ภาค 4 กวาดล้างหมื่นลี้ บทที่ 326 คู่พี่น้องที่งามเพริศพริ้ง

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะของทั้งสองฝ่าย ที่พำนักที่หอคลื่นโหมจัดเตรียมให้กับสำนักเขากว่างเฉิงและสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ จึงตั้งอยู่คนละเกาะ

พร้อมทั้งมีมหาค่ายกลครอบเอาไว้ ถ้าหากระหว่างทั้งสองสำนักเกิดการต่อสู้กัน หอคลื่นโหมก็จะสามารถเข้าไกล่เกลี่ยได้ทันเวลา

บนผิวน้ำทะเลสาบอันไร้ขอบเขต สะท้อนแสงพราวระยับ มีเรือน้อยลำหนึ่งลอยอยู่ ห่างออกไปจากหมู่เกาะอย่างยิ่งยวด

เมื่อเพ่งมองไปโดยรอบจากบนเรือ ก็จะแลเห็นแต่เพียงน้ำในทะเลสาบไร้ที่สิ้นสุด

สตรีคนหนึ่งนั่งอยู่บนเรือน้อย ด้านหน้ามีขวดมากมายวางอยู่เต็มไปหมด ในมือถืออยู่ด้วยเหล็กแท่งหนึ่ง เสียบนกเล็กที่ผ่าท้องเอาเครื่องในออก และถอนขนออกจนเกลี้ยงแล้วเอาไว้ตัวหนึ่ง

ภายในช่องเก็บข้างกายนางบนเรือลำนี้ ยังมีเหล็กที่เสียบนกน้อยเอาไว้เหมือนกันอยู่อีกหลายแท่ง

หญิงสาวกางนิ้วทั้งห้าออก ก่อนจะยื่นมือออกไปคว้าอากาศตรงหน้า ฟืนจำนวนมากก็ถูกปราณจิตราของนางผูกมัดเอาไว้

นางจุดกองไฟบนเรือ ทว่ากองไฟถูกปราณจิตราของนางโอบรับไว้ ลอยอยู่กลางอากาศเช่นนี้ ไม่กระทบกับเรือน้อย

หลังจากนั้นนางก็นำนกในมือย่างบนกองไฟอย่างไม่รีบร้อน ทว่าก็ไม่ชักช้า อีกทั้งยังละเลงเครื่องปรุงลงไปด้านบนอย่างเชี่ยวชาญ

ทันใดนั้น มีคนใกล้เข้ามา

หญิงสาวสังเกตเห็นแล้ว ทว่าดาบยาวสีดำเล่มหนึ่งข้างกายก็วางอยู่ตรงนั้นนิ่งๆ หาได้มีความตั้งใจจะชักดาบออกมาไม่

อีกฝ่ายกระโดดลงเรือเล็ก เห็นหญิงสาวผู้นี้แล้ว ก็ร้องเรียกด้วยความดีใจ “ศิษย์พี่!”

ผู้มาเยือนมีนัยน์ตาใสกระจ่างและมีชีวิตชีวา งามแฉล้มเจริญตา ผู้นี้คือศิษย์สือทอดสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ เมิ่งหว่านนั่นเอง

ส่วนสตรีที่อยู่บนเรือ นางปล่อยเรือนผมสยายไปด้านหลัง มุมปากเจือรอยยิ้ม ขณะแววตาทอประกายมีชีวิตชีวา ก็แผ่ราศีอันอาจหาญออกมาด้วย เป็นเฟิงอวิ๋นเซิงที่ได้กราบเป็นศิษย์ภายใต้สำนักเขากว่างเฉิงแล้ว

ครั้นเฟิงอวิ๋นเซิงเห็นเมิ่งหว่าน นางก็ยิ้มเอ่ย “หว่านเอ๋อร์มาเร็วยิ่งนัก ข้ายังย่างตัวแรกไม่สุกเลย”

ความสุภาพเยือกเย็นในยามปกติของเมิ่งหว่านล้วนไม่พบเห็น เมื่อกระโดดขึ้นมาบนเรือ และนั่งยองอยู่ตรงหน้าเฟิงอวิ๋นเซิงแล้ว ภาพลักษณ์ยามปกติก็ไม่เหลืออยู่เลยแม้แต่น้อย ขณะนี้นางมองดูนกน้อยที่เฟิงอวิ๋นเซิงกำลังย่างอยู่ตาปริบๆ “ศิษย์พี่ ข้าชอบรสชาติจัดหน่อย”

เฟิงอวิ๋นเซิงเอื้อนเอ่ย “รสชาติที่เจ้าชอบ ข้ารู้แน่นอนอยู่แล้ว”

เมิ่งหว่านยิ้มจนตาหยี มองดูเฟิงอวิ๋นเซิงเช่นนี้ ก็รู้สึกเหมือนว่าตัวเองกลับไปยังช่วงเวลาที่ยังคงเป็นเด็ก และเพิ่งเข้าสำนักในเวลานั้น

ฝ่ายเฟิงอวิ๋นเซิงเองก็มองเมิ่งหว่าน พลางทอดถอนใจเอ่ยว่า “ถึงแม้จะเจอกันผ่านร่องรอยกาลเวลาอยู่บ้าง แต่ความเป็นจริงพวกเราไม่ได้พบกันนานถึงสี่ปีกว่าแล้ว เมิ่งเอ๋อร์โตเป็นสาวแล้วนี่”

“นับเป็นสตรีที่เติบโตขึ้นไปแล้วก็เปลี่ยนแปลงไปมาก ยิ่งงามพริ้งขึ้นเรื่อยๆ หรือไม่?” เมิ่งหว่านยิ้มกล่าว

เฟิงอวิ๋นเซิงหลุดหัวร่อ “แน่นอน ข้าได้ยินมาว่าชายหนุ่มที่หมายปองเจ้า สามารถตั้งแถวตั้งแต่ยอดเขาเรืองรองเรียงมาจนไปถึงทะเลตะวันออกได้เลย ที่บึงพิภพที่พวกเราอยู่ ศิษย์สืบทอดหลักหอคลื่นโหมหร่วนผิงก็คำนึงหาเจ้าตลอดเวลานี่”

สีหน้าเมิ่งหว่านเรียบเฉย ทว่าดูแล้วกลับมีท่าทีลำพองใจ ราวกับนกยูงตัวน้อยที่เย่อหยิ่งตัวหนึ่ง “นั่นแน่นอนอยู่แล้ว ข้างดงามน่าเอ็นดู แถมยังมีความสามารถ รูปโฉมเพริศพริ้งหาใช่คุยโวไม่ ย่อมเป็นคนรักในฝันของผู้คนมากมายเป็นธรรมดาอย่างไรเล่า”

เมื่อได้ยินคำกล่างหลงตัวเองของนางแล้ว เฟิงอวิ๋นเซิงก็ยิ้มพลางสั่นศีรษะ

มีเพียงแค่ตอนที่อยู่ต่อหน้าเฟิงอวิ๋นเซิง กับอาจารย์ของตนเท่านั้น จึงจะสามารถเห็นเมิ่งหว่านในลักษณะนี้ได้

นอกจากนี้แล้ว เมื่อปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าผู้คน รวมถึงในสายตาของคนระดับสูงอย่างหวงกวงเลี่ยแห่งสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ กระทั่งลงไปถึงศิษย์เข้าสำนักใหม่ ก็จะเป็นเพียงธิดาสวรรค์ที่สุภาพเยือกเย็นและงามเรียบๆ อ่อนน้อมถ่อมตนมีมารยาท ดีเลิศไร้ที่ติ ไม่ขาดตกบกพร่องอะไร ทำให้ผู้คนวางใจเสมอว่าจะไม่ก้าวพลาดคนนั้น

สีหน้าเมิ่งหว่านคล้ายกับจะไม่สนใจ ทว่าหางคิ้วหางตา ริ้วรอยทุกเส้นบนใบหน้า ราวกับกำลังพูดประหนึ่งโดยไร้สุ้มเสียงอยู่

‘ชมข้าเร็วเข้า ชมข้าเร็วเข้า ชมข้าเร็วเข้า…’

เฟิงอวิ๋นเซิงมองเมิ่งหว่านด้วยความสนใจอย่างยิ่ง ในบางด้าน เมิ่งหว่านคล้ายคลึงกับอีกคนหนึ่งอยู่หลายส่วน

เยี่ยนจ้าวเกอ

คนผู้นั้นเปลือกนอกเรียบร้อยน่านับถือ แท้จริงแล้วก็มีธาตุแท้ทระนงอย่างยิ่งเช่นกัน เปิดเผยอย่างยิ่ง ชอบสำแดงอิทธิฤทธิ์ต่อหน้าคน สร้างความตื่นตะลึงให้คนที่อยู่รอบข้างจนแข็งทื่อดั่งหุ่นไก่อย่างไรเล่า

เช่นเดียวกัน เท่าที่เฟิงอวิ๋นเซิงทราบ เยี่ยนจ้าวเกอก็ประเมินเมิ่งหว่านไม่ต่ำต้อย

ในปีนั้นความฉลาดหลักแหลมนำพาให้เยี่ยนจ้าวเกอไปเจอเฟิงอวิ๋นเซิง ช่วยนางออกหน้าแก้ไขสถานการณ์ หยุดยั้งการไล่สังหารของเซียวเซิง

ทั้งช่วยเหลือเฟิงอวิ๋นเซิงเอาไว้ ทั้งหยุดการสืบหาเมิ่งหว่านของเยี่ยนจ้าวเกอลง ขณะเดียวกันนางยังไม่ต้องปะทะกับศิษย์ร่วมสำนักเซียวเซิงโดยตรง ยิงปืนนัดเดียวได้นกถึงสามตัว

และนับแต่นั้นเป็นต้นมา เยี่ยนจ้าวเกอก็รู้ชัดว่าหญิงสาวที่ดูเหมือนว่าไร้พิษภัย กลับยังสามารถทำให้คนอื่นเกิดอยากปกป้องขึ้นมาด้วยซ้ำคนนี้ แท้จริงแล้วไม่ใช่คนที่ชอบก่อเรื่อง

เฟิงอวิ๋นเซิงเติบโตมากับเมิ่งหว่านตั้งแต่ยังเล็ก จึงยิ่งรู้ดีเกี่ยวกับเรื่องนี้ที่สุด

และมีเพียงขณะอยู่ต่อหน้าตนเองกับอาจารย์ของนางเท่านั้น เมิ่งหว่านถึงจะแสดงด้านที่แท้จริงออกมา

“ใช่สิ เป็นคนรักในฝันของคนนับไม่ถ้วน ไม่รู้ว่าในนั้นมีบุรุษมากถึงเพียงใด อืม อาจจะมีสตรีด้วย ที่อยากจะกดเจ้าไว้เบื้องล่าง…”

เมิ่งหว่านพลันทนรับไม่ไหว “เอ่อ… ตัวเลือกหลังข้าไม่ต้องการเท่าไรนัก”

เฟิงอวิ๋นเซิงยิ้มตาหยีพลางมองนาง เมิ่งหว่านไม่เชื่อถืออยู่บ้าง ร้องเฮอะครั้งหนึ่ง “อย่างไรศิษย์พี่ท่านก็อย่าได้ดูถูกข้า ตอนนี้ข้านับว่าเติบโตขึ้นจนงามสะโอดสะองแล้วเช่นกัน!”

“อืม แต่ที่น่าเสียดายก็คือ เมื่อเจ้ากินอะไรเข้าไป ทุกอย่างก็ล้วนสลายสิ้นแล้ว” น้ำเสียงของเฟิงอวิ๋นเซิงเนิบนาบนัก

“ศิษย์พี่!” เมิ่งหว่านร้องราวกับได้รับความไม่เป็นธรรม

เฟิงอวิ๋นเซิงชูแท่งเหล็กในมือขึ้น “ย่างเสร็จแล้ว เจ้าจะกิน หรือว่าไม่กินเล่า?”

เมิ่งหว่านเข้าใกล้ตรงหน้านางทันที ท่าทางประจบประแจงยิ่งกว่าโร่วโร่วกับพ่านพ่านเสียอีก “แน่นอนว่ากินสิ!”

ทันทีที่ได้ยินดังนั้น เฟิงอวิ๋นเซิงยิ้มพลางส่งแท่งเหล็กให้เมิ่งหว่าน ฝ่ายหลังพลันกินอย่างเอร็ดอร่อยและมีความสุข

นี่กลับเป็นเรื่องที่มีเพียงเฟิงอวิ๋นเซิงกับเมิ่งหว่านสองคนถึงจะรู้ แม้แต่อาจารย์ของเมิ่งหว่านยังไม่ล่วงรู้ ว่าศิษย์ของตนเองเป็นนักกินเหนือชั้นคนหนึ่ง

ซึ่งเป็นจริงเช่นวาจาของเฟิงอวิ๋นเซิง ท่าทางการกินของเมิ่งหว่าน ทำให้นางที่ยามปกติเป็นแม่แบบของเทพธิดาผู้ซึ่งงามเพริศไร้สุ้มเสียง มีรอยยิ้มสงบนิ่งในเวลานั้นสูญสิ้นไปราวฝันหวานโดยแท้

หากแต่ไม่ใช่หยาบคายอะไรขนาดนั้น ทว่าก็มีท่วงทำนองบุรุษที่ดื่มสุราถ้วยใหญ่ กินเนื้อคำโตอยู่บ้างจริงๆ

เฟิงอวิ๋นเซิงอมยิ้มอยู่เช่นนี้ พลางมองดูเมิ่งหว่าน จากนั้นก็หยิบแท่งเหล็กออกมาอีกแท่งหนึ่ง เลือกนกน้อยเสียบลงไปด้านบน แล้วเริ่มปรุงสุกอีกครั้ง

นางเร่งทำให้เมิ่งหว่านกินก่อน ทั้งสองพูดคุยหัวเราะกัน ทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องสนุกของแต่ละคนหลังจากแยกกันส่วนหนึ่ง

กระนั้นสำหรับเรื่องการประลองแห่งจันทราในขณะนี้ และเรื่องการสู้รบระหว่างสำนักเขากว่างเฉิงกับสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ ทั้งสองล้วนไม่ปริปากเอ่ยถึง

หลังจากกินอาหารหมดแล้ว สองสาวก็นั่งเอนหลังอยู่บนเรือเล็ก ทอดสายตามองทิวทัศน์แสงสะท้อนทะเลสาบที่อยู่ไกลออกไป

เมิ่งหว่านเอนไปอิงไหล่เฟิงอวิ๋นเซิง กระซิบกระซาบเสียงเบาว่า “ถ้าสุดท้ายข้าสามารถมีมงกุฎแห่งจันทราได้ ถ้าข้าเป็นมหาปรมาจารย์ที่มีความสามารถขับเคลื่อนมงกุฎแห่งจันทราได้ถึงระดับที่สูงกว่า เช่นนั้นต่อให้พูดต่อหน้าท่านอดีตเจ้าสำนัก คำพูดของข้าก็จะมีน้ำหนัก สามารถร้องขอความเป็นธรรมให้ศิษย์พี่ท่านได้ สามารถช่วยท่านกลับสำนักได้เช่นกัน”

“ตอนนี้เซียวเซิงก็ตายไปแล้ว ผู้อาวุโสพานก็ตายไปแล้วเช่นกัน คนในสำนักที่กดขี่ท่านในตอนนั้นทั้งหมดล้วนไม่อยู่แล้ว กระนั้นทั้งหมดทั้งปวงก็ไม่มีความหมายแล้วเช่นกัน”

เฟิงอวิ๋นเซิงโอบกอดเมิ่งหว่านเอาไว้เบาๆ ไม่ได้เอื้อนเอ่ยอะไรออกไป

ตอนนั้น ในช่วงเวลาหนึ่งปีตั้งแต่การประลองแห่งจันทราครั้งแรก จนกระทั่งการประลองแห่งจันทราครั้งที่สอง ระดับการไล่ล่าสังหารนางลดน้อยลงอย่างมาก แท้จริงแล้วสาเหตุเป็นเพราะเมิ่งหว่านชนะและได้รับมงกุฎแห่งจันทรา สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์จึงกำลังวุ่นอยู่กับนาง

อุปนิสัยบางอย่างอาจจะมีส่วนคล้ายกับเยี่ยนจ้าวเกอ แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่เหมือนกัน

การเผชิญหน้ากับการอนุญาตโดยปริยายและแรงกดดันจากผู้อาวุโสสูงสุดพานป๋อไท่ ด้วยอุปนิสัยของเมิ่งหว่าน ทำให้นางไม่อาจปะทะซึ่งหน้าได้ ทว่าก็ยอกย้อนพยายามผ่อนเบาแรงกดดันให้กับเฟิงอวิ๋นเซิงอยู่เสมอ

เมิ่งหว่านอิงซบอยู่กับไหล่เฟิงอวิ๋นเซิง สายตาพร่าเลือนอยู่บ้าง

สำหรับนาง ฝั่งหนึ่งคือเฟิงอวิ๋นเซิง อีกฝั่งหนึ่งก็คืออาจารย์ที่อบรมนางบ่มเพาะนาง บุญคุณดั่งขุนเขา

ซึ่งสำหรับเฟิงอวิ๋นเซิงแล้ว สำนักเขากว่างเฉิงก็มีบุญคุณให้ชีวิตใหม่กับนางเช่นกัน

พบกันหลังพลัดพรากกันนานถึงจะดีอกดีใจก็ตาม ทว่าการประลองแห่งจันทรา และการช่วงชิงมงกุฎแห่งจันทรา ทั้งสองกลับไม่อาจถอยได้ทั้งสิ้น

ถึงแม้หลังจากรู้ว่าหลังจากเฟิงอวิ๋นเซิงฟื้นฟูจันทรากายได้แล้ว คาดว่าจะต้องมีวันนี้ กระนั้นเมิ่งหว่านก็ยังคงผิดหวังอยู่ดี

…………