บทที่ 373 ผิวเผิน เพิ่มความแค้นให้สอก

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

เฟิ่งชิงเฉิน ข้าจะพยายามปกป้องเจ้าอย่างเต็มที่ เจ้าเองก็อย่าทำให้ข้าต้องผิดหวัง!
เสด็จอาเก้าค่อยๆ คลายมือออกราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขานั่งเงียบๆ โดยไม่สนใจใคร
เสด็จอาเก้าไม่เห็นคนในงานเลี้ยงอยู่ในสายตา แต่หนานหลิงจิ่นฝานกลับจับจ้องทุกการกระทำของเสด็จอาเก้า เมื่อเห็นว่าเขาไม่มีท่าทีอันใดเลยแม้แต่น้อยก็ให้รู้สึกเบื่อหน่าย
ถ้าเขาไม่สามารถโจมตีเสด็จอาเก้าได้ การทรมานเฟิ่งชิงเฉินคงจะสนุกน้อยลง หนานหลิงจิ่นฝานโยนจอกเหล้าในมือไปข้างหลังอย่างเอาแต่ใจ ถ้วยนั้นเข้ากระแทกไปที่หน้าอกของนางกำนัลพอดี เหล้าที่เหลือในจอกไหลลงมาตามร่องอกของนาง นางกำนัลผู้นั้นใบหน้าซีดขาว นางก้มหน้าโดยไม่กล้าขยับเขยื้อน
“เสเพล สำมะเลเทเมา มิน่าเล่าอำนาจของราชสำนักหนานหลิงจึงถูกผู้หญิงควบคุม” เซี่ยไท่ฟู่ถลึงตาและพ่นลมออกมาอย่างโกรธเคือง เห็นได้ชัดว่าเขาไม่พอใจท่าทีของหนานหลิงจิ่นฝาน
ประกายแสงเย็นวาบปรากฏในดวงตาของหนานหลิงจิ่นฝาน เซี่ยไท่ฟู่มองไม่เห็น เขายังคงกล่าวคำผรุสวาทต่อไปว่า “ไม่ว่าสตรีตงหลิงจะแย่เพียงใดก็ยังดีกว่าสตรีหนานหลิง อย่างน้อยพวกนางก็ไม่เหมือนสตรีหนานหลิงที่ยั่วยวนบุรุษจนเป็นอันตรายต่อแคว้น”
ผู้ที่เซี่ยไท่ฟู่พูดถึงก็คืออดีตไทเฮาแห่งหนานหลิง จักรพรรดิแห่งหนานหลิงขึ้นครองบัลลังก์เมื่อพระชนมายุได้สิบขวบ แต่เป็นเวลาถึงสามสิบปีที่อำนาจปกครองตกอยู่ในมือมารดาของจักรพรรดิ
ความขัดแย้งภายในของหนานหลิงนั้นรุนแรง การเมืองอยู่ภายใต้หมอกควัน ไทเฮาแห่งหนานหลิงชอบแสดงตนเป็นผู้กล้าจึงกรำศึกกับแคว้นอื่นนานหลายปี ราษฎรลำบอกยากแค้น กระทั่งจักรพรรดิแห่งหนานหลิงอดทนจนไทเฮาสิ้นพระชนม์จึงรวบอำนาจไว้ได้ หลายปีมานี้จึงค่อยๆ ดีขึ้น
ประวัติศาสตร์เช่นนี้เป็นเรื่องอัปยศสำหรับราชวงศ์หนานหลิง อีกสามแคว้นจะไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้เพื่อไม่ให้เกิดสงครามระหว่างแคว้น ครั้งนี้เซี่ยไท่ฟู่โกรธจัดจึงได้พูดออกมา
เป็นไปตามคาด เมื่อสิ้นคำของเซี่ยไท่ฟู่ หนานหลิงจิ่นฝานก็ยืดตัวตรงขึ้นทันที ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยริ้วโทสะบางๆ มองไปยังเซี่ยไท่ฟู่อย่างเย็นชาราวกับว่าจะลงมือสังหาร
เซี่ยไท่ฟู่เป็นบัณฑิต แม้ว่าเขาจะโอหังไม่ธรรมดา แต่ภายใต้ออร่าสังหารของหนานหลิงจิ่นฝาน เขาก็อดหน้าซีดลงไม่ได้ บอกกับเขาอายุมากแล้ว ไม่นานขาของเขาก็เรื่องสั่นเทา โชคดีที่ชุดราชการของตงหลิงหลวมจึงไม่มีใครมองเห็นเลย
หนานหลิงจิ่นฝานไม่ได้พูดอะไร แต่กลับทำให้ทุกคนเข้าใจว่าเขายืนอยู่บนความได้เปรียบ
เสด็จอาเก้าไม่ได้มองดูเลยแม้แต่น้อย แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แพรขนตายาวของเขาพับลงเบาๆ เพื่อซ่อนความผิดหวัง
เป็นถึงขุนนางระดับไท่ฟู่คนหนึ่งแต่กลับถูกสายตาของหนานหลิงจิ่นฝานทำให้ขลาดกลัวได้ถึงเพียงนี้… ช่างน่าผิดหวังยิ่งนัก เฟิ่งชิงเฉินที่เป็นเพียงสตรียังดีกว่าเขาร้อยเท่า
บรรยากาศในงานเลี้ยงไม่ดีนัก ตงหลิงจื่อลั่วจึงยืนขึ้นอย่างไม่ลังเลใดๆ ยกจอกเหลาของเขาขึ้นและทำท่าขอโทษหนานหลิงจิ่นฝาน ทุกคนงุนงงและมองไปที่ตงหลิงจื่อลั่วอย่างตำหนิ
จักรพรรดิขมวดคิ้ว ฮองเฮามีสีหน้ากังวล แต่ตงหลิงจื่อลั่วก็ทำราวกับไม่เห็น เขายิ้มและดื่มเหล้าในจอกจนหมด
“องค์ชายสาม เซี่ยไท่ฟู่เป็นบัณฑิตผู้ยิ่งใหญ่ มากด้วยความรู้และเป็นบุคคลที่ตรงไปตรงมายิ่ง เป็นคนปากไวใจเร็ว เขาคิดอย่างไรก็กล่าวเช่นนั้นอย่างซื่อตรงตลอดมาโดยไม่เกรงกลัวอำนาจใด ขุนนางแห่งตงหลิงของเราก็เป็นเช่นนี้ คิดอย่างไรก็พูดเช่นนั้น เซี่ยไท่ฟู่ไม่รู้ว่าจักรพรรดิแห่งหนานหลิงชอบฟังเพียงคำพูดไพเราะเท่านั้น ดังนั้นคำพูดที่เขาพูดกับองค์ชายจึงไม่ได้ทำตามธรรมเนียมปฏิบัติของหนานหลิงและได้ทำให้ท่านต้องขุ่นเคืองใจ ขอให้องค์ชายสามโปรดยกโทษให้เขาด้วย” ดูเหมือนจะเป็นการขอโทษอย่างสุภาพ แต่เนื้อความในคำพูดของเขานั้นกลับยิ่งแสลงหูเข้าไปอีก ไม่น่าฟังไม่หยิ่งหย่อนไปกว่าคำพูดของหนานหลิงจิ่นฝานเลย จักรพรรดิได้ยินเช่นนี้ก็แย้มยิ้มออกมาเล็กน้อย
หนานหลิงจิ่นฝานนิ่งเงียบ ดวงตาหงส์โฉบเฉี่ยวหรี่ลงเล็กน้อยราวกับอสรพิษจ้องมองไปยังตงหลิงจื่อลั่วราวกับจะทิ่มแทงตงหลิงจื่อลั่วให้ทะลุ
ตงหลิงจื่อลั่วไม่ใช่เซี่ยไท่ฟู่ เมื่อเผชิญหน้ากับสายตาอาฆาตของหนานหลิงจิ่นฝาน เขาก็ยิ้มรับแสดงถึงความยิ่งใหญ่ของราชวงศ์ เมื่อเปรียบเทียบกับองค์รัชทายาทแล้วยังจะดูเป็นผู้นำมากกว่าเสียอีก
เสด็จอาเก้าเหลือบมององค์รัชทายาทที่สีหน้าซีดเผือด แม้เขาจะไม่ได้พูดอะไรเลย แต่ท่าทางของเขากลับดูกระวนกระวายเล็กน้อย เขาต้องการจะพูดอะไรบางอย่างหลายครั้ง แต่เมื่อเห็นสถานการณ์ด้านหน้าเขาก็เงียบลง มองดูหนานหลิงจิ่นฝานและตงหลิงจื่อลั่วด้วยดวงตาสิ้นหวัง
ไม่ใช่ว่าเขาไม่คิดอยากทำ แต่เป็นเพราะเขาไม่ได้ต่างหาก ร่างกายของเขาไม่สามารถรับแรงกดดันได้มากมายเช่นนี้ ผลของการเสนอหน้าก็คือการล้มป่วยลง
ร่างกายที่แตกสลายนี้! แววตาขององค์รัชทายาทฉายแววเกลียดชังที่แม้แต่ตัวเขาก็ยังไม่ได้สังเกต แต่เสด็จอาเก้ากลับเห็นเข้าแล้ว
หนานหลิงจิ่นฝานโอหังเอาแต่ใจ เผด็จการและป่าเถื่อน ไม่เคยทำผิดต่อตัวเอง แม้ว่าจะอยู่ในตงหลิง เขาจะไม่ยอมถอยแม้เพียงครึ่งก้าว ท่าทางของเขาอหังการ์ราวกับว่าจะเหยียบตงหลิงจื่อลั่วให้จมภายใต้ฝ่าเท้าของเขา
ซีหลิงเทียนเหล่ยและเป่ยหลิงเฟิงเฉียนยังคงเงียบ ทั้งสองเงยหน้าขึ้นพร้อมกันราวนัดหมาย สายตาของพวกเขาสอดประสานกันกลางอากาศและเห็นความอิจฉาริษยาในดวงตาของกันและกัน
พวกเขาอิจฉาความโอหังของหนานหลิงจิ่นฝาน แต่ในฐานะเชื้อพระวงศ์แล้ว พวกเขารู้ดีว่าทุกอย่างไม่สามารถทำตามอารมณ์ตนเองได้ หลายครั้งที่พวกเขาต้องคำนึงถึงผลประโยชน์มาก่อน
แคว้นซีหลิงไม่มีกำลังพอที่จะต่อสู้กับตงหลิง แคว้นเป่ยหลิงยังคงต้องพึ่งพาตงหลิงเพื่อเอาชีวิตรอด แต่แคว้นหนานหลิงนั้นแตกต่างออกไป ชาวหนานหลิงชอบและเชี่ยวชาญการทำสงคราม หนานหลิงจิ่นฝานก็เป็นตัวหาเรื่องโดยไม่เกรงกลัวสิ่งใด เพียงแค่ไม่เกินไปนัก จักรพรรดิแห่งตงหลิงก็คงจะทนรับได้…
บรรยากาศในงานเลี้ยงแข็งกระด้าง บุรุษสองคน คนหนึ่งร้ายลึก อีกคนสง่างาม พวกเขาไม่มีใครยอมใคร จักรพรรดิเลิกคิ้วด้วยความไม่พอใจ เขาขยับริมฝีปากแต่ไม่มีคำพูดใดถูกเปล่งออกมา
เมื่อเห็นเช่นนี้ฮองเฮาจึงออกหน้าคลี่คลายสถานการณ์ พระนางทำเมินเฉยต่อหนานหลิงจิ่นฝานและตงหลิงจื่อลั่วพลางยิ้มและกล่าวว่าเพื่อต้อนรับการมาเยือนของหนานหลิงจิ่นฝาน เหล่านางรำหลวงจึงประดิษฐ์ระบำใหม่ ให้ทุกคนได้รับชมแสดงความคิดเห็นติชมร่วมกัน
เป่ยหลิงเฟิงเฉียนยังคงต้องการแต่งงานกับองค์หญิงอันผิง เมื่อเห็นว่าฮองเฮาเอ่ยปากขึ้นจึงรีบให้ความร่วมมืออย่างดี เขาหัวเราะไปตามน้ำแสดงท่าทางตั้งตาคอย
เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ทุกคนจึงสามารถผ่อนคลายได้ แต่หนานหลิงจิ่นฝานยังคงไม่รู้สึกรู้สา ดวงตาของตงหลิงจื่อลั่วปรากฏแววรังเกียจ เขานั่งลงโดยไม่สนใจหนานหลิงจิ่นฝานอีกราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“เฮอะ” หนานหลิงจิ่นฝานแค่นเสียงเย็นและนั่งลงที่เดิมอย่างไม่สบอารมณ์ ในขณะเดียวกันเสียงเพลงก็ดังขึ้น นางรำงดงามโยกย้ายส่ายสะโพกไปมา แขนเสื้อพลิ้วราวกับคลื่นในมหาสมุทร นางรำผู้งดงามผู้หนึ่งปรากฏขึ้นกลางเวที นางสวมชุดเต้นรำสีขาวบริสุทธิ์ค่อยๆ ร่อนลงมาจากด้านบน จากมุมมองของขุนนางใหญ่เหล่านี้แล้ว หญิงผู้นี้งดงามราวกับเทพธิดาจากสวรรค์
“ยอดเยี่ยมๆๆ!”
“นางฟ้าช่างงดงาม เมฆหมอกและภูเขา งดงามมาก งดงามจริงๆ!”
หลังจากร่ายรำจบลงแล้ว ทุกคนต่างก็พากันชมเชย แต่ในเวลานี้เสียงที่ไม่เข้ากับบรรยากาศก็ดังขึ้น “เสน่ห์เย้ายวน สตรีแห่งตงหลิงล้วนใช่เสน่ห์ยั่วยวนบุรุษ เสียสายตาของข้ายิ่งนัก”
ตึง…
สายพิณขาดลง
ตึง…
พวกนางรำตกใจมาก หญิงสาวร่างอรชรแต่ละนางรีบคุกเข่าลงอย่างเชื่อฟัง ภายใต้แสงเทียนสาดส่องแสดงให้เห็นใบหน้าของพวกนางที่ซีดเผือดอย่างน่ากลัว พวกนางเป็นเสมือนลูกแกะที่รอเชือด เหล่านางรำกัดริมฝีปากของพวกนางอย่างสิ้นหวังด้วยความหวาดกลัวว่าตนเองจะร้องไห้มีเสียงออกมาจนทำให้จักรพรรดิต้องกริ้ว
นางรำที่แต่งกายด้วยชุดสีขาวราวกับนางฟ้าลงมาจากสวรรค์ คิ้วของนางเลิกขึ้นแสดงความไม่พอใจอยู่ชั่วขณะ แต่น่าเสียดายที่เวลานี้ไม่มีใครสนใจอารมณ์ของนางรำเลยแม้แต่น้อย
ขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊ทุกคนเปลี่ยนสีหน้า พวกเขาหยุดพูดกลางคันและมองไม่ยังหนานหลิงจิ่นฝานด้วยสายตาอาฆาต ตำหนิที่เขาไร้มารยาท
หนานหลิงจิ่นฝานไม่สนใจนัก ดวงตาของเขาเย็นชาราวกับน้ำแข็ง ก่อนที่จักรพรรดิจะทรงกริ้ว หนานหลิงจิ่นฝานกลุกขึ้นก่อนจะเดินผ่านจักรพรรดิมาอยู่ต่อหน้าเสด็จอาเก้า
“เสด็จอาเก้า สตรีแห่งตงหลิงน่าเบื่อยิ่งนัก ข้าอยากจะเห็นสตรีที่ทำให้ท่านหลงใหลอย่างเฟิ่งชิงเฉินนัก ไม่ทราบว่าจะได้หรือไม่?”
คำพูดนั้นกำกวม มีเพียงเสด็จอาเก้าและจักรพรรดิแห่งตงหลิง หนานหลิงจิ่นฝานไม่เพียงแต่ดึงเฟิ่งชิงเฉินมาเพิ่มไฟโกรธ เขายังไม่ปล่อยเสด็จอาเก้าไปอีกด้วย…