DC บทที่ 269: ดูเหมือนร้าง

 

“เราคงมิรู้อะไรหากยังคงยืนอยู่ที่นี่ ข้าจักเข้าไปข้างใน” หวังชูเหรินกล่าวขณะที่เธอตรงเข้าไปยังทางเข้าที่ยังขาดประตูเพราะว่าไม่มีใครจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยสนใจจะซ่อมมัน

 

“ร-รอพวกเราด้วย”

 

ผู้คนที่เหลือต่างพากันรีบตามไปขณะที่ยังคงตื่นตัวกับสภาพแวดล้อมรอบตัว ใครจะรู้ว่าอะไรจะโผล่ขึ้นมาจากสถานที่นี้

 

ยามเมื่อพวกเขาไปถึงทางเข้าก็สังเกตเห็นสภาพยับเยินของมัน พวกเขาไม่สงสัยอีกต่อไปแล้วว่ามีบางสิ่งเกิดขึ้นกับสถานที่นี้จริงๆ

 

“ดูเหมือนว่าข่าวจะเป็นความจริงตามนั้น แต่ว่านั่นจะเป็นนิกายล้านอสรพิษหรือไม่นั้นยังคงเป็นเรื่องน่าสงสัย”

 

หลังจากที่พวกเขาเข้าไปในนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยและเข้าไปถึงเขตศิษย์นอก พวกเขาก็สังเกตได้ในทันทีว่ามีเลือดแห้งจำนวนมากกระจายอยู่ทั่วบริเวณ เช่นเดียวกับทางเข้าไม่มีใครสนใจที่จะทำความสะอาดมัน หรือบางทีนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยอาจจะต้องการใช้ฉากนี้เป็นคำเตือนสำหรับผู้อื่น

 

“โอ้ สวรรค์…”

 

หวังชูเหรินปิดปากด้วยความตระหนก เช่นเดียวกับอีกสองสามคนที่นั่น

 

“เอาหละสิ่งหนึ่งที่มั่นใจได้ก็คือมีคนหลายคนตายที่นี่ และนั่นต้องเป็นการสังหารหมู่”

 

ผู้อาวุโสหานถอนใจ เขาไม่อาจจินตนาการได้ว่าสิ่งโหดร้ายเพียงไหนที่เกิดกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย

 

“อย่างไรก็ตาม นี่แปลกมาก นอกจากจุดนี้แล้ว ที่เหลือจากนี้ไม่มีร่องรอยอะไรอีกเลย”

 

หนึ่งในพวกเขาพลันชี้ให้เห็น

 

“มันเหมือนกับว่ามีการประหารเกิดขึ้นที่นี่…”

 

คนนิกายดอกบัวเพลิงพากันสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัวจากจินตนาการถึงการสังหาร

 

ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาพลันสันนิษฐานว่าเลือดในสถานที่นี้เป็นของคนจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย และพวกเขาก็ไม่แม้จะจินตนาการว่านิกายล้านอสรพิษจะถูกสังหารหมู่ที่นี่

 

หลังจากที่ยืนเตร่ไปอีกสองสามนาที หวังชูเหรินก็ทำการเดินลึกเข้าไปในนิกาย

 

ครั้นเมื่อพวกเขาผ่านเขตศิษย์นอกไปโดยไม่พบแม้กระทั่งศิษย์สักคนแล้ว คนนิกายดอกบัวเพลิงก็ตระหนักว่าสถานที่นี้ร้างไปแล้วจริงๆ

 

“ช่างเป็นโศกนาฏกรรม…”

 

“สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นในยุทธภพบ่อยครั้งกว่าที่มันควรจะเป็น มีสำนักใหม่เกิดขึ้นเกือบทุกวัน แต่ก็ยังมีสำนักที่ต้องปิดประตูเกิดขึ้นบ่อยๆเช่นกัน”

 

สำนักที่โชคดีก็จะเฟื่องฟูขึ้นขณะที่สำนักที่ไม่มีใครสังเกตก็จะหายไปโดยไม่มีใครรู้ และนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็ควรถือว่าค่อนข้างมีชื่อเสียงในเมื่อข่าวการล่มสลายของมันนั้นแพร่กระจายไปทั่วภาคตะวันออก

 

เวลาต่อมา ยามเมื่อหวังชูเหรินก้าวเข้าไปในเขตศิษย์ใน พวกเขาก็หยุดมองไปรอบๆ

 

“ข้าก็ยังคงมิรู้สึกว่าจะมีสิ่งมีชีวิตที่นี่เช่นกัน…” ผู้อาวุโสสูงหานส่ายหน้า

 

“ก็เหลือเพียงใจกลางของสถานที่นี้เท่านั้นตอนนี้ เฮ้อ”

 

หวังชูเหรินถอนใจ เธอรู้สึกหนักใจทุกก้าวย่างที่เธอก้าวเข้าไปในสถานที่แห่งนี้

 

“ซูหยาง…เจ้ายังคงมีชีวิตอยู่หรือไม่” เธอทอดถอนใจ

 

ในเมื่อไม่มีอะไรให้เห็นในเขตศิษย์ใน หวังชูเหรินและพวกก็ดำเนินการตรงเข้าไปยังเขตกลาง

 

อย่างไรก็ตามก่อนที่พวกเขาจะเห็นทางเข้า พวกเขาก็ถูกหยุดไว้ด้วยเสียงดัง

 

“หยุด ผู้มาเป็นใคร พวกเจ้ามีธุระอันใดกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย”

 

ร่างหนึ่งพลันปรากฏขึ้นจากเขตกลางและมายืนอยู่ตรงหน้าคนของนิกายดอกบัวเพลิง

 

“พวกเรามาจากนิกายดอกบัวเพลิง และข้ามาที่นี่เพื่อสอบถามเกี่ยวกับคนคนหนึ่ง”

 

หวังชูเหรินพลันก้าวเท้าออกมาและกล่าวกับผู้อาวุโสนิกายที่หยุดพวกเธอไว้

 

“นิกายดอกบัวเพลิงรึ”

 

ผู้อาวุโสนิกายในที่สุดก็ได้สังเกตเห็นชุดสีแดงสดของพวกเขาจึงพยักหน้ารับ

 

“ใครที่พวกเจ้ามองหา”

 

“เป็นศิษย์ที่ชื่อซูหยาง…” หวังชูเหรินกล่าว

 

“ซูหยางรึ”

 

ผู้อาวุโสสูงสุดหานมองดูหวังชูเหรินด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ พวกเขามาที่นี่ตลอดทางเสี่ยงกับอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้ก็เพื่อเจ้าเด็กเลวนั่นที่เกือบพลิกตลบนิกายดอกบัวเพลิงอย่างนั้นรึ

 

ไม่เพียงแต่ผู้อาวุโสสูงสุดหาน กระทั่งคนอื่นๆที่นั่นต่างก็พากันมองไปที่หวังชูเหรินด้วยดวงตาเบิกโพลง แม้ว่าสถานการณ์เกี่ยวกับซูหยางจะถูกเก็บซ่อนไว้โดยนิกายดอกบัวเพลิง ปกป้องไว้ไม่ให้คนภายนอกได้รู้ถึงความอับอายของพวกเขาก็ตาม แต่เกือบทุกคนในนิกายดอกบัวเพลิงรู้จักซูหยางและความวุ่นวายที่เขาก่อขึ้นยังที่แห่งนั้น

 

“พวกเจ้ามาที่นี่เพื่อซูหยางหรอกรึ”

 

ผู้อาวุโสนิกายไม่คาดว่าซูหยางจะมีความสัมพันธ์กับนิกายดอกบัวเพลิง หนึ่งในขุมกำลังไม่กี่แห่งที่ได้รับความนับถืออย่างสูงในภาคตะวันออก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเม็ดยาดอกบัวเพลิงที่ได้ช่วยสำนักหลายแห่งให้มีพลังอำนาจเพิ่มมากขึ้น

 

“ซูหยางอยู่ที่นี่รึ ข้าสามารถพูดกับเขาได้หรือไม่”

 

เมื่อเห็นปฏิกิริยาของผู้อาวุโสนิกาย หวังชูเหรินพลันยิ้มขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น

 

“ช-ใช่…”

 

ผู้อาวุโสนิกายค่อนข้างตะลึงไปกับความกระตือรือล้นของหวังชูเหริน

 

“อย่างไรก็ตามตอนนี้เขาค่อนข้างจะยุ่งมาก…”

 

“สบายมาก ข้าจักรอเขาให้เสร็จธุระที่กำลังทำอยู่ได้”

 

ผู้อาวุโสนิกายพยักหน้าและกล่าวว่า “โปรดรอชั่วขณะขณะที่ข้าไปพูดกับผู้นำนิกาย”

 

“ฮึ่ม เจ้าไม่แม้กระทั่งเสนอที่ให้พวกเราได้นั่งพักขณะรอ ช่างคิดออกมาได้…”

 

ผู้อาวุโสสูงสุดหานแค่นเสียงเย็นชา

 

“ผู้อาวุโสหาน”

 

หวังชูเหรินขมวดคิ้วกับคำพูดของเขา

 

ผู้อาวุโสนิกายแสดงท่าทางขอโทษและกล่าวว่า “ข้าต้องขออภัย แต่อย่างที่พวกท่านเห็นสถานการณ์ของพวกเรา พวกเรามิได้อยู่ในเงื่อนไขที่จะสามารถรับรองแขกได้ และผู้นำนิกายก็ได้ให้คำสั่งเข้มงวดว่ามิให้ใครเข้าไปในเขตกลางโดยมิได้รับอนุญาตจากเธอก่อน”

 

“โอ…”

 

ผู้อาวุโสสูงสุดหานพลันตระหนักว่าเขาขาดสำนึกไปจากคำพูดก่อนหน้านั้น อย่างไรก็ตามนั่นก็เป็นเพียงเพราะว่าอารมณ์ของเขาย่ำแย่หลังจากที่ได้ยินชื่อซูหยาง จนเป็นเหตุให้เขาลืมสถานการณ์เบื้องหน้าไป

 

“ข-ข้าควรเป็นคนที่ขออภัย ในเมื่อข้ามิได้คิดไปเมื่อครู่…”

 

ผู้อาวุโสสูงสุดหานสามารถรู้สึกได้ว่าหน้าตนเองร้อนผ่าวจากความอาย

 

ผู้อาวุโสนิกายไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดของผู้อาวุโสสูงสุดหานและรีบกลับเข้าไปแจ้งให้กับโหลวหลานจีถึงการมาของพวกเขา

 

“อะไรนะ นิกายดอกบัวเพลิงมาที่นี่เพื่อพูดกับซูหยาง พวกเขาได้กล่าวไหมว่าพวกเขาต้องการพูดเรื่องอะไร”

 

โหลวหลานจีก็ตกตะลึงที่รู้ว่าซูหยางได้มีความสัมพันธ์กับพวกเขา

 

“ไม่ พวกเขามิได้พูด”

 

“อืมมม…เอาละ ให้พวกเขาเข้ามา ข้าจักพูดกับพวกเขาสักครู่หลังจากที่ข้าได้เตรียมตัวแล้ว”

 

โหลวหลานจีพูดขณะที่เธอลุกขึ้นจากเตียง รู้สึกอืดอาดอยู่บ้างหลังจากนอนมาเป็นเวลานาน