บทที่ 1596+1597

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 1596 ข้าไม่มีความรักมาผูกมัดร่างกายจึงเบาโหวง

ยามที่เชียนหลิงอวี่ทราบข่าวนี้จากปากมู่เฟิง ตัวคนก็ทึ่มทื่อไปครู่หนึ่ง สอบถามต้นสายปลายเหตุเป็นอย่างแรก มู่เฟิงเองก็ไม่ทราบกระจ่างทั้งหมด ย่อมบอกเขาไม่ได้

ด้วยเหตุนี้เชียนหลิงอวี่จึงคิดจะติดต่อหากู้ซีจิ่วเพื่อสอบถามดูทันที ทว่ามู่เฟิงห้ามเขาไว้ บอกว่าแม่นางบ้านอื่นกำลังเสียใจอยู่ เจ้าจะไปถามให้กลัดกลุ้มอีกทำไม? นี่จะไม่เป็นการโรยเกลือลงบนแผลใจของนางหรอกหรือ?

เชียนหลิงอวี่คิดๆ ดูก็ว่าถูก จึงไม่กล้าถามแล้ว ใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง ก็เริ่มเก็บสัมภาระ โผทะยานปานเหินบินไปที่อาณาจักรเฟยซิงทันที

….

ยามที่เชียนหลิงอวี่ปรากฏตัวขึ้นนอกเรือนพักของกู้ซีจิ่ว กู้ซีจิ่วยังคงตกตะลึงนัก

นางอาศัยอยู่ที่สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์นานปานนั้น ย่อมทราบรูปแบบการปฏิบัติภารกิจและการพักผ่อนของศิษย์ที่นั่น เข้มงวดกวดขันยิ่งนัก ปกติแล้วแม้แต่เวลาจะไปจับจ่ายซื้อของก็ยังไม่มีเลย แล้วทำไมจู่ๆ เจ้าเด็กนี่ถึงแล่นมาหาเธอที่นี่ได้ล่ะ?

เชียนหลิงอวี่ไม่กล้าถามตรงๆ จึงคุยทักทายสัพเพเหระกับกู้ซีจิ่วอยู่หลายประโยค ทำนองว่าแม่ทัพกู้สบายดีไหม? เหล่าพี่สาวน้องสาวของเจ้าล่ะ? คุ้นเคยกับการพำนักอยู่เรือนนี้หรือยัง…วาจาประเภทนี้ล้วนเอ่ยไล่เรียงกันมารอบหนึ่ง เกือบจะพูดว่า ‘วันนี้อากาศดีเหลือเกิน’ ออกมาด้วย

กู้ซีจิ่วเป็นคนเช่นใดกันเล่า? เชียนหลิงอวี่ถูไม้ถูมืออยู่บ่อยๆ สีหน้าประดักประเดิด เธอเห็นแวบเดียวก็มองออกแล้วว่าเขามีเรื่องอยากถาม ทว่าไม่กล้าถามออกมา…

ด้วยเหตุนี้เธอจึงถามเขาอย่างตรงไปตรงมายิ่งนัก “เจ้าหนุ่มเจ้ามีอะไรก็พูดมาตรงๆ เถอะ พูดจาอ้อมค้อมวกวนกับข้าเช่นนี้ไม่เหนื่อยหรือไง?”

ดังนั้น เชียนหลิงอวี่จึงเอ่ยถาม “ซีจิ่ว เจ้ากับท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย…”

กู้ซีจิ่วก็เข้าใจแล้ว อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ ดูเหมือนเรื่องที่เธอกับตี้ฝูอีเลิกรากันจะแว่วไปถึงหูเชียนหลิงอวี่แล้ว ผู้ใดกันที่ปากโป้งถึงเพียงนี้?

อันที่จริงครั้งนี้หลังจากเธอกับตี้ฝูอีออกมาจากเขตหวงห้ามก็ปรากฏตัวพร้อมกันน้อยมาก ประชาชนในเมืองหลวงถึงขั้นที่ไม่ทราบเลยว่าสรุปแล้วเธอกับเขามีความสัมพันธ์กันอย่างไร

และเนื่องจากเธอรอคอยให้ตี้ฝูอีมอบเรื่องน่าประหลาดใจให้เธออยู่ จึงไม่เคยป่าวประกาศเรื่องนี้เลย…

ตอนนี้พอมาคิดดูแล้ว โชคดีเหลือเกินที่ไม่ได้ประกาศออกไป! ไม่เช่นนั้นตอนนี้เธอคงกลายเป็นที่น่าขบขันไปแล้ว

“พวกเราเลิกกันแล้ว” ตอบอย่างไม่ยี่หระ

ดวงตาของเชียนหลิงพลันเปล่งประกาย! แต่เขาก็รู้สึกได้ในทันใดว่า ‘เปล่งประกาย’ ในยามนี้ไม่ถูกกาลเทศะนัก รีบเก็บซ่อนแววตาไว้อีกครั้ง พินิจดูกู้ซีจิ่วอย่างละเอียดคราหนึ่ง จู่ๆ ก็พบปัญหาข้อหนึ่ง “ซีจิ่ว เจ้าดูอ่อนเยาว์ลงไม่น้อยเลย!”

กู้ซีจิ่วลูบใบหน้า ตอบอย่างจนปัญญา “เจ้าคิดเสียว่าข้าไม่มีความรักมาผูกมัดร่างกายจึงเบาโหวง หวนคืนสู่วัยสาวก็ได้”

เชียนหลิงอวี่พูดไม่ออกเลย…

เขามองสีหน้าของกู้ซีจิ่วอีกครั้ง พบว่านอกจากนางจะดูอ่อนเยาว์ลงเล็กน้อยแล้ว ก็ไม่เห็นมีท่าทางเซื่องซึมไร้ชีวิตไร้ชีวาแบบหญิงสาวที่ช้ำรักเลย จึงโล่งใจไปกึ่งหนึ่งแล้ว

เขาไม่ถนัดเรื่องการปลอบใจคน ยิ่งไปกว่านั้นคือท่าทางของกู้ซีจิ่วในยามนี้ก็ดูไม่คล้ายว่าต้องการคนปลอบใจเลย

ดังนั้นเขาจึงถูไม้ถูมืออยู่พักใหญ่ ในที่สุดก็เกิดความคิดอย่างหนึ่งขึ้นมา คิดว่าจะลากกู้ซีจิ่วออกไปเดินเที่ยวชมงิ้วอะไรทำนองนั้น อย่างแรกคืออยู่เป็นเพื่อนนางช่วยผ่อนคลายจิตใจของนาง อย่างที่สองก็คือคิดจะอยู่กับนางให้มากหน่อยเพื่อบ่มเพาะความรู้สึก…

นึกไม่ถึงว่าเขาเพิ่งเสนอความเห็นนี้ออกมาก็ถูกซีจิ่วปฏิเสธทันที ยามนี้เธอไม่มีเวลามาเดินเที่ยว เธอต้องไปเยือนวังหลวง

ได้ยินว่าระยะนี้ภายในวังหลวงไม่ค่อยสงบ มีวิญญาณพยาบาทอาละวาด หรงเจียหลัวผู้เป็นจักรพรรดิองค์ปัจจุบันของอาณาจักรเฟยซิงจึงส่งคนมาเชิญกู้ซีจิ่วไปทำพิธี…

ยามนี้ฐานะของกู้ซีจิ่วในอาณาจักรเฟยซิงเทียบชั้นกับทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตี้ฝูอีได้รางๆ แล้ว เมื่อราษฎรอาณาจักรเฟยซิงเผชิญเรื่องราวที่ยากจะแก้ไขได้ก็ชอบมาหาเธอ ในวังก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน

ส่วนกู้ซีจิ่วก็อยากให้ตัวเองยุ่งง่วนอยู่บ้าง ยุ่งง่วนตลอดยิ่งดี ดีที่สุดคือยุ่งจนเท้าแทบไม่แตะพื้นเลย แบบนี้จะได้ไม่มีเวลามาขบคิดเรื่องว้าวุ่นเหล่านั้น

ดังนั้นพักนี้เธอจึงตอบรับคำขอร้องอยู่เสมอ ยุ่งจนตัวเป็นเกลียว ไม่มีเวลาไปเดินเที่ยวกับเชียนหลิงอวี่เลย

————————————————————————————-

บทที่ 1597 เด็กสาวคนนี้สุขุมเยือกเย็นจนน่ากลัว!

เชียนหลิงอวี่ย่อมไม่อยากถูกทิ้งไว้ รีบเสนอตัวติดตามไปด้วยทันที

….

วังหลวงเป็นสถานที่มักจะมีวิญญาณร้ายปรากฏขึ้นได้ง่ายๆ มาตั้งแต่โบราณแล้ว โชคดีที่วังหลวงมีไอมังกรเข้มข้น สามารถสะกดภูตผีปีศาจเหล่านั้นไว้ได้ ปกติแล้วต่อให้มีวิญญาณอาฆาตก็จะถูกจัดการไปอย่างรวดเร็วยิ่ง แต่ระยะนี้คงเป็นเพราะหนก่อนทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมก่อกรรมทำชั่วไว้มากเกินไป ในวังหลวงก็ได้รับความทุกข์ยากยิ่งนักเช่นกัน มีเหล่าขันทีนางกำนัลและองครักษ์มากมายที่ต้องสิ้นชีพโดยไม่ได้รับความเป็นธรรม ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น จึงตกอยู่ในสภาวะที่วิญญาณอาฆาตก่อตัวกันเป็นกลุ่มก้อน

ถึงแม้พลังวิญญาณของหลงเจียหลัวจะสูงยิ่ง แต่ถึงอย่างไรเขาก็ไม่เป็นวิชาขับไล่ภูตผี ดังนั้นถ้าต้องการจะสวดส่งวิญญาณอาฆาตเหล่านี้ ก็ยังคงต้องการบุคคลจำพวกพระเถระหรือราชครูอยู่ดี

ระยะนี้ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตี้ฝูอีไม่อยู่ในอาณาจักร กล่าวกันว่าได้รับโองการจากท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ให้ไปที่อาณาจักรเฮ่าเยวี่ยแต่เก่าก่อน

ส่วนทูตสวรรค์ฝ่ายขวาเทียนจี้เยวี่ยก็ปิดด่านกักตนอีกครั้งแล้ว ดังนั้นหน้าที่ส่งวิญญาณนี้จึงตกมาอยู่ที่กู้ซีจิ่ว

เคราะห์ดีที่กู้ซีจิ่วชำนาญด้านนี้ยิ่งนัก ไม่ว่าจะเป็นวิญญาณอาฆาตที่ร้ายกาจมากแค่ไหน พอมาเจอเธอก็มีแต่ต้องถูกส่งวิญญาณไปสู่สุขคติ…

เมื่อทำพิธีเสร็จ หลงเจียหลัวก็เชิญให้พวกกู้ซีจิ่วทั้งสองอยู่ร่วมงานเลี้ยง

งานเลี้ยงที่จักพรรดิเป็นผู้จัด กู้ซีจิ่วย่อมต้องไว้หน้า ด้วยเหตุนี้จึงรั้งอยู่ร่วมงาน

งานเลี้ยงของราชวงศ์ย่อมมีอาหารเลิศรสสารพัดอย่าง หรงเจียหลัวยังคงทราบรสชาติโปรดของกู้ซีจิ่วเป็นอย่างดี อาหารในงานเลี้ยงจึงเป็นของโปรดเธอแทบทั้งสิ้น ทำให้กู้ซีจิ่วค่อนข้างประหลาดใจเช่นกัน

ในงานเลี้ยง หรงเจียวหลัวไม่ได้วางมาดเป็นจักรพรรดิ พูดคุยยิ้มหัวกับกู้ซีจิ่ว

ยามปกติแล้ววาจากษัตริย์มีค่าดั่งทองเขาจึงไม่ค่อยพูดนัก แต่เมื่ออยู่ต่อหน้ากู้ซีจิ่วก็จะพูดมากขึ้นเล็กน้อย ถึงขั้นที่ค่อนข้างมีอารมณ์ขันด้วย ทำให้กู้ซีจิ่วยิ้มหัวอยู่เสมอ

แน่นอนว่าทำให้เชียนหลิงอวี่ค่อนข้างหึงหวงยิ่งนัก

เมื่อก่อนเขาเคยเห็นหรงเจียหลัวอยู่ไกลๆ เพียงหนเดียว ไม่นับว่าคุ้นเคยกัน ยามนี้เมื่อเห็นเขารูปโฉมหล่อเหลา บุคลิกเลิศล้ำ กริยาท่าทางแฝงความสง่างามสูงศักดิ์ เป็นบุรุษที่มีเสน่ห์แบบผู้ใหญ่ยิ่งนัก

ถึงแม้จะไม่ค่อยยิ้มง่ายๆ แต่เมื่อแย้มยิ้มก็เจิดจรัสยิ่งนัก ทำให้คนละสายตาไปไม่ได้

ยามที่กู้ซีจิ่วสนทนากับเขา จะเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าเฉิดฉันอยู่เสมอ

บุคลิกสูงส่งของโอรสสวรรค์ผู้นี้ดึงดูดใจคนยิ่งนัก ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าตี้ฝูอีเลย แม้แต่เชียนหลิงอวี่ก็ยังอดไม่ได้มองเขาอยู่หลายครา

หลังจบงานเลี้ยง พวกกู้ซีจิ่วทั้งสองก็ขอตัวลาออกมา

แสงดาวพราวเต็มฟ้า จันทร์เสี้ยวสาดแสง โคมไฟที่ห้อยอยู่หน้าร้านค้าริมถนนโยกไหว ราตรีเงียบสงัดเยือกเย็น

ทิวทัศน์งดงามเช่นนี้ เชียนหลิงอวี่เดินเคียงข้างกู้ซีจิ่วอยู่บนถนน รู้สึกว่าในความเรียบง่ายได้แฝงความอบอุ่นไว้

ตลอดทางนี้กู้ซีจิ่วไม่ค่อยพูดเท่าไหร่ คล้ายว่าคิดอะไรอยู่

เชียนหลิงอวี่อดใจไม่อยู่หันไปมองนางอยู่หลายแวบ กู้ซีจิ่วในยามนี้ไม่เหมือนเด็กสาวที่เพิ่งช้ำรักมาเลย นางสุขุมปราดเปรื่อง จัดการเรื่องราวอย่างเป็นระเบียบ สนทนาพาทีได้เช่นปกติ หากไม่ทราบความใน เชียนหลิงแทบนึกว่าการเลิกราของนางกับตี้ฝูอีเป็นเรื่องเท็จเสียแล้ว…

เด็กสาวคนนี้สุขุมเยือกเย็นจนน่ากลัว!

เชียนหลิงอวี่ทั้งเลื่อมใสทั้งค่อนข้างปวดใจไปในเวลาเดียวกันบอกไม่ถูกเช่นกันว่าในใจรู้สึกอย่างไร

เขาเคยเห็นตอนที่กู้ซีจิ่วอยู่กับตี้ฝูอี ยามที่ดีใจขึ้นมาเสมือนเด็กน้อยคนหนึ่ง เขายังเคยเห็นกู้ซีจิ่วทำตัวกระเง้ากระงอดใส่ตี้ฝูอีเป็นครั้งคราวด้วย ใส่อารมณ์กับเขาเล็กน้อย…เหมือนสาวน้อยคนหนึ่ง แต่พออยู่ต่อหน้าคนอื่น นางจะเยือกเย็นเฉียบแหลม จัดการเรื่องราวได้สมบูรณ์หมดจด และมอบความรู้สึกปลอดภัยอย่างยิ่งให้ผู้อื่น ราวกับว่าถ้ามีนางอยู่ข้างกาย ก็สามารถคลี่คลายปัญหายุ่งยากทุกอย่างได้

——————————————————————————–