ภาค 4 กวาดล้างหมื่นลี้ บทที่ 327 ความคิดเชื่อมโยงของเยี่ยนจ้าวเกอ

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

สหายเก่าพบกันหลังจากแยกกันนาน เมื่อได้อยู่ด้วยกันช่วงสั้นๆ แล้ว ก็ต้องแยกจากกัน อย่างไรเสียตอนนี้ทั้งสองฝ่ายล้วนอยู่ภายใต้คนละสำนักกัน

อีกทั้งยังเป็นกลุ่มอิทธิพลใหญ่ทั้งสองที่เป็นปฏิปักษ์ต่อกัน

ครั้นการประลองแห่งจันทราเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ ตอนที่ทั้งสองพบกันอีกครั้งต่อหน้าทุกคน ก็ต้องปฏิบัติตัวเหมือนเช่นยามพบหน้ากันครั้งแรกอย่างไรอย่างนั้น

ท่านมองดูข้า ข้ามองดูท่าน หากแสร้งไม่รู้จักกันคงเป็นไปไม่ได้แน่ กระนั้นก็ดูเหมือนว่าไม่มีอะไรจะพูดเช่นกัน

เมื่ออยู่หน้าบรรดาผู้อาวุโส หากปฏิบัติน้อยหรือปฏิบัติมากไปจะถูกจับได้ แม้แต่การลอบประสานสายตาของหญิงสาวทั้งสองล้วนไม่มี

บัดนี้ ในการประลองแห่งจันทรา ระหว่างพวกนางมีความสัมพันธ์ฉันท์ศัตรู

ช่วงเวลาที่ดำเนินการประลองแห่งจันทราคือยามวิกาล วันนี้ที่หอคลื่นโหมแห่งนี้มีสภาพอากาศครึ้มฟ้าครึมฝน พยับเมฆกระจายหนาแน่น บดบังแสงสว่างของดวงจันทร์และหมู่ดารา ทั่วทั้งฟากฟ้ายามราตีมืดสนิท

ประมุขหอคลื่นโหมอันชิงหลินควบคุมการประลองแห่งจันทราด้วยตัวเอง นางพยักหน้าให้กับฝานชิว สตรีแห่งจันทราของสำนักตนเอง

บัดนี้ฝานชิวไม่ยิ้มแล้ว นางเม้มริมฝีปากเอาไว้ ฟันกระต่ายน้อยๆ คู่หนึ่งก็หายไปไม่พบเช่นกัน

มือหนึ่งนางทำท่ามุทราหมัด ชักเข้าหาช่วงเอว อีกมือหนึ่งรวบนิ้วทั้งห้าเข้าด้วยกัน ผลักขนานออกไปเบื้องหน้า

ฉับพลันนั้นเหนือศีรษะนางก็มีแสงสว่างส่องประกาย ตามการเคลื่อนไหวนี้ของนาง

ส่องสว่างสุกสกาว เงียบสงัดเยือกเย็นไปทั่วบริเวณ

ทว่าครั้นแสงส่องสว่าง ก็ทำให้ท้องฟ้ายามราตีไม่มืดมิดอีกต่อไป

แสงจันทราที่ราวกับสามารถส่องสว่างแข่งกับดวงอาทิตย์ได้ ปรากฏอยู่บนศีรษะของฝานชิว ภายในแสงจันทรามีมงกุฎสีขาวบริสุทธิ์ที่แปลงมาจากผลึกแก้วแทบจะโปร่งแสง งดงามเรียบง่ายและละเอียดลออ ปรากฏรูปร่างออกมา

พลังปราณอันเก่าแก่วังเวงวิเวกกลุ่มหนึ่งแผ่กระจายออกมา ไกลลิบและเนิ่นนาน ทำให้ผู้คนหวั่นไหว

แสงกระจ่างแจ้งอันเบาบางสาดกระจายออกมา ในชั่วขณะนี้แสงจันทราราวกับสาดส่องไปทั่วหล้า

เมื่อมงกุฎอันงดงามละเอียดลออที่มีสีขาวบริสุทธิ์มงกุฎนี้ปรากฏขึ้น ก่อเกิดความรู้สึกสัมผัสได้อันแกร่งกล้า ไม่ด้อยไปกว่าจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์อันชิงหลินที่อยู่ข้างๆ เลยสักนิด

บัดนี้ทุกคนล้วนถูกดึงความสนใจ ให้มองดูมงกุฎแห่งจันทรา อาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่เหมือนอาวุธใด

เยี่ยนจ้าวเกอเองก็กำลังเพ่งมองมงกุฎแห่งจันทราอยู่เช่นกัน นอกจากเขาจะคิดไตร่ตรองถึงการประลองแห่งจันทราในขณะนี้แล้ว เขายังนึกถึงเรื่องอื่นบางเรื่องขึ้นมาได้

หลังจากเก็บเสาทางเดินวังเทพที่เกาะทรายในตอนนั้นแล้ว ก็ทำการหลอมกลายสภาพในระดับที่ลึกยิ่งขึ้น จึงได้เห็นร่องรอยกาลเวลาที่สลักประทับไว้มากมาย

หนึ่งในนั้นมีสตรีลึกลับผู้หนึ่ง ที่หาเสาทางเดินวังเทพเจอก่อนเยี่ยนจ้าวเกอ ทว่ากลับไม่ได้นำมันไป

บัดนี้ได้ยลมงกุฎแห่งจันทรากับตา และสัมผัสท่วงทำนองพลังในนั้นอย่างใกล้ชิด ก็เพียงพอให้เยี่ยนจ้าวเกอสามารถยืนยันได้ว่า มงกุฎที่ลอยอยู่เหนือศีรษะสตรีที่พบเจออยู่ในมหาทะเลทรายแดนตะวันตกกับเสาทางเดินวังเทพในตอนนั้น ทำให้ตนเองรู้สึกคุ้นตา เพราะมันคืออาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่ใต้หล้าต่างจับจ้อง ทุกคนต่างช่วงชิงตรงหน้าชิ้นนี้!

เสาทางเดินวังเทพฝังอยู่ในมหาทะเลทรายแดนตะวันตกมาเนิ่นนานแล้ว ยิ่งไม่รู้ว่าหญิงลึกลับผู้นั้นเป็นคนในยุคสมัยใด

กระนั้นก็เป็นไปได้อย่างมากว่าอีกฝ่ายจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับวังเทพในอดีต จึงทำให้เยี่ยนจ้าวเกอสนใจนางขึ้นมา

หมัดซ้ายที่ฝานชิวเก็บไว้ช่วงเอว ค่อยๆ ต่อยออกมาตรงหน้าอย่างเชื่องช้า

พลังมงกุฎแห่งจันทราเปลี่ยนเป็นเกรียงไกรฉับพลัน ตามการเคลื่อนไหวนี้ของนาง จากนั้นก็ลอยล่องจากเหนือศีรษะฝานชิว ออกไปยังกลางอากาศในสนาม

การเชื่อมประสานกันของฝานชิวกับอาวุธศักดิ์สิทธิ์เริ่มเจือจางลง จนกระทั่งตัดขาดจากกัน

ถึงแม้ว่าแสงจันทราสลัวๆ ยังคงปกคลุมทั้งฟ้าดิน ทว่าความรู้สึกของพลังอันแกร่งกล้าภายในมงกุฎนั่น ก็ค่อยๆ กระจายหายไปแล้วเช่นกัน แม้จะหาได้เสื่อมถอยลงไม่ หากแต่คล้ายกับเข้าสู่สภาวะจำศีลอย่างไรอย่างนั้น

อันชิงหลินกล่าว “ถึงเวลาอันสมควรแล้ว การประลองแห่งจันทราครั้งที่ห้า เริ่มต้นได้”

พวกผู้อาวุโสเมิ่งและซี่จ้าวจวินได้ยินดังนั้นแล้ว ต่างพยักหน้าให้กับพวกนางเฟิงอวิ๋นเซิงและเมิ่งหว่าน

เหล่าบรรดาสตรีแห่งจันทราที่อยู่ในสนาม รวมถึงฝานชิวที่เพิ่งจะตัดการเชื่อมประสานกับมงกุฎแห่งจันทราเมื่อครู่ ต่างสืบเท้าขึ้นไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง ไปรวมตัวอยู่ด้านใต้มงกุฎแห่งจันทราที่ลอยอยู่กลางอากาศอย่างพร้อมเพรียงกัน

หลายคนแผดเสียงตะโกนนุ่มนวลจนกลายเป็นเสียงเดียวกัน ทั้งยังแหงนหน้าขึ้นมองมงกุฎแห่งจันทรา

ภายในลูกตาดำของพวกนางมีประกายแสงเผยออกมา ประหนึ่งกับประกายแสงโลหะจางๆ ก็ไม่ปาน

เมื่อมงกุฎแห่งจันทราได้รับผลจากแสงระยับเหล่านี้ มันก็สั่นไหวเล็กน้อย หลังจากคล้ายกับเพิ่งจะจำศีล ก็ตื่นตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็วอีกรอบ จากนั้นสัมผัสพลังอันมหาศาลก็ปรากฏออกมาอีกครั้ง

เพียงแต่ว่าคลื่นพลังที่ส่งทอดออกมาในขณะนี้ มีต้นกำเนิดมาจากมงกุฎแห่งจันทรา ไม่ได้มีทิศทางที่ชัดเจน หากแต่ส่งทอดออกมาตามการกระตุ้น

ภายในแสงจันทราอันเยือกเย็นและวิเวก มีลำแสงเจ็ดสายที่ส่องแสงสีทองจางๆ อันพราวระยับออกมาเช่นกันพุ่งตรงสู่ท้องฟ้า โดยมีมงกุฎแห่งจันทราเป็นศูนย์กลาง คลุมครอบพวกเฟิงอวิ๋นเซิงเอาไว้

เฟิงอวิ๋นเซิงสัมผัสได้ว่าความรู้สึกนึกคิดของตัวเอง ราวกับก่อเกิดการเชื่อมประสานกับอาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่กลางอากาศขึ้นอย่างไรอย่างนั้น

ถึงแม้ว่าจะเป็นการเชื่อมต่อร่วมกับคนอื่น ถึงแม้ว่าการเชื่อมต่อจะยังคงเบาบางและมีขอบเขตจำกัดอย่างมากก็ตาม ทว่าเฟิงอวิ๋นเซิงก็ยากจะเลี่ยงไม่ให้ประหม่าและไม่หวั่นไหวเช่นกัน

ที่นั่น ราวกับเป็นบ้านเกิดของตนเอง ราวกับเป็นสหายที่คุ้นเคยกันอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ราวกับเป็นที่พักพิงของตนเอง

สีหน้าท่าทางของเฟิงอวิ๋นเซิงไม่เศร้าโศก แต่ก็ไม่ดีใจ พลางมองมงกุฎแห่งจันทราที่อยู่ในอากาศเงียบๆ

หลายปีมากแล้ว ที่มงกุฎสีขาวกลางอากาศมงกุฎนั่น เป็นเป้าหมายและแรงผลักดันให้นางไม่หยุดทุ่มเท

ไม่ใช่แค่เพียงการเฝ้าปรารถนาและการมุ่งหวังของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น นั่นก็เป็นเป้าหมายในชีวิตที่ตัวเฟิงอวิ๋นเซิงเองยินดีที่จะทุ่มเทต่อสู้อย่างสุดชีวิตเพื่อมันอีกด้วย

น่าเสียดายที่หลังจากนั้น กลับดับสิ้นราวกับภาพฝันลวงตาอย่างไรอย่างนั้น

โชคดีที่เฟิงอวิ๋นเซิงมีจิตใจแน่วแน่เข้มแข็ง ไม่นานนักก็มีเป้าหมายชีวิตใหม่ โดยมีความเชื่อมั่นว่าต่อให้ไม่มีจันทรากาย ตนเองก็สามารถใช้ชีวิตได้อย่างยอดเยี่ยมเช่นกัน

หลังจากนั้น นางกลับมีความหวังใหม่อีกครั้ง

ได้รับแล้วก็สูญเสีย สูญเสียแล้วก็ได้รับอีกครั้ง

กลับกัน คนที่ไม่ได้มีประสบการณ์เช่นเดียวกัน ก็ยากจะเข้าใจความรู้สึกนั้น

เพื่อตัวเอง เพื่อสำนักเขากว่างเฉิง เฟิงอวิ๋นเซิงจะสู้อีกสักตั้ง

ถึงแม้ว่าเพิ่งจะเข้าร่วมประลองเป็นครั้งแรก ทว่าเฟิงอวิ๋นเซิงจำขั้นตอนในการประลองแห่งจันทราได้ขึ้นใจตั้งนานแล้ว

ภายในลำแสงสีทองจางๆ เฟิงอวิ๋นเซิงส่งเสียงเบาๆ ครั้งหนึ่ง ก่อนจะชักดาบยาวสีดำออกจากฝัก แล้วฟันออกไปในอากาศ

ภายในลำแสงอื่นๆ อีกหกสาย พวกเมิ่งหว่านเองก็ล้วนทำเช่นเดียวกัน ต่างสำแดงฝีมือของแต่ละคน

กระบวนท่าที่นางขับเคลื่อนในขณะนี้ กลับไม่ใช่วิชาสืบทอดของสำนักตนเองเพียงอย่างเดียว หากแต่ผสานวรยุทธ์ของตนด้วยยอดทักษะจันทรา!

พวกนางสร้างการเชื่อมประสานกับมงกุฎแห่งจันทราขึ้นอีกขั้นหนึ่ง ผ่านยอดทักษะจันทรา จนก่อเกิดความรู้สึกร่วมกัน

หลังจากมีคนได้มงกุฎแห่งจันทราแล้ว ก็ขับเคลื่อนอาวุธศักดิ์สิทธิ์อันแก่กล้าชิ้นนี้ อาศัยระดับพลังฝึกปรือปรมาจารย์ โดยใช้มงกุฎแห่งจันทราเป็นวิถี และใช้ทักษะจันทราเป็นเครื่องมือ

เหนียนเล่ย สตรีแห่งจันทราของตำหนักอัสนีสวรรค์ทำท่าฝ่ามือเชื่อมต่อกันเป็นวัฏจักร ประหนึ่งอสนีบาตดังกึกก้อง ผุดลำแสงออกมาภายในลำแสงที่คลุมครอบนางเอาไว้ รวมตัวกันแปรสภาพกลายเป็นกลองใหญ่ใบหนึ่ง ตีดัง ‘ตึงตัง’ ไม่หยุด ราวกับสายฟ้าฟาดกระหน่ำ

หลิงฮุ่ย สตรีแห่งจันทราสำนักเขาไร้พรมแดน ครั้นนางสำแดงทักษะจันทราร่วมกับอาวุธศักดิ์สิทธิ์ กลับกลายสภาพเป็นสิ่วที่ดูเหมือนไม่สะดุดตาเล่มหนึ่ง แต่ก็ราวกับสามารถแทงทะลุขุนเขาได้

เฉินซูถิงแห่งเมืองทะเลมรกต แปรสภาพเป็นเรือยักษ์ลำหนึ่ง ลอยล่องฝ่าลมคลื่น

ฝานชิวแห่งหอคลื่นโหม กลับเป็นร่มกระดาษคันหนึ่ง พลิ้วไหวท่ามกลางหยาดฝน

นี่เป็นการประลองรอบแรก โดยมีมงกุฎแห่งจันทราอาวุธศักดิ์สิทธิ์ชิ้นนี้เป็นผู้ตัดสินแพ้ชนะ ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจเล่นลูกไม้ได้

เพียงปราดเดียวก็ล่วงรู้ ว่าใครแกร่งกล้า ใครอ่อนด้อย

หลิงฮุ่ยแห่งสำนักเขาไร้พรมแดนด้อยที่สุด เหนียนเล่ยแห่งตำหนักอัสนีสวรรค์ค่อนข้างแกร่ง เฉินซู่ถิงแห่งเมืองทะเลมรกตเหนือชั้นกว่าเหนียนเล่ยขั้นหนึ่ง

ฝานชิวแห่งหอคลื่นโหมที่อายุน้อยที่สุดในบรรดาสี่คน กลับเป็นผู้ที่แกร่งที่สุดในสี่คนนี้

ทว่าทันใดนั้น เมิ่งหว่านก็ส่งเสียงนกร้องดังแผ่วโผยราวกับหงส์ออกมาครั้งหนึ่ง จากนั้นภายในลำแสงสีทองจางๆ ที่คลุมครอบนางไว้ ก็มีแสงสุกสว่างก่อตัวกลายเป็นรูปหงส์เพลิงตัวหนึ่ง สยายปีกโผบิน

ครั้นหงส์เพลิงสยายปีก ชั่วพริบตาเดียวก็สยบเสียงของคนอื่นลงทั้งหมด เมิ่งหว่านในขณะนี้ ทำให้ผู้คนรู้สึกถึงมงกุฎครอบมวลบุปผาหอม!

……………