บทที่ 617 : ได้หินประดับ!

Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร

บทที่ 617 : ได้หินประดับ!

ระหว่างที่พูด.. หลิงหยุนก็ยกมือขึ้นชี้ไปที่หินประดับรูปร่างคล้ายหน่อไม้สูราวครึ่งเมตรที่วางอยูหน้าโต๊ะทำงานของมู่หลงเวิ่นฉี

ทั้งสามคนต่างก็หันหน้ามองไปตามนิ้วของหลิงหยุน..

สิ่งที่หลิงหยุนต้องการนั้นเป็นเพียงแค่หินประดับธรรมดาๆ ซึ่งมีมูลค่าไม่กี่ถึงหนึ่งหมื่นหยวน.. นี่เป็นการเรียกร้องที่น้อยนิดมาก!

“หลิงหยุน.. ฉัน.. ฉันเชื่อแล้วว่าคุณไม่ได้เป็นคนโลภมากเอาแต่ได้! และถ้าคุณรับเพียงแค่หินประดับก้อนนี้เป็นของขวัญ หลังจากนี้ไปผู้คนคงต้องพากันพูดลับหลังตระกูลมู่หลงอย่างแน่นอน!”

มู่หลงเฟยจื่อพูดขึ้นมาอย่างไม่เห็นด้วย ตอนนี้เธอเชื่ออย่างสนิทใจแล้วว่าหลิงหยุนไม่ใช่คนโลภมากอย่างที่เธอเคยคิด!

ซ่งเจิ้งหยางเองก็แทบอยากจะร้องไห้ ในใจของเขานั้นได้แต่คิดว่า ‘ฉันอุตส่าห์เกลี้ยกล่อมเฒ่ามู่หลงตั้งนานกว่าจะยอมมอบสมบัติล้ำค่าออกมาได้ แต่เธอกลับเรียกร้องเพียงแค่หินประดับราคาไม่ถึงหมื่นหยวนนี่นะ!’

ซ่งเจิ้งหยางถึงกับพูดอะไรไม่ออก..

มู่หลงเวิ่นฉีได้แต่เหลือบมองหลานสาวพร้อมกับถอนใจราวกับจะบอกเธอว่า – นี่น่ะหรือคือคนที่เธอบอกว่าโลภมากเห็นแก่ได้?!

มู่หลงเฟยจื่อนั้น.. แม้ใจหนึ่งจะรู้สึกเสียใจ แต่อีกใจหนึ่งกลับรู้สึกมั่นใจและมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก จากนั้นจึงได้แต่นิ่งเงียบไม่พูดอะไรอีก

ซ่งเจิ้งหยางจ้องมองหินประดับก้อนนั้นอยู่นาน ในที่สุดจึงพูดขึ้นว่า “หลิงหยุน.. เฟยจื่อพูดได้ถูกต้อง! หากเธอรับไว้เพียงแค่หินประดับธรรมดาๆเพียงก้อนเดียว เฒ่ามู่หลงคงไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ใหน และคงจะต้องอับอายขายหน้าอย่าแน่นอน!”

“ถ้าเธออยากได้หินประดับจริงๆ ที่บ้านของฉันมีมากมาย ฉันจะมอบให้เธอเอง!”

ความจริงแล้ว.. ครั้งแรกซ่งเจิ้งหยางก็คิดว่าหลิงหยุนเสนอที่จะขอรับหินประดับธรรมดาๆแท่งนี้เพราะคงเห็นอะไรบางอย่างที่ซ่อนอยู่ด้านใน อย่างเช่นหยกเป็นต้น! แต่หลังจากที่เขาพินิจพิจารณาอยู่นาน เขาก็พบว่ามันเป็นเพียงแค่หินธรรมดาๆที่มีรูปร่างแปลประหลาดเท่านั้น และดูเหมือนจะไม่มีมูลค่าเลยแม้แต่น้อย

ซ่งเจิ้งหยางนับว่าดูไม่ผิด.. แต่ถึงแม้ว่าภายในหินก้อนนั้นจะไม่ใช่หยก แต่สิ่งที่ซ่อนอยู่ภายในหินก้อนนั้นก็นับว่าเหนือกว่าหยกมาก เพราะภายในหินมีพลังชีวิตสีทองที่ถูกกักเก็บไว้ด้านใน และมันเป็นของมีค่าที่หาได้ยากมากในสายตาของหลิงหยุน!

แน่นอนว่าหลิงหยุนต้องไม่ยอมอย่างแน่นอน เขาจึงตอบซ่งเจิ้นหยางกลับไปยิ้มๆ “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับราคา ผมเพียงแค่อยากได้หินประดับก้อนนี้เพราะรูปทรงของหินที่พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ดูแล้วสง่างามมาก! อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ ผมไม่ได้มาที่นี่เพื่อเรียกร้องสิ่งของใดๆจากท่านปู่มู่หลง.. ผมยังคงยืนยันเหมือนเดิม..”

คำพูดของหลิงหยุนนั้น ทำให้มู่หลงเวิ่นฉี และมู่หลงเฟยจื่อรู้สึกประทับใจอย่างไม่ต้องสงสัย!

ทันทีที่มู่หลงเวิ่นฉีได้ฟัง เขาก็ตัดสินใจได้ทันที มู่หลงเวิ่นฉีหัวเราะและตอบไปว่า “เอาล่ะๆ ในเมื่อหลิงหยุนพูดเช่นนี้  ฉันเองก็ไม่อายที่จะยกหินประดับนี้ให้กับเธอ..”

หลิงหยุนได้ยินก็ถึงกับดีอกดีใจอย่างมาก และรีบเอ่ยขอบคุณทันที “ขอบคุณท่านปู่มู่หลง..”

แต่เมื่อมู่หลงเฟยจื่อเห็นปู่ของเธอตัดสินใจที่จะยกหินประดับแตกๆก้อนหนึ่งให้กับหลิงหยุน เธอจึงรีบร้องห้ามทันที

“คุณปู่คะ..”

แต่แล้วก็ได้ยินมู่หลงเวิ่นฉีพูดต่อว่า  “แต่หินประดับก้อนนี้เป็นเพียงของแถมเท่านั้นนะ.. ของขวัญที่ฉันตัดสินใจจะมอบให้กับเธอนั้น ก็จะยังยืนยันว่าจะมอบให้เหมือนเดิม  เดี๋ยวเธอตามเฟยจื่อไปเอาของขวัญที่บ้านก็แล้วกัน..”

หลังจากนั้นมู่หลงเวิ่นฉีก็หันไปยิ้มให้หลานสาวสุดที่รับพร้อมกับพูดขึ้นว่า  “เฟยจื่อ.. แบบนี้เหมาะสมหรือยัง?”

มู่หลงเฟยจื่อเข้าไปกอดแขนของมู่หลงเวิ่นฉีไว้แน่นพร้อมกับพยักหน้ายิ้มๆ “ค่ะ..”

ความจริงแล้ว.. เรื่องที่จะให้อะไรกับหลิงหยุนเป็นของขวัญนั้น ก็คงไม่สำคัญเท่ากับเรื่องที่เธอจะต้องกลับไปบ้านพร้อมกับหลิงหยุนสองคน และเป็นช่วงเวลาที่เธอจะได้อยู่กับเขาตามลำพัง

ตระกูลหลงยังมีสมบัติใดที่จะล้ำค่าไปกว่ามู่หลงเฟยจื่ออีกงั้นหรือ?

มู่หลงเฟยจื่อเหลือบมองหลิงหยุนด้วยความเขินอาย ในเมื่อหลิงหยุนได้สมบัติล้ำค่าตามที่ต้องการแล้ว เรื่องอื่นหลิงหยุนก็ไม่สนใจอีก เขาจึงรีบปฏิเสธอย่างเกรงใจ..

“ปู่มู่หลงครับ.. ผมรู้สึกว่ามันมากเกินไป..”

และยังไม่ทันที่มู่หลงเวิ่นฉีจะได้อ้าปากพูด เสียงของมู่หลงเฟยจื่อก็ดังแทรกขึ้นมาพร้อมเสียงถอนหายใจ

“เฮ้อ.. พวกเราให้ของขวัญกับนาย นายก็รับๆไปเถอะน่า จะเรื่องมากทำไมกัน?”

หลิงหยุนจึงได้แต่ยิ้มและพยักหน้ายอมรับ..

แต่ถึงกระนั้น.. หลิงหยุนก็อดที่จะรู้สึกผิด และซาบซึ้งใจต่อความจริงใจของปู่และหลานสาวตระกูลมู่หลงที่มีให้กับเขาไม่ได้ แม้ทั้งคู่จะคิดว่ามันเป็นแค่หินประดับธรรมดาๆ แต่หลิงหยุนก็รู้ดีว่ามันไม่ใช่! อีกทั้งวันนี้เขาเองก็ได้แอบแกล้งมู่หลงเฟยจื่อจนเธอเองต้องเป็นทุกข์ จึงอยากจะปลอบใจเธอด้วยของขวัญตอบแทน!

เขาจึงเรียกไข่มุกราตรีออกมาจากแหวนพื้นที่..

จากนั้นหลิงหยุนก็ยื่นมือที่กำไว้ออกไปด้านหน้า แล้วค่อยๆ แบออกเผยให้เห็นไข่มุกราตรีขนาดเท่าดวงตามังกรกำลังเปล่งประกายสว่างไสวระยิบระยับต่อหน้าทุกคน

“พี่เฟยจื่อ.. ผมรีบร้อนมาที่นี่ก็เลยไม่มีเวลาเตรียมของขวัญมาให้ ผมเป็นผู้ชาย ของสิ่งนี้จึงไม่มีประโยชน์อะไรกับผม ผมขอมอบให้คุณเป็นของขวัญ!”

นี่หลิงหยุนกล้าพูดว่าของสิ่งนี้ไม่มีประโยชน์สำหรับเขางั้นหรือ? นี่มันคือไข่มุกราตรีซึ่งเป็นสมบัติล้ำค่ำ และหาได้ยากมากในโลกนี้!

แต่ครั้งนี้.. ไม่มีใครสนใจฟังคำพูดของหลิงหยุนเลยแม้แต่น้อย ทั้งสามคนต่างก็จ้องมองไข่มุกราตรีพร้อมกับอ้าปากหวอ..

มู่หลงเฟยจื่อเป็นถึงนักออกแบบ และผู้ประเมินเพชรพลอยที่คร่ำหวอดอยู่ในอุตสาหกรรมจิวเวลรี่มานาน อีกทั้งยังมีตำแหน่งเป็นถึงผู้จัดการทั่วไป และหัวหน้าฝ่ายออกแบบเครื่องประดับของบริษัทเทียนสี่จิวเวลรี่ ซึ่งเป็นกิจการของตระกูลมู่หลงอีกด้วย

ดังนั้นไม่ว่าเครื่องประดับชนิดใด หรือแบบใด เธอก็เห็นมาหมดแล้ว แต่ไข่มุกราตรีเม็ดนี้ เธอเพิ่งเคยพบเห็นเป็นครั้งแรก!

“โอ้พระเจ้า..!”

มู่หลงเฟยจื่อถึงกลับกลืนน้ำลายด้วยความตื่นเต้น ดวงตาของเธอจับจ้องอยู่ที่ไข่มุกราตรีพร้อมกับพึมพำออกมาด้วยความตกตะลึง

“สวยอะไรอย่างนี้..?! งดงามแล้วก็น่าหลงใหลที่สุด! ช่างเป็นสมบัติล้ำค่ามากเหลือเกิน! ฉัน.. ฉันขอสัมผัสดูได้มั๊ย?”

หลิงหยุนพลิกฝ่ามือวางไข่มุกราตรีลงบนฝ่ามือของมู่หลงเฟยจื่อ  ในขณะเดียวกันก็ไม่ลืมที่จะกุมฝ่ามือของเธอไว้ในอุ้งมือของเขาพร้อมกับพูดยิ้มๆ

“ผมบอกแล้วไงว่ามอบให้คุณเป็นของขวัญ.. ก็ต้องสัมผัสได้สิ!”

“ห๊ะ! นี่ให้ฉันจริงๆเหรอ..” มู่หลงเฟยจื่อร้องออกมามาอย่างลืมตัว และไม่มีทีท่าว่าจะปฏิเสธ

มู่หลงเวิ่นฉีและซ่งเจิ้งหยางเองก็ยังคงอยู่ในอาการตกใจ พวกเขาต่างก็ตกตะลึงเพราะก่อนหน้านี้เพิ่งจะพูดถึงเรื่องที่หลิงหยุนครอบครองอยู่ แต่ตอนนี้เขากลับนำมันออกมามอบให้กับมู่หลงเฟยจื่อ!

มู่หลงเวิ่นฉีนึกถึงตราหยกเทียนสี่ของตระกูล และได้แต่คิดในใจพร้อมกับส่ายหัว ‘ครั้งนี้คงไม่ใช่ตระกูลหลงที่เป็นฝ่ายเสียเปรียบแล้วล่ะ!’

สีหน้าของซ่งเจิ้งหยางเต็มไปด้วยความอิจฉา เขาร้องออกมาอย่างตกตะลึง “เฒ่ามู่หลง.. เชื่อที่ฉันพูดหรือยัง?”

มู่หลงเวิ่นฉีเข้าใจน้ำเสียงของซ่งเจิ้งหยางได้เป็นอย่างดี เพราะซ่งเจิ้งหยางเพิ่งจะบอกกับเขาว่าการได้ผูกสัมพันธ์กับหลิงหยุนนั้นมีแต่ได้กับได้..

“ไม่ว่าจะเป็นผิวของไข่มุก หรือประกายแวววาวของมัน.. นี่สิจึงจะเรียกว่าไข่มุกในตำนานที่แท้จริง!” สีหน้าของมู่หลงเฟยจื่อเต็มไปด้วยความตื่นเต้นดีใจ

มู่หลงเฟยจื่อชื่นชมไข่มุกราตรีในมืออยู่นานราวสามนาที แต่แล้วก็ยื่นคืนให้กับหลิงหยุนอย่างเสียดาย

“ของขวัญชิ้นนี้มีมูลค่าสูงเกินไป  ฉัน.. ฉันรับไว้ตอนนี้ไม่ได้หรอก..” มู่หลงเฟยจื่อร้องบอกด้วยความเขินอาย

มู่หลงเฟยจื่อนับว่าฉลาดมากทีเดียว! เธอไม่ได้พูดว่า‘รับไว้ไม่ได้’ แต่บอกว่า‘ไม่สามารถรับไว้ตอนนี้ได้’ นั่นหมายความว่า.. ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่เหมาะสม เพราะอีกฝ่ายยังไม่ตกปากรับคำ ของมีค่าเช่นนี้ควรให้ก็ต่อเมื่อตกลงรับปากจะแต่งงานกันเท่านั้น

“ของที่ผมมอบให้แล้ว ผมจะไม่รับกลับคืนเด็ดขาด!”

หลิงหยุนตอบยิ้มๆ และไม่ทันสังเกตคำพูดของมู่หลงเฟยจื่อ

มู่หลงเวิ่นฉีและซ่งเจิ้งหยางได้ยินต่างก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน และตอนนี้ภายในห้องทำงานก็มีแต่เสียงหัวเราะ และอบอวลไปด้วยความสุข

“แต่ตอนนี้ฉันยังรับไว้ไม่ได้จริงๆ..”

“ในเมื่อผมมอบให้คุณเป็นของขวัญ คุณก็รับๆไว้เถอะน่า จะเรื่องมากทำไมกัน?!”

หลิงหยุนย้อนคำพูดที่มู่หลงเฟยจื่อเพิ่งพูดกับเขาเมื่อครู่ และพูดต่อว่า  “เอาเป็นว่าผมมอบให้คุณแล้ว ถ้าคุณไม่อยากได้ก็ยกให้ลุงซ่งแทนก็แล้วกัน ลุงซ่งอยากได้มั๊ยครับ?”

ซ่งเจิ้งหยางรีบตอบทันที  “อยากได้สิ! เฟยจื่อมอบให้ลุงไว้เป็นสมบัติของตระกูลก็ได้!”

มู่หลงเฟยจื่อรีบกำไข่มุกราตรีในมือไว้แน่น แล้วรีบร้องบอกไปว่า “ฝันไปเถอะค่ะลุงซ่ง.. หนูไม่ยกให้แน่!”

พูดจบมู่หลงเฟยจื่อก็รีบลุกขึ้น แล้ววิ่งออกไปจากห้องทำงานของมู่หลงเวิ่นฉีทันที และตรงไปที่ตู้เซฟของศาลาเทียนสี่เพื่อนำไข่มุกราตรีไปเก็บ!

ในความรู้สึกของมู่หลงเฟยจื่อและมู่หลงเวิ่นฉีนั้น ไข่มุกราตรีเม็ดนี้ถือเสมือนเป็นของขวัญแทนความรักจากหลิงหยุน

แต่หลิงหยุนกลับไม่รู้ตัว.. เขารู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่เขามอบให้เพื่อตอบแทนที่ได้รับหินประดับก้อนนั้น

“หลิงหยุน.. เฟยจื่อยอมรับไข่มุกราตรีของเธอแล้ว จากนี้ไปความสัมพันธ์ของพวกเธอจะพัฒนาไปได้แค่ใหนก็ขึ้นอยู่กับเธอแล้วล่ะ!”

และจู่ๆ ซ่งเจิ้งหยางก็หัวเราะออกมาพร้อมกับมองไปทางอวี้ติงเซวียนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับศาลาเทียนสี่ แล้วพูดออกมาว่า

“เอาล่ะ.. ได้เวลาแล้ว! เฒ่ามู่หลง.. วันนี้เป็นวันดี ไปลองมือสักหน่อยมั๊ย?”

หลิงหยุนที่ยังคงนั่งอยู่นั้นได้ใช้จิตหยั่งรู้สำรวจดู  ตลาดค้าของเก่าช่วงบ่ายนี้มีผู้คนเดินชมกันอย่างหนาแน่น เวลานี้คนเดินกันขวักไขว่เต็มไปหมด เสียงก็ดังอึกทึกไปทั่วบริเวณ

มู่หลงเวิ่นฉีที่ชื่นชอบการพนันหินอยู่แล้ว จึงลุกขึ้นยืนและหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข

“ได้ยินว่าวันนี้ที่อวี้ติงเซวียนมีหินแปลกๆมามากมายเลย รู้สึกว่าจะมากกว่าครั้งก่อนอีกนะ.. ฉันคงต้องไปลองดูสักหน่อย!”

ซ่งเจิ้งหยางหัวเราะพร้อมกับพูดขึ้นมาว่า “ถ้างั้นก็ไปกันเลย..”

ในเวลานั้นมู่หลงเฟยจื่อที่นำไข่มุกราตรีเข้าไปเก็บก็กลับมาที่ห้องทำงานพอดี เธอจ้องมองหลิงหยุนด้วยความตื่นเต้น

และทั้งสี่คนก็เดินลงบันไดไป และออกจากศาลาเทียนสี่ข้ามถนนไปที่อวี้ติงเซวียนทีซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้าม