หลังจากบรรลุปราณดาบสิบเล่มแล้ว หลิงฮันก็สร้างปราณดาบขึ้นมาอีกเก้าเล่มได้อย่างราบลื่นและรวดเร็ว แต่การจะทะลวงผ่านสร้างเล่มที่ยี่สิบนั้นเป็นคอขวดที่ผ่านได้ยากลำบากมาก
เฟิงผั่วหยุนนั้นเอาใจใส่หลิงฮันที่เป็นน้องชายร่วมสาบานเป็นอย่างมาก เขาประทับเจตจำนงแห่งเต๋าของตนเองเอาไว้ในสุราวานร เมื่อหลิงฮันดื่มเข้าไป เจตจำนงแห่งเต๋าก็ทะลักท่วมภายในร่างของเขาและช่วยเสริมสร้างความใจเกี่ยวกับวิถีวรยุทธ
ซึ่งเรื่องนี้ทำให้หลิงฮันตกตะลึงเป็นอย่างมาก
เมื่อบรรลุระดับห้วงจิตวิญญาณ จอมยุทธจะสามารถประทับเจตจำนงของตนลงไปยังอาวุธเพื่อสร้างอาวุธวิญญาณขึ้นมา เมื่อบรรลุระดับบุปผาผลิบาน จะสามารถประทับเจตจำนงของตนไปยังวัสดุพิเศษเพื่อสร้างเครื่องรางหรือยันต์อาคมขึ้นมาได้
ระดับตัวอ่อนวิญญาณนั้นทรงอำนาจยิ่งกว่า พวกเขาสามารถสร้างตราประทับม้วนคำสั่งขึ้นมาได้!
แน่นอนว่าระดับก้าวสู่เทวาหรือระดับสวรรค์ก็ทำได้เช่นกัน และม้วนของสั่งของพวกเขาก็จะแข็งแกร่งยิ่งกว่าระดับตัวอ่อนวิญญาณด้วย
แต่ถ้าหากเจตจำนงแห่งเต๋าถูกประทับลงในสุรา… ก็หมายความว่าหลิงฮันสามารถดูดซับมันได้โดดตรง
แม้ผลึกก่อเกิดจะมีเจตจำนงของผู้ที่ควบแน่นมันขึ้นมาหลงเหลืออยู่ แต่ก็เบาบางจนแทบสัมผัสไม่ได้
และที่สำคัญก็คือ เฟิงผั่วหยุนเป็นปรมาจารย์ผู้ใช้ดาบ!
เหตุผลที่เขาทิ้งตราประทับแห่งเต๋าของตนเองเอาไว้ก็เพราะรู้ว่าหลิงฮันเป็นผู้ใช้ดาบเช่นกัน ดังนั้นเฟิงผั่วหยุนจึงตั้งใจที่จะช่วยเหลือเขา เจตจำนงของเฟิงผั่วหยุนนั้นบริสุทธิ์และทรงพลังเป็นอย่างมาก
สำหรับหลิงฮันแล้ว สิ่งนี้คือของขวัญที่ไม่อาจตีค่าได้!
ในวันที่ห้า พลังบ่มเพาะของหลิงฮันก็เพิ่มสูงขึ้น แม้จะไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างบ้าคลั่งเหมือนที่กินสุราวานรครั้งแรก แต่พลังของเขาก็เพิ่มขึ้นมาสองขั้นเล็ก นั่นก็คือระดับบุปผาผลิบานขั้นหก
เมื่อผ่านไปอีกห้าวัน หลิงฮันก็พยายามศึกษาวิถีแห่งดาบของเฟิงผั่วหยุนโดยที่ไม่คิดจะดูดซับเจตจำนงของเฟิงผั่วหยุนเข้าไปโดยตรง
ถ้าหากหลิงฮันดูดซับมันเข้าไปโดดตรง วิถีแห่งดาบของเฟิงผั่วหยุนจะส่งผลกระทบต่อวิถีสู่การเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของเขา หลิงฮันทำได้เพียงศึกษาใช้เจตจำนงของเฟิงผั่วหยุนเป็นแนวทาง
เมื่อเขาลองตรวจสอบเจตจำนงแห่งดาบของเฟิงผั่วหยุนดู หลิงฮันก็พบว่าเจตจำนงของอีกฝ่ายนั้นอยู่เหนือปราณดาบและรัศมีดาบแล้ว มันคือแก่นแท้แห่งดาบ
แก่นแท้แห่งดาบของเฟิงผั่วหยุนส่องสว่างอยู่ภายในตันเถียนของหลิงฮัน และหลิงฮันกำลังใช้แก่นแท้แห่งดาบนี้เสริมแกร่งให้กับวิถีดาบของเขาพร้อมกับสร้างปราณดาบเล่มถัดไปขึ้นมา
ผ่านไปอีกห้าวัน หลิงฮันชูมือขวาขึ้นมา ปราณดาบทั้งสิบเก้าเล่มล่องลอยอยู่บนนิ้วมือของเขา ในขณะที่ปราณดาบเล่มที่ยี่สิบสามารถมองเห็นได้เพียงเลือนราง
หลิงฮันขยับนิ้วมือฝึกฝนไปเรื่อยๆจนในที่สุดปราณดาบเล่มที่ยี่สิบก็ค่อยแข็งแกร่งจนมองเห็นได้ชัดขึ้น
“ปราณดาบยี่สิบเล่มคือประตูสู่ระดับใหม่ หลังจากก้าวผ่านมาได้แล้ว พลังของปราณดาบจะเพิ่มขึ้นอย่างน้อยสองเท่า” หลิงฮันพยักหน้าในใจ เมื่อตอนที่เขาปะทะกับซวนหยวนจื่อกวง เขาได้รับแรงกดดันอย่างมหาศาล ซึ่งเหตุผลหลักๆเลยก็เป็นเพราะอีกฝ่ายสร้างปราณได้มากกว่ายี่สิบอัน
“ตอนนี้ถ้าหากข้าต้องสู้กับหมอนั่น ข้ามีโอกาสชนะห้าสิบเปอร์เซ็นต์”
“นั่นเพราะข้าไม่สามารถใช้ทักษะดาบลึกลับสามพันเล่มที่เป็นทักษะที่แข็งแกร่งที่สุดออกไปได้ ไม่เช่นนั้นข้าคงชนะได้อย่างไม่ยากเย็น”
“เอาล่ะ ยังพอมีเวลาเหลืออยู่ ข้าต้องควบแน่นปราณดาบต่อ ในเมื่อก้าวผ่านปราณดาบเล่มที่ยี่สิบมาได้แล้ว ภายในระยะเวลาอันสั้นนี้ข้าคงสร้างเล่มต่อไปได้อย่างไม่ยากเย็น”
ในขณะที่แก่นแท้แห่งดาบของเฟิงผั่วหยุนยังหลงเหลืออยู่ แน่นอนว่าหลิงฮันย่อมไม่ทิ้งมันเอาไว้ให้สูญเปล่า นี่คือโอกาสครั้งเดียวในชั่วชีวิต เพราะเฟิงผั่วหยุนคงไม่สามารถประทับเจตจำนงแห่งดาบของตนเองได้บ่อยนัก ไม่เช่นนั้นอาจจะเกิดอันตรายขึ้นกับตัวเขาเอง
หลิงฮันอดที่จะรู้สึกขอบคุณพี่ใหญ่ของเขาคนนี้ไม่ได้ เพียงเพื่อน้องชาย อีกฝ่ายถึงกับยอมมอบโอกาสเช่นนี้ให้เขา
ในอนาคตข้าจะต้องตอบแทนบุญคุณพี่ชายคนนี้แน่นอน
ผ่านไปอีกสามวัน ในที่สุดแก่นแท้แห่งดาบของเฟิงผั่วหยุนก็สลายหายไป
หลิงฮันหยุดควบแน่นปราณดาบและขยับมือขวา ปราณดาบทั้งยี่สิบสามเล่มปรากฏออกมาพร้อมกับกลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัว
“น่าเสียดายจริงๆ ถ้ามีเวลาให้ข้าอีกสักหนึ่งเดือน ข้าจะต้องสร้างปราณดาบได้ถึงขีดจำกัดยี่สิบเก้าเล่มแน่นอน!”
“แต่ยี่สิบเก้าเล่มคือขีดจำกัดจริงๆรึ?”
หลิงฮันไม่แน่ใจ เขาจะรู้ได้ก็ต่อเมื่อไปถึงจุดๆนั้นแล้ว ซึ่งสิ่งที่เรียกได้ว่าขีดจำกัดนั้นมีเอาไว้เพื่อทะลวงผ่าน สำหรับบางคนสิบเล่มคือขีดจำกัด และบางคนยี่สิบเล่มก็คือขีดจำกัด
เมื่อเขาเดินออกไป จูเสวียนเอ๋อก็มาทักทายเขาทันที “พี่ชายฮัน ในที่สุดท่านก็ออกมาเสียที พี่สาวหงรอท่านจนจะตรอมใจตายแล้ว อีกสองวันการแข่งขันจะเริ่มต้นขึ้น”
หลิงฮันยิ้มและพูด “งั้นก็ปล่อยนางไป ข้ายังไม่ได้รับค่าจ้างจากนางเสียหน่อย”
“จริงสิ” จูเสวียนเอ๋อนำหินมากมายออกมาจากแหวนมิติ หินเหล่านั้นมีหลายหลากสี มีทั้งดำ เหลือง และม่วง “นี่คือเศษดวงดาวที่พี่ชายเฟิงทำให้มันร่วงหล่นลงมาจากการต่อสู้ก่อนหน้านี้ ผู้คนในเมืองไม่กล้าแอบซ่อนมันเอาไว้เลยช่วยกันเก็บมาให้พี่ชายฮัน”
แร่เหล็กดาวตก!
หลิงฮันมีความสุขทันที เขาหยิบพวกมันออกมาตรวจสอบอย่างระมัดระวัง “แร่โลหิตสายรุ้ง แร่เขี้ยวมังกร แร่ทองแดงโลหิตเมฆา ฮ่าๆๆ พวกมันทั้งหมดคือแร่เหล็กระดับเจ็ด”
“น่าเสียดายที่ไม่มีแร่เหล็กระดับแปดเลย ฮ่าๆ ดูเหมือนข้าจะโลภเกินไปเสียแล้ว แค่แร่เหล็กระดับเจ็ดก็นับว่าไม่เลวแล้ว”
หลิงฮันพูดกับจูเสวียนเอ๋อ “เจ้าควรจะเปลี่ยนดาบได้แล้ว แร่เหล่านี้คือแร่เหล็กระดับเจ็ด ด้วยการประทับเจตจำนงของเจ้าลงไป มันจะกลายเป็นอาวุธวิญญาณระดับเจ็ดในอนาคต!”
“ขอบคุณพี่ชายฮันมาก!” จูเสวียนเอ๋อพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน นางมองไปยังหลิงฮันอย่างยั่วยวน
“อย่าอ่อยพี่ฮันของเจ้า พี่ฮันของเจ้าคนนี้จิตใจหนักแน่นมาก!” หลิงฮันหยิกแก้มของนางและนำนางเข้าไปยังหอคอยทมิฬ เขาต้องการหลอมเหล็กเหล่านี้ให้กลายเป็นอาวุธ
การจะขัดแร่เหล็กเหล่านี้ให้บริสุทธิ์และหลอมมันให้เป็นอาวุธนั้น แม้แต่ช่างตีเหล็กที่เชี่ยวชาญก็นับว่าเป็นงานยาก อาจจะใช้เวลามากกว่าครึ่งปีในการหลอมขึ้นมา เพราะอย่างไรพวกมันก็เป็นถึงแร่เหล็กระดับเจ็ด
แต่ภายในหอคอยทมิฬ ทุกอย่างสามารถทำได้อย่างง่ายดาย
หลิงฮันราวกับพระเจ้า แร่เหล็กเหล่านั้นถูกขัดให้บริสุทธิ์และหลอมละลายอย่างราบลื่น ผ่านไปเพียงครึ่งวันกระบวนการทุกอย่างก็เสร็จสิ้น
“เจ้าต้องการดาบรูปร่างแบบไหน?” หลิงฮันถามจูเสวียนเอ๋อ
ภายใต้ความคิดของจูเสวียนเอ๋อ หลิงฮันได้สร้างดาบบางเล่มหนึ่งขึ้นมา แม้จะใบดาบแหลมคมแต่มันไม่ใช่อาวุธวิญญาณ มันต้องถูกสลักเจตจำนงลงไปเสียก่อน
หลิงฮันเองสร้างดาบสำหรับตนเองเช่นกัน พละกำลังของเขาตอนนี้แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก แม้จะเป็นดาบที่หนักร้อยปอนด์ สำหรับเขาก็ไม่ต่างอะไรกับการการถือเข็ม เขาไม่รู้สึกถึงความหนักแม้แต่น้อย
อาวุธอีกอย่างหนึ่งที่หลิงฮันสร้างขึ้นคือคันธนูและลูกศรสิบดอก แต่คันธนูยังไม่มีสายเพราะต้องไปหาวัตถุดิบทีหลัง
หลังจากนี้ ในที่สุดการแข่งขันของตำหนักสมบัติวิญญาณในรอบสามปีก็จะเริ่มต้นขึ้น