บทที่ 616 : ตราหยกเทียนสี่!

Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร

บทที่ 616 : ตราหยกเทียนสี่!

“เฒ่าซ่ง.. นี่ไม่เท่ากับว่าหลิงหยุนได้รับของขวัญไปทั้งหมดกว่าห้าพันล้านแล้วรึ?!”

หลังจากที่มู่หลงเวิ่นฉีหายตกใจ เขาก็ได้แต่พึมพำว่า “ยังเป็นแค่เด็กนักเรียนมัธยม แต่กลับมีเงินทองมากมายถึงเพียงนี้..”

ยากนักที่คนอย่างซ่งเจิ้งหยางจะชื่นชมหรือนับถือใคร แต่เขากับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“เฒ่าซ่ง.. ความจริงที่ผมจะบอกคุณไม่ใช่เรื่องเงินทองพวกนั้น แต่เป็นเรื่องอื่นต่างหากล่ะ?!”

“คนอย่างซ่งเจิ้งหยางพบเห็นผู้คนมานับไม่ถ้วน และจากประสบการณ์ผมกล้าพูดได้เลยว่าคนที่มีพรสวรรค์อย่างหลิงหยุนนั้น ผมเพิ่งเคยพบเห็นเป็นครั้งแรก!”

“เมื่อเดือนที่แล้ว.. ผมได้พบกับหลิงหยุนครั้งแรกจากการไปเป็นพยานในการเดิมพันของเขา เขาไม่มีเงินหนึ่งร้อยล้านหยวนมาวางเดิมพันก็จริง แต่รู้มั๊ยว่าเขานำอะไรมาวางเดิมพันแทนเงิน?”

ซ่งเจิ้งหยางยกมือขึ้นกางออกเพื่อบอกขนาดสิ่งของ และพูดต่อว่า..

“เขานำหยกฮ่องเต้ชิ้นใหญ่ขนาดนี้มาวางแทนเงินเดิมพัน! แทบไม่ต้องพูดถึงมูลค่า และหยกฮ่องเต้ชิ้นนี้ก็ถูกนำมาทำเป็นกล่องหยก ส่วนข้างในมีอะไรอยู่นั้น ผมว่าคุณก็คงพอจะเดาออก..”

“แล้วหลังจากนั้น.. ผมก็ได้ข่าวว่าหลิงหยุนจัดการทุบบ้านสองหลังจนราบเป็นหน้ากองด้วยตัวคนเดียวภายในเวลาเพียงไม่กี่นาที แล้วยังหยิบไข่มุกราตรีขนาดใหญ่เท่าดวงตามังกรออกมาโชว์ถึงสองเม็ด!”

“ใหนจะเรื่องที่กู่เหลียนเฉิงหมดอำนาจบารมีไป และหลัวจ้งต้องติดคุกติดตารางนั้น ทุกอย่างก็ล้วนเป็นฝีมือของหลิงหยุนทั้งนั้น ไม่อย่างนั้นถังเทียนห่าวจะได้ก้าวขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานรักษาความมั่นคงได้อย่างง่ายดายแบบนี้รึ..?”

“และที่ผมรู้มามากกว่านั้นก็คือ.. ซันจิ้งซึ่งเป็นคนขับรถชนคุณในครั้งนั้น ก็เป็นหนุ่มเจ้าสำราญและเป็นลูกหลานตระกูลซันในเมืองหลวง อีกทั้งคนในตระกูลซันก็ถูกหลิงหยุนฆ่าตายถึงสามคน!”

…………..

“เรื่องพวกนี้คุณคงไม่ต้องถามว่าผมรู้มาได้ยังไงหรอกนะ! ผมก็มีแหล่งข่าวของผม แบบนี้แล้ว.. คุณคิดว่าเงินทองจะมีความหมายอะไรกับคนอย่างหลิงหยุนงั้นรึ?”

ซ่งเจิ้งหยางไม่คิดว่ามู่หลงเวิ่นฉีเป็นคนนอก เขาจึงเล่าทุกอย่างเกี่ยวกับหลิงหยุนที่ได้รู้มาให้มู่หลงเวิ่นฉีฟังโดยไม่คิดที่จะปิดบังแม้แต่นิดเดียว

“แต่ว่า.. เรื่องที่คุณเล่ามาทั้งหมด ทำไมผมถึงไม่รู้ข่าวคราวเลยล่ะ!”

มู่หลงเวิ่นฉีตอบอย่างงุนงง พร้อมกับยกมือขึ้นลูบศรีษะของตนเองที่ตอนนี้ไม่มีรอยแผลเป็นอยู่แล้ว

“คุณจะรู้ได้ยังไงกัน? ในเมื่อตอนนั้นคุณยังนอนพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลให้เฟยจื่อดูแลอยู่เลย แต่พอออกจากโรงพยาบาลมา..  คุณก็หมกมุ่นอยู่กับการบริหารศาลาเทียนสี่แล้ว คุณก็เอาแต่เก็บตัวอยู่ในบ้าน ไม่ออกไปพบปะพูดคุยกับใครเลยด้วยซ้ำไป..”

ซ่งเจิ้งหยางพูดจบก็เอามือตบบ่าของมู่หลงเวิ่นฉี และพูดกับเขาอีกไม่กี่ประโยค จากนั้นก็ทำท่าจะเดินกลับเข้าไปในห้องทำงานต่อ

“เอาล่ะ.. สิ่งที่ผมได้รู้มา ผมก็เล่าให้คุณฟังไปทั้งหมดแล้ว ตอนนี้คุณจะมอบอะไรเป็นของขวัญให้กับหลิงหยุน ก็คิดเอาเองก็แล้วกัน ผมคงช่วยอะไรไม่ได้!”

มู่หลงเวิ่นฉีรีบคว้าแขนของซ่งเจิ้งหยางดึงกลับมาพร้อมกับกระซิบเสียงเบา “ผมคิดไม่ออกจริงๆ แล้วก็คิดไม่ถึงว่าเพียงแค่ไม่กี่เดือนหลิงหยุนจะก้าวหน้าไปถึงขั้นนี้แล้ว..”

ซ่งเจิ้งหยางยิ้มพร้อมกับตอบไปว่า  “ยังมีอีกหลายเรื่องที่คุณคิดไม่ถึงเชียวล่ะ?”

“นี่เขาฆ่าคนของตระกูลซันไปถึงสามคนจริงๆหรือนี่?” มู่หลงเวิ่นฉีถามออกมาอย่างตกใจ และเริ่มจะรับรู้ถึงความแข็งแกร่งของหลิงหยุน

คนของตระกูลซันถูกสังหารถึงสามคนพร้อมกัน แต่จนถึงตอนนี้ตระกูลซันกลับยังไม่ส่งคนมาล้างแค้นหลิงหยุน เพียงแค่นี้ก็แสดงให้เห็นอะไรหลายๆอย่างได้แล้ว

คนฉลาดย่อมต้องมองออกว่าหลิงหยุนซ่อนความแข็งแกร่งที่น่ากลัวไว้ เพราะแม้แต่ตระกูลซันยังไม่กล้าลงมือทำอะไรรุนแรงกับหลิงหยุน!

“เอาเป็นว่า.. ถ้าผมโกหกคุณแม้แต่นิดเดียว.. ผมจะยอมยกหอไข่มุกและหยกให้คุณทั้งหมดเลย!” ซ่งเจิ้งหยางพูดทีเล่นทีจริง

“เฮ้อ.. เด็กคนนี้ทำไมถึงได้โหดเหี้ยมแบบนี้นะ..!” มู่หลงเวิ่นฉีพูดพร้อมกับส่ายหน้า

ซ่งเจิ้งหยางตอบกลับยิ้มๆ “ไม่ใช่ว่าหลิงหยุนโหดเหี้ยมจนเกินไปหรอก..! นี่ถ้าไม่กลัวว่าหลิงหยุนจะต้องคอยนาน ผมจะค่อยๆเล่ารายละเอียดทั้งหมดให้คุณฟัง หากคุณได้รู้รายละเอียดทั้งหมด คุณก็จะเข้าใจสถานการณ์ของหลิงหยุน และหากคุณตกอยู่ในสถานการณ์เช่นเดียวกับเขา คุณเองก็คงจะต้องลงมือฆ่าคนไม่ต่างจากที่หลิงหยุนทำแน่!”

มู่หลงเวิ่นฉีพยักหน้ารับรู้  ตอนนี้สมองของเขาก็เต็มไปด้วยความคิดมากมาย และไม่ต้องการพูดถึงเรื่องนี้อีก มู่หลงเวิ่นฉีเริ่มเข้าใจบุคลิกนิสัยของหลิงหยุน..

“เฒ่าซ่ง.. นี่คุณพูดมาตั้งมากมาย แต่ยังไม่บอกเลยว่าผมควรให้อะไรเป็นของขวัญกับหลิงหยุนดี?!”

ซ่งเจิ้งหยางตอบกลับไปอย่างอารมณ์ดี “เฒ่าซ่ง.. คุณนี่ชอบบังคับให้คนอื่นซะจริง!”

“ก่อนอื่นคุณต้องเข้าใจก่อนว่า.. ตอนนี้เงินหลายร้อยล้านไม่ได้มีความหมายกับหลิงหยุนเลย แต่ถ้าคุณจะยกศาลาเทียนสี่ซึ่งเป็นธุรกิจของคุณให้กับเขา คุณทำได้มั๊ยล่ะ..?”

มู่หลงเวิ่นฉีตอบกลับมาอย่างโกรธๆ “นี่เฒ่าซ่ง.. อย่าล้อเล่นจะได้มั๊ย?!”

มู่หลงเวิ่นฉีขมวดคิ้วพร้อมกับอธิบายต่อว่า “เฒ่าซ่ง.. ไม่ใช่ว่าผมจจะไม่อยากยกให้หลิงหยุน แต่ศาลาเทียนสี่เป็นธุรกิจดั้งเดิมของตระกูลหลง ผมไม่สามารถให้ได้จริงๆ!”

ซ่งเจิ้งหยางจึงพูดขึ้นว่า “เอาล่ะ..  ถ้าอยากให้ผมช่วย ผมก็พอมีวิธี!”

มู่หลงเวิ่นฉีได้ยินถึงกับยิ้มกว้างอย่างดีใจ “วิธีอะไร..?!”

ซ่งเจิ้งหยางหัวเราะพร้อมกับตอบไปว่า “ผมได้ยินมาว่าตระกูลมู่หลงมีสมบัติซึ่งเป็นมรดกตกทอดกันมาหลายรุ่น ดูเหมือนว่าจะเป็นตราหยกของจักรพรรดิในสมัยโบราณที่รู้จักกันในนาม ‘ตราหยกเทียนสี่’ เรื่องนี้จริงหรือเท็จยังไง?”

มู่หลงเวิ่นฉีได้ยินถึงร้องออกมาอย่างไม่พอใจ “นี่.. อย่าบอกนะว่าจะแนะนำให้ผมนำมรดกของตระกูลมู่หลงไปมอบเป็นของขวัญให้กับหลิงหยุน?!”

ซ่งเจิ้งหยางไม่ใส่ใจกับน้ำเสียงของมู่หลงเวิ่นฉี และเพียงแค่ตอบกลับไปยิ้มๆ “ดูท่าคงจะเป็นเรื่องจริงสินะ! ถ้าผมเป็นคุณ.. ผมจะรีบมอบสมบัติล้ำค่านี้ให้กับหลิงหยุน!”

“เรื่องนี้..”

มู่หลงเวิ่นฉีกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบากใจอย่างที่สุด นี่เป็นสมบัติซึ่งเป็นมรดกตกทอดประจำตระกูลมู่หลง ใช่ว่านึกอยากจะยกให้ใครก็ยกให้ได้ง่ายๆ  มันเป็นมรดกตกทอดมาจากบรรพบุรุษของตระกูล!

“เฒ่าซ่ง.. คุณกำลังทำให้ผมลำบากใจมาก..” มู่หลงเวิ่นฉีถึงกับเครียดขึ้นมาทันที

ซ่งเจิ้งหยางยิ้มบาง  “เห็นมั๊ยล่ะ? ผมบอกแล้วว่าจะไม่เสนอความคิดเห็น แต่คุณก็ยังลากผมกลับมา พอผมเสนอไป คุณก็มานั่งลำบากใจ.. นี่คุณจะเอายังไงกันแน่!”

ซ่งเจิ้งหยางยังคงแอบตื่นเต้นอยู่ในใจเงียบๆ

“แต่..  ตราหยกเทียนสี่นั่นฉันตั้งใจจะเก็บไว้มอบให้กับเฟยจื่อ..” มู่หลงเวิ่นฉีตอบไปตามความจริง

ซ่งเจิ้งหยางได้ฟัง ก็รีบพูดขัดขึ้นมาทันที..

“เฒ่ามู่หลง.. นี่คุณแก่จนหลงๆลืมๆไปหมดแล้วหรือไง? หลานสาวของคุณเป็นคนบอกเองว่าหลิงหยุนเป็นแฟนของเธอ คุณเองก็น่าจะได้ยินนี่นา?”

มู่หลงเวิ่นฉีตอบกลับไปว่า “ก็เห็นอยู่ว่าเฟยจื่ออ้างชื่อหลิงหยุนเพราะต้องการหลลอกเจ้าเด็กหนุ่มหน้าโง่สองคนนั้น จะถือเป็นจริงเป็นจังได้ยังไง?”

ซ่งเจิ้งหยางหัวเราะและพูดต่อไปว่า “เรื่องนั้นฉันรู้ดี! ถึงตอนนี้จะยังไม่เป็นแฟนกันจริงๆ แต่ต่อไปก็ไม่แน่? คุณไม่เห็นปฏิกิริยาของหลานสาวตอนที่หลิงหยุนพูดว่าเขาเป็นแฟนเฟยจื่อหรือยังไง?”

ระหว่างที่อยู่ในห้องทำงานนั้น แม้ว่าซ่งเจิ้งหยางจะพูดเพียงไม่กี่ประโยค แต่เหตุการณ์ทุกอย่างล้วนอยู่ในสายตาของเขา และเขาก็เก็บรายละเอียดได้หมดไม่มีตกหล่นแม้แต่นิดเดียว

“นี่หมายความว่า.. เรื่องหลอกๆเมื่อครู่ กำลังจะกลายเป็นเรื่องจริงงั้นเหรอ? นี่เฟยจื่อชอบหลิงหยุนจริงๆน่ะเหรอ?!” มู่หลงเวิ่นฉีทั้งดีใจและตื่นเต้น

“ถูกต้อง..!”

ซ่งเจิ้งหยางพูดต่อ “ไม่เพียงแค่เฟยจื่อนะ.. คุณไม่เห็นสายตาของหลิงหยุนที่มองเฟยจื่อบ้างหรือยังไง?”

“ผมบอกได้เลยว่า.. ถ้าคุณเป็นผู้หญิง ก็ยากที่จะไม่ชื่นชอบในตัวหลิงหยุน?”

ซ่งเจิ้งหยางตบต้นขาตัวเองพร้อมกับพูดขึ้นวว่า “ในเมื่อหลานสาวสุดที่รักของคุณแต่งงานกับหลิงหยุน ตราหยกเทียนสี่นั่นก็ต้องตกเป็นของเขาอยู่ดี!”

มู่หลงเวิ่นฉีครุ่นคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก่อนจะกัดฟันพูดออกมาอย่างตัดสินใจว่า “ตามนั้นก็แล้วกัน!”

ซ่งเจิ้งหยางหัวเราะแล้วพูดว่า “บอกตามตรงนะ.. วันหน้าคุณจะต้องนึกขอบคุณผม! ตราหยกเทียนสี่แตกๆนั่นสามารถทำให้คุณได้ผูกสัมพันธ์กับหลิงหยุน คุณจะมีแต่ได้กับได้!”

เมื่อพูดออกไปแล้ว  ซ่งเจิ้งหยางก็ลดเสียงลงกระซิบข้างหูของมู่หลงเวิ่นฉี “แต่ก่อนจะมอบตราหยกเทียนสี่ให้กับหลิงหยุน คุณต้องทำตามที่ผมบอกก่อน..”

มู่หลงเวิ่นฉีทั้งมีความสุขทั้งตื่นเต้น เขาพยักหน้าหงึกๆ “ความจริงคุณแนะนำผมแบบนี้ตั้งแต่แรกก็จบแล้ว.. เสียเวลาไปพูดไร้สาระอยู่ตั้งนานทำไมกัน?”

แล้วทั้งคู่ก็เดินกลับเข้าไปในห้องทำงานของมู่หลิงเวิ่นฉีพร้อมๆกัน

เมื่อเข้าไปในห้องทำงาน มู่หลงเวิ่นฉีและซ่งเจิ้งหยางก็พบว่าเด็กหนุ่มหน้าโง่สองคนนั้นไม่อยู่ในห้องแล้ว  ถังเมิ่งเองก็ไม่รู้ว่าไปใหน มีเพียงหลิงหยุนกับมู่หลงเฟยจื่อเพียงสองคนเท่านั้น

จูหย่งหวังและโหวเย่าจงถูกหลิงหยุนฉีกหน้า จึงไม่มีหน้าอยู่ต่ออีก ส่วนถังเมิ่งนั้นก็ขอตัวไปเข้าห้องน้ำ

“ท่านปู่.. ไปทำอะไรกันตั้งนานคะ?”

มู่หลงเฟยจื่อที่นั่งอยู่ในห้องกับหลิงหยุนตามลำพัง หัวใจของเธอเต้นแรงอย่างไม่สามารถอธิบายได้ และใบหน้าก็เริ่มแดงก่ำ

แต่หลิงหยุนยังคงสงบนิ่งเช่นเคย และไม่พูดอะไร ทั้งคู่ต่างก็นั่งรินชาดื่มอย่างเงียบๆภายใต้บรรยากาศที่คลุมเครือ แต่หลิงหยุนกลับสนุก..

เขารู้สึกถึงชัยชนะที่สามารถทำให้มู่หลงเฟยจื่อยอมรับนับถือเขาได้!

“ปู่ออกไปคุยกับลุงซ่งเรื่องของหลานมาน่ะ..!”

มู่หลงเวิ่นฉีมองทั้งสองคนด้วยจิตใจที่มีความสุขอย่างมาก และนึกเสียดายที่เข้ามาในห้องเร็วเกินไป

มู่หลงเวิ่นฉีมองหลานสาวสุดที่รักของตนเอง  แล้วจึงหันไปมองหลิงหยุนด้วยสายตาเป็นมิตร ก่อนจะพูดขึ้นว่า

“หลิงหยุน.. ฉันได้เตรียมของขวัญตอบแทนที่เธอได้ช่วยชีวิตของฉันไว้ แต่ฉันไม่ได้นำติดตัวมาด้วย เดี๋ยวจะให้เฟยจื่อกลับไปนำมา..”

แน่นอนว่ามู่หลงเวิ่นฉีหมายถึงสมบัติซึ่งเป็นมรดกตกทอดของตระกูลมู่หลง – ตราหยกเทียนสี่..!

มู่หลงเวิ่นฉีพูดต่อว่า.. “ใหนๆ เธอกับหลานสาวของฉันก็เป็นแฟนกัน คงไม่ต้องพูดจาอ้อมค้อมอีก..”

เมื่อมู่หลงเฟยจื่อได้ยินคำพูดของมู่หลงเวิ่นฉี ใบหน้าของเธอก็แดงก่ำ และไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมอง แต่ก็ไม่ปฏิเสธ..

แต่หลิงหยุนกลับส่ายหน้าพร้อมตอบกลับไปด้วยสีหน้าที่สงบนิ่ง “ท่านปู่มู่หลงไม่จำเป็นต้องให้ของขวัญที่มีมูลค่ามากมายอะไรกับผมหรอกครับ! หากอยากจะมอบอะไรให้ผมสักอย่างจริงๆ  ก็ให้หินประดับสักก้อนกับผมก็พอ…”