเล็กเอง แต่ถ้าอยากจะขอบคุณพี่จริงๆ งั้นก็เลี้ยงอาหารค่ำพี่สิ”

“พี่โม่ พี่นี่เป็นคนดีจริงๆ อย่าว่าแต่มื้อเดียวเลยค่ะ จะอีกกี่มื้อฉันก็พร้อมเสมอค่ะ!”
“ฮ่า ฮ่า เธอพูดเองนะ งั้นก็อย่าลืมซะล่ะ!”

“ไม่ลืมแน่นอนค่ะ ว่าแต่พี่โม่ ฉันต้องไปเข้าเรียนแล้ว ไว้ค่อยคุยกันใหม่นะคะ!”

“ได้เลย”

มู่หรงเสวี่ยเดินอารมณ์ดีกลับไปที่ห้องเรียน
แต่ข้างหลังเธอ สายตาริษยาของเสี่ยวเข่อลี่กำลังจ้องตรงมาที่เธอ มือกำแน่นที่ต้นไม้ใหญ่ข้างๆตัวเอง หลังจากนั้นไม่นานเธอก็วางมือลงและกลับมามีท่าทางอ่อนหวานและน่ารักอีกครั้ง ถ้าไม่เห็นเธอตั้งแต่แรกคงไม่มีใครเชื่อแน่ว่านี่จะเป็นคนคนเดียวกัน มีเพียงกิ่งไม้ที่หักพังเท่านั้นที่เป็นเครื่องพิสูจน์