ภาค 4 กวาดล้างหมื่นลี้ บทที่ 328 คนที่ย้อนกลับออกจากประตูกำแพงไป

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

เยี่ยนจ้าวเกอชมการประลองแห่งจันทราที่กำลังดำเนินไปอยู่ตรงหน้าด้วยความสงบนิ่ง

การประลองหลายสมัยที่ผ่านมา เขาเองก็ได้เห็นผ่านร่องรอยกาลเวลาที่ผู้อาวุโสสำนักนำกลับมาทั้งหมดแล้วเช่นกัน บัดนี้สังเกตการณ์อยู่ใกล้ๆ ได้พิสูจน์กันแล้วว่า มีการตัดสินระดับฝีมือของสตรีแห่งจันทราหลายคนในสนามด้วยจักษุสัมผัสที่แม่นยำที่สุด

อาหู่ยืนอยู่ข้างกายเขา เอ่ยถามด้วยความใคร่รู้ว่า “คุณชาย ดูเหมือนว่าเมิ่งหว่านจะล้ำเลิศเหนือคนอื่นนะขอรับ”

เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวออกมาทันทีว่า “การประเมินพลังความสามารถของสตรีแห่งจันทรา ไม่ใช่มีแค่เพียงด้านเดียว”

“โดยทั่วไปแล้วมีสามด้าน คือ ระดับพลังฝึกปรือที่สูงต่ำของตัวสตรีแห่งจันทราเอง และความมากน้อยของพลังจันทรา รวมถึงระดับการบรรลุในยอดทักษะจันทรา ร่วมกับการตัดสินจากพลังความสามารถของสตรีแห่งจันทราในการขับเคลื่อนมงกุฎแห่งจันทรา ในการต่อสู้จริง ยังโยงไปถึงระดับความสามารถในการรับมือสถานการณ์การต่อสู้จริงอีกด้วย ดังนั้นโดยคร่าวๆ แล้วสามารถมองได้ว่ามีสี่ปัจจัยในการตัดสิน”

ชายหนุ่มมองไปทางเมิ่งหว่าน เห็นหงส์เพลิงสยายปีกเหนือศีรษะนาง แผ่พลังออกมาสูงเทียมฟ้า

ที่ยิ่งทำให้ผู้คนต้องเหล่มองก็คือ แสงหงส์เพลิงที่อยู่เหนือศีรษะเมิ่งหว่าน ครึ่งหนึ่งเป็นสีดำ ครึ่งหนึ่งเป็นสีขาว

นี่หมายความว่าสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์กับเมิ่งหว่านคิดทบทวนใช้วิชาหยินหยางค้ำจุน ยกระดับพลังความสามารถขึ้นอีกขั้นจนมีพัฒนาการที่แท้จริงแล้ว ไม่ใช่ทดลองคลำหาวิธีทางเฉกเช่นตอนการประลองแห่งจันทราครั้งที่สี่เมื่อปีที่แล้วเช่นนั้น จนส่งผลให้รากฐานตนไม่มั่นคง พลังความสามารถกลับถดถอยลงเสียด้วยซ้ำอีกต่อไปแล้ว

ถดถอยหนึ่งก้าวในตอนแรก ก็เพื่อที่จะรุดหน้าสามก้าวในตอนนี้ เมิ่งหว่านอธิบายจุดนี้ได้อย่างครบถ้วน

เพราะฉะนั้นนางจึงมีพลังความสามารถที่พุ่งพรวดในวันนี้ มองทั่วสนามด้วยความโอหัง

“เมิ่งหว่านถือว่าเป็นสตรีแห่งจันทราที่แกร่งกล้าที่สุดตอนนี้ นำหน้าในทุกๆ ตำแหน่งในแต่ละด้าน สมกับที่พยายามมา” เยี่ยนจ้าวเกอทอดถอนใจพลางเอ่ย

พูดถึงระดับพลังฝึกปรือ แต่ไหนแต่ไรตนเองก็เป็นอัจฉริยบุคคลอยู่แล้ว ซ้ำยังได้รับการบ่มเพาะเต็มกำลังของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ และได้กุมมงกุฎแห่งจันทราต่อเนื่องเป็นเวลาสองปี มีส่วนช่วยในการยกระดับการฝึกฝนตามปกติ เมิ่งหว่านอายุยังน้อย ก็ย่างก้าวสู่ระดับปรมาจารย์ชั้นเคียงนภาระยะกลางแล้ว ซึ่งสูงที่สุดในบรรดาสตรีแห่งจันทราที่อยู่ในสนามประลอง

พูดถึงระดับความแกร่งกล้าของพลังจันทรา เมิ่งหว่านยิ่งเป็นมงกุฎครอบเหนือมวลบุปผาหอม ต้นทุนพรสวรรค์อุดมสมบูรณ์ และยังได้รับการพัฒนาจากวิชาหยินหยางค้ำจุนขึ้นอีกขั้นหนึ่ง

พูดถึงอานุภาพของยอดทักษะจันทรา ตามประสบการณ์ในปีที่แล้วๆ มา เมิ่งหว่านก็เป็นผู้ที่อยู่ในระดับสุดยอดเช่นกัน

พูดถึงประสบการณ์การต่อสู้จริง เมิ่งหว่านอาจจะไม่สามารถกล่าวได้ว่ากรำศึกมาอย่างโชกโชน ทว่าก็อุดมสมบูรณ์อย่างยิ่งยวดเช่นกัน

ในปีนั้น สิ่งที่ทำให้มงกุฎแห่งจันทราไม่อาจตกอยู่ในมือของนางเป็นครั้งที่สอง ก็เป็นเพราะได้ขับเคลื่อนมงกุฎแห่งจันทราต่อสู้กับมหาราชาปีศาจอัคคีตนหนึ่งซึ่งหน้าๆ ที่ทะเลตะวันออกก่อนหน้านั้น

แม้ว่าเมิ่งหว่านจะได้รับบาดเจ็บ ทว่าจอมยุทธ์ปรมาจารย์คนหนึ่ง หลังจากต่อสู้อย่างดุเดือดกับศัตรูระดับขั้นจอมมารศักดิ์สิทธิ์แล้วยังสามารถรอดชีวิตกลับมาได้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นผลกำไรอย่างหาที่สุดไม่ได้แล้ว

เฟิงอวิ๋นเซิงเคยว่าเอาไว้ ว่าขอเพียงแค่เมิ่งหว่านเองไม่เกิดปัญหาขึ้นเสียก่อน หากนางเข้าประลองจันทรากาย มงกุฎแห่งจันทราย่อมไม่มีทางหลุดมือไป

วาจานี้พูดออกมาจากใจจริง หาใช่เอื้อยเอ่ยไปเรื่อยไม่

เยี่ยนจ้าวเกอมองดูผู้คนที่เข้าร่วมทดสอบในสนามรอบแรก พลางรำพันไม่รีบร้อนแต่ก็ไม่เชื่องช้าว่า “หลิงฮุ่ยแห่งสำนักเขาไร้พรมแดน พลังความสามารถด้อยที่สุด ตรงกันข้ามกับเมิ่งหว่านพอดี จัดว่าค่อนข้างธรรมดาในทุกๆ ด้าน เอ่ยเช่นนี้อาจจะไร้มารยาทอยู่บ้าง แต่ในการเปลี่ยนแปลงใหญ่อันราวกับพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน ศิษย์น้องหลิงผู้นี้เข้าร่วมทุกปี ล้วนทำได้เพียงตีเสมอเท่านั้น”

“เหนียนเล่ยแห่งตำหนักอัสนีสวรรค์ อืม อย่างอื่นก็เท่านั้นเอง เริ่มตั้งแต่การประลองแห่งจันทราปีที่แล้ว พลังความสามารถเริ่มมีส่วนยกระดับขึ้น แม้จะมีระดับจำกัด แต่พัฒนาขึ้นโดยแท้จริง”

ชายหนุ่มมองแสงรูปกลองใหญ่เหนือศีรษะเหนียนเล่ยแวบหนึ่ง ก็เห็นว่าหน้ากลองแยกออกเป็นสีดำและสีขาวอยู่รำไรเช่นกัน ด้านหนึ่งสีดำ ด้านหนึ่งสีขาว

หากแต่ไม่ได้เด่นชัด ปรากฏให้เห็นขมุกขมัวอยู่บ้าง

เยี่ยนจ้าวเกอผงกศีรษะเล็กน้อย “ตำหนักอัสนีสวรรค์ ก็กำลังทดลองใคร่ครวญใช้วิชาหยินหยางค้ำจุนยกระดับพลังความสามารถของสตรีแห่งจันทราอยู่ด้วยเช่นกัน หากแต่ลองทำโดยพึ่งตัวเองทั้งหมด เพิ่งจะเริ่มต้น ยังมีทางอีกมากนักที่ต้องเดิน”

การริเริ่มทำเรื่องใหม่เช่นนี้ ตอนเริ่มแรกมักจะยากเย็นแสนเข็ญที่สุด รอจนเดินถูกทางแล้ว ก็จะพบกับการพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว กระทั่งพัฒนาจนถึงระดับสูงระดับหนึ่ง จนประสบกับคอขวด ความเร็วถดถอยลงอีกครั้ง ต้องมุ่งแสวงหาการบุกทะลวงขึ้นอีกขั้นหนึ่ง

อาหู่ได้ยินดังนั้นแล้ว ก็เพ่งพินิจทุกคนด้วยความใคร่รู้เช่นกัน

สายตาเยี่ยนจ้าวเกอย้ายไปอีกฝั่งหนึ่ง “เฉินซู่ถิงแห่งเมืองทะเลมรกต ข้อได้เปรียบที่สุดอยู่ที่ระดับพลังฝึกปรือของตัวเอง นอกจากนี้แล้ว เมืองทะเลมรกตยังสร้างยอดทักษะจันทราให้เข้ากับนาง ไม่ธรรมดาอย่างยิ่งเช่นกัน”

เฉินซู่ถิงมีอายุมากที่สุดในบรรดาผู้ที่เข้าร่วมประลองทั้งหมด ระยะเวลาฝึกฝนยาวนานที่สุด และยังเคยกุมมงกุฎแห่งจันทราเป็นระยะเวลาหนึ่งปีอีกด้วย

ปัจจุบัน นางเป็นสตรีแห่งจันทราเพียงคนเดียวเท่านั้น ที่มีระดับพลังฝึกปรือใกล้เคียงกับเมิ่งหว่าน และก็ยังทะลวงถึงระดับปรมาจารย์ขั้นเคียงนภาระยะต้น

ยอดทักษะจันทรานี้ สำคัญที่สุดต้องอาศัยการบรรลุของสตรีแห่งจันทราเอง หากแต่มีผู้อาวุโสสำนักช่วยเหลือ จะยิ่งราบรื่นมากยิ่งขึ้น

บรรดาดินแดนศักดิ์สิทธิ์ใหญ่ทั้งหก แต่ไรวิชาวรยุทธ์สืบทอดของเมืองทะเลมรกตกับหอคลื่นโหม ต่างเจนจัดในพลังอันนุ่มนวล

การประลองแห่งจันทราครั้งแรกก่อนหน้านี้ เฉินซู่ถิงก็คือคู่ต่อสู้ที่น่ากลัวที่สุด เวลานั้นเมิ่งหว่านยังคงเด็ก ทว่าสุดท้ายแล้วก็เอาชนะได้อย่างหวุดหวิด

การประลองแห่งจันทราครั้งที่สอง เมิ่งหว่านมีอาการเจ็บ ผลคือเฉินซู่ถิงกุมชัยชนะ นำมงกุฎแห่งจันทรากลับเมืองทะเลมรกตได้สำเร็จ

ในตอนสงครามถังตะวันออก ก็เป็นเฉิงซู่ถิงนำมงกุฎแห่งจันทรา ตามผู้อาวุโสทรงวัยวุฒิของเมืองทะเลมรกต ข้ามฝั่งตะวันตกไปยังปฐพีพิภพ ร่วมมือกับสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ ซุ่มโจมตีมาตรสุริยันวัดสวรรค์ของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์

ทว่าน่าเสียดาย การประลองแห่งจันทราครั้งที่สาม เมิ่งหว่านที่อาการเจ็บหายเป็นปกติแล้วกลับมาเอาชนะได้อีก

การประลองแห่งจันทราครั้งที่สี่ ยุทธศาสตร์เมิ่งหว่านเลือกที่จะละทิ้ง ผลสุดท้ายฝานชิวแห่งหอคลื่นโหมได้ผงาดขึ้นบนโลกหล้า

หากแต่แม้จะเป็นเช่นนี้ ในการประลองแห่งจันทราครั้งที่ห้า เฉิงซู่ถิงยังคงเพียบพร้อมด้วยความสามารถในการแข่งขันพอสมควร

ส่วนฝานชิวแห่งหอคลื่นโหม ในความคิดของเยี่ยนจ้าวเกอ ไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง ก็เหมือนเช่นเมิ่งหว่านที่รองลงมาเล็กน้อยคนหนึ่ง

โดดเด่นอย่างยิ่งในทุกๆ ด้าน แต่ที่ควรแก่การเอ่ยถึงเป็นพิเศษก็คือ พรสวรรค์และพลังจันทราของฝานชิวแกร่งกล้าอย่างยิ่ง

น้องสาวผู้มีฟันกระต่ายคนนี้ ถึงขั้นอาจจะเป็นสตรีแห่งจันทราผู้มีสติปัญญาตั้งแต่กำเนิดที่ดีที่สุดก็เป็นได้

ถ้าหากเมิ่งหว่านไม่ได้ผ่านการยกระดับด้วยวิชาหยินหยางค้ำจุนล่ะก็ ต้นทุนตั้งแต่กำเนิดก็ไม่แน่ว่าจะสามารถเอาชนะฝานชิวได้

อีกทั้ง ฝานชิวที่ฐานะเดิมหอคลื่นโหม เข้าใจซึ้งยอดทักษะจันทราที่สร้างสรรค์ขึ้น ประณีตและวิจิตรอย่างยิ่งยวด

เยี่ยนจ้าวเกอพิศร่มน้อยที่อยู่ด้านบนเหนือศีรษะฝานชิวคันนั้น พลางลอบผงกศีรษะเงียบๆ

นอกจากคู่ต่อสู้เดิมเหล่านี้แล้ว…

สายตาของเยี่ยนจ้าวเกอตกอยู่บนร่างอีกคนหนึ่ง ซึ่งก็เป็นผู้ที่เข้าร่วมการประลองแห่งจันทราปีนี้ครั้งแรกเช่นกัน

อวิ๋นซิ่วชิงแห่งสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์

ถึงแม้จะมาจากสำนักเดียวกัน กระนั้นอวิ๋นซิ่วชิงกับเมิ่งหว่านก็แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

ด้านบนเหนือศีรษะนางในขณะนี้ กลับเป็นภาพยอดเขาลูกหนึ่ง

เป็นภูเขาหิมะลูกหนึ่ง หากแต่บนปลายสุดยอดเขา กลับมีเปลวเพลิงและหินหนืดปะทุพ่นออกมาเป็นช่วงๆ

เยี่ยนจ้าวเกอลูบคางของตนเอง “เมิ่งหว่านเพิ่งจะเปลี่ยนมาฝึกฝนด้วยวิชาหยินหยางค้ำจุนพักหลัง สตรีผู้นี้ก็เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ยกเว้น พลังจันทราพอดูเลยทีเดียว”

“ความสามารถในการเข้าใจดีงามอย่างยิ่ง ยอดทักษะจันทราก็ล้ำเลิศ ต่อให้จะปวกเปียกไปเล็กหน่อย และระดับพลังฝึกปรือค่อนข้างอ่อนด้อย แต่พลังความสามารถโดยรวมก็แกร่งกล้าอย่างมากเช่นกัน”

อาหู่กะพริบตา ได้ฟังการประเมินของเยี่ยนจ้าวเกอเช่นนี้ นับว่าหาได้ยากอย่างยิ่งยวด

เขาแลมองอย่างถี่ถ้วน ก็เห็นลู่ทางอยู่บ้างดังคาด จากนั้นมองคนอื่นๆ เห็นว่าผู้อาวุโสนำคณะของสำนักเขาไร้พรมแดนกับตำหนักอัสนีสวรรค์ มีสีหน้าผิดแปลกไปอยู่บ้าง

อวิ๋นซิ่วชิงคนใหม่คนนี้ ยังแกร่งยิ่งกว่าหลิงฮุ่ยกับเหนียนเล่ยที่เข้าร่วมการประลองแห่งจันทรามาสี่ครั้งแล้วเสียอีก!

คนของเมืองทะเลมรกตและหอคลื่นโหม ก็มีสีหน้าท่าทางเคร่งขรึมจริงจังเช่นเดียวกัน เพราะอวิ๋นซิ่วชิงผู้นี้ แจ่มชัดว่ามีพลังความสามารถที่เหนือกว่าเฉินซู่ถิงกับฝานชิวแล้ว

บัดนี้ซี่จ้าวจวิน ผู้นำคณะของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์มีสีหน้าเรียบเฉย

เหล่าจอมยุทธ์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ที่ตามติดอยู่หลังกายจำนวนหนึ่ง มีบางคนผุดยิ้มเย็นบนใบหน้าเล็กน้อย กวาดสายตาผ่านเยี่ยนจ้าวเกอ ผู้อาวุโสเมิ่ง สุดท้ายตกอยู่บนร่างของเฟิงอวิ๋นเซิง “จำนวนสี่คน เฉิงซู่ถิงกับฝานชิวก็เท่านั้น เจ้าคนทรยศอกตัญญูผู้นี้ รีบไสหัวกลับเขากว่างเฉิงไปเสียตอนที่ยังมีเวลาอยู่!”

…………….