บทที่ 78 Ink Stone_Romance

อาเรียเก็บของขวัญที่อาซมอบให้ไว้ที่ห้องแต่งตัวทั้งกล่องแบบนั้น เพราะคงไม่มีโอกาสพิเศษอะไรที่เธอจะได้ใส่มัน อีกทั้งยังกังวลว่ามันอาจจะได้รับความเสียหายหากเอาออกมาเก็บไว้ข้างนอกกล่องด้วย เช่นนั้นแล้วของขวัญอันเลอค่าของอาซจึงถูกเก็บไว้เงียบๆ แบบนั้น

ตัวอับโชคอย่างมิเอลนำเอาน้ำตาลที่ได้รับมาอบคุกกี้และเค้ก เธอทำท่าทีใจดีมีเมตตาแบ่งปันขนมพวกนั้นให้กับอาเรีย และทุกครั้งที่ทานอาหารก็เอาแต่พูดโอ้อวดดีใจที่อาหารกลับมามีรสชาติดังเดิมอีกครั้ง ท่านเคานต์และเคานต์ติสเองต่างก็ดีอกดีใจพูดเข้าขาตามไปด้วย

“ว่าแต่ว่าเจ้านายของท่านเรนเนี่ยเป็นใครกันแน่คะ ถึงขนาดหาน้ำตาลที่เป็นที่ต้องการในตอนนี้ได้มากขนาดนี้เลย”

“นั่นสินะ…ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่อย่างน้อยก็คงไม่ได้อยู่ในบรรดาคนที่ผมรู้จักหรอก”

เห็นทีคงจะเป็นอย่างที่ท่านเคานต์ว่า เพราะถ้าเป็นคนที่ท่านเคานต์รู้จักแล้วล่ะก็ น้ำตาลพวกนี้คงถูกส่งไปให้กับท่านดยุกเฟรดเดอริคก่อนแล้ว ไม่ใช่ท่านเคานต์โรสเซนต์

ตามลำดับความสำคัญของพวกเขาแล้ว ดยุกคือยศที่สูงที่สุด แม้อาเรียจะไม่ได้ออกความเห็นอะไร แต่แน่นอนว่าเธอเองก็จินตนาการถึงตัวตนของอาซร่วมไปด้วย

“ถ้าอย่างนั้น หรือว่า…จะเป็นคนที่อยู่ใกล้ชิดกับองค์รัชทายาทกันละคะ”

ถือเป็นการคาดเดาที่หลักแหลมมาก ถ้าเขามีอำนาจและเส้นสายมากขนาดนี้แล้ว เห็นทีจะไม่ใช่คนทั่วไปแน่ และหากเป็นขุนนางที่ท่านเคานต์ไม่รู้จัก ก็มีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับองค์รัชทายาท

แต่ถึงจะคิดแบบนั้นก็ตาม แน่นอนว่าคนที่มีคนรู้จักอยู่มากมายอย่างท่านเคานต์ไม่มีทางไม่รู้จักคนสนิทขององค์รัชทายาทได้หรอก แต่ความคิดที่ว่าเขาคนนั้นไม่ได้อยู่ในหมู่คนที่ท่านเคานต์สนิทสนมด้วย ก็ดูจะถูกต้องที่สุดแล้ว

ท่านเคานต์เห็นด้วยกับความคิดนั้นและตอบออกมา

“มันก็มีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นอย่างนั้น แต่…ก็ไม่น่าจะใช่หรอก”

เพราะตระกูลโรสเซนต์เป็นตระกูลในกลุ่มขุนนางชั้นสูง จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่คนสนิทขององค์รัชทายาทจะส่งของขวัญให้มิเอลอย่างไม่หยุดหย่อนแบบนี้

“คงอย่างนั้นสินะคะ ดูเหมือนหนูจะคาดเดาไปไกลเสียแล้วค่ะ”

สุดท้ายข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับตัวตนของอาซที่อาเรียคิดไว้ก็ถูกปัดตกไปแบบนั้น ก็จริงอย่างที่ว่า หากการมองใครสักคนให้ทะลุปรุโปร่งมันง่ายขนาดนั้นแล้วละก็ อาเรียที่ได้เจอกับเขามาแล้วตั้งหลายครั้ง ก็คงจะรู้ว่าเขาเป็นใครไปตั้งนานแล้ว

‘หากได้เจอกันครั้งหน้า ฉันจะต้องถามให้ได้ว่าเขาเป็นใครกันแน่’

อาซรู้ว่าเธอเป็นใครมาตั้งนานแล้ว ยิ่งกว่าเขายังส่งคนมาถึงที่บ้านอีกต่างหาก มีเพียงเธอฝ่ายเดียวเท่านั้นที่ไม่รู้ตัวตนของเขาเลย ทั้งที่ได้เจอกันตั้งหลายครั้งแล้วแท้ๆ เธอจะต้องแยกแยะเรื่องตัวตนของเขากับความรู้สึกดีๆ ที่มีให้เขาออกจากกัน เพราะนั้นเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับอาเรียที่ได้ผ่านอดีตมาแล้วครั้งหนึ่ง

หากได้เจอกันคราวหน้า เธอสัญญากับตัวเองเลยว่าจะต้องรู้ถึงตัวตนของเขาให้ได้ ไม่ว่าจะต้องใช้พลังของนาฬิกาทรายหรือต้องวิ่งไล่เขาก็ตาม

แล้วเวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ฤดูร้อนจบลงไป จากนั้นฤดูใบไม้ร่วงก็มาเยือน หากเวลาผ่านไปอีกสักนิดก็จะถึงทีของฤดูหนาว

ระหว่างนั้นสินค้าฟุ่มเฟือยที่ขุนนางระดับล่างปิโนต์นัวร์ได้กักตุนเอาไว้ก็ถูกนำมาจัดจำหน่ายในท้องตลาด ส่วนขุนนางคนอื่นยังต้องรอให้สินค้าผ่านพิธีการศุลกากรก่อน จึงทำให้เกิดการผูกขาดทางการค้า

เป็นเพราะอาเรียเอาน้ำตาลทั้งหมดไปขายให้กับคาเฟ่ฟลาวเวอร์เมาน์เทนอย่างนั้นหรือ พอข้าวของที่หาได้ยากกลับมาหาซื้อได้ตามปกติผู้คนเลยกังวลว่ามันจะขาดตลาดอีกครั้ง เลยแห่กันไปซื้อสินค้ามากักตุนทุกครั้งที่มีการจำหน่ายเกิดขึ้น

เพราะอย่างนั้น ชนชั้นสูงส่วนมากจึงเริ่มกว้านซื้อสินค้าฟุ่มเฟือยต่างๆ รวมไปถึงน้ำตาลมาเก็บไว้ที่คฤหาสน์เป็นจำนวนมาก ซึ่งบางอย่างก็ดูแตกต่างไปจากอดีตนิดหน่อย

อาเรียเดาะลิ้นไปพลางมองดูข้ารับใช้ลำเลียงสินค้าฟุ่มเฟือยอยู่ที่ริมหน้าต่าง

ที่คฤหาสน์ของท่านเคานต์เองก็เริ่มกักตุนเครื่องเทศต่างๆ ไว้เป็นจำนวนมาก ในคลังเสบียงเต็มไปด้วยน้ำตาลหลายกระสอบซึ่งถือว่าเป็นของที่ถูกใช้มากที่สุด รองลงมาก็มีพวกน้ำผึ้งและพริกไทยเป็นต้น

‘จำเป็นต้องกักตุนไว้มากขนาดนั้นเลยเหรอ ถ้าจู่ๆ ของพวกนั้นกลายเป็นสินค้าล้นตลาดขึ้นมาจะทำอย่างไรกันนะ’

เพราะมันไม่เหมือนเหตุการณ์ในอดีตเสียทีเดียว จึงเป็นไปได้ที่จะเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น แน่นอนว่าขุนนางระดับล่างกอบโกยรายได้จำนวนมหาศาลจากการผูกขาดสินค้า แต่ใครจะรู้ บางทีหลังจากที่กอบโกยมาได้จนพอใจแล้วเขาอาจจะคิดวางมือจากมันก็เป็นได้

หากเขาหยุดการผูกขาดสินค้าขึ้นมาในตอนนี้แล้วละก็ ราคาสินค้าฟุ่มเฟือยจะต้องพุ่งขึ้นสูงอย่างรวดเร็วแน่นอน ถึงอย่างนั้นเขาก็คงไม่ได้สนใจเท่าไหร่เพราะถึงอย่างไรเจ้าตัวก็เป็นคนที่ทำให้ตลาดสินค้าเกิดความปั่นป่วน

“เลดี้คะ ดิฉันเอาจดหมายมาให้ค่ะ”

ขณะที่จินตนาการว่าอนาคตจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรอยู่เงียบๆ ก็ได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้น

หลังจากอาเรียบอกให้เข้ามาได้ แอนนี่ก็ปรากฏตัวด้วยใบหน้าสดใสเช่นเคย พร้อมจดหมายในมือจำนวนหนึ่ง

“จดหมายจากท่านบารอนเวอร์บูมค่ะ! เห็นบอกว่าเป็นคนที่เคยพูดถึงคราวที่แล้วน่ะค่ะ และก็มีจดหมายอื่นอยู่ด้วยค่ะ”

ตามที่เขาได้สัญญาเอาไว้ตั้งแต่ฤดูร้อนว่าจะแนะนำนักธุรกิจอายุน้อยที่มีแนวโน้มจะประสบความสำเร็จในอนาคตที่เขารู้จักให้ แม้อาเรียจะยังไม่เชี่ยวชาญเรื่องธุรกิจมากนัก แต่เธอจะนึกถึงสินค้าและธุรกิจที่จะมีขึ้นในอนาคตแล้วค่อยเลือกนักธุรกิจที่จะลงทุนด้วยทีหลัง

เนื่องจากในอดีตเธอไม่ได้สนใจเรื่องธุรกิจเป็นพิเศษ ดังนั้นสิ่งที่เธอพอจะนึกออกได้ในตอนนี้ หลักๆ แล้วก็จะเป็นสินค้านำสมัยหรือสินค้าที่มีกระแสตอบรับที่ดีจากแวดวงชนชั้นสูงเป็นส่วนใหญ่ เพราะอย่างนั้นแล้วแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่การลงทุนของเธอจะเกิดความล้มเหลว

และถึงแม้ความเป็นไปได้เพียงหนึ่งในหมื่นที่จะเกิดข้อผิดพลาดจนธุรกิจบางตัวที่ลงทุนไปขาดทุนขึ้นมาจริงๆ ก็ตาม แต่ยังไงธุรกิจอื่นๆ ก็ยังฟื้นตัวขึ้นมาได้ ไม่มีทางที่จะเกิดความเสียหายใหญ่โตได้หรอก

ยิ่งไปกว่านั้นทันทีที่เริ่มลงทุนในธุรกิจไปไม่กี่อย่าง ทิศทางของธุรกิจก็ดูจะส่อเค้าไปในทางที่ดี นักธุรกิจที่อายุน้อยนั้นมักจะทำอะไรรวดเร็ว เมื่อได้รับการลงทุนก็จะเริ่มทำธุรกิจหรือไม่ก็นำเงินทุนมาขยายกิจการทันที และเริ่มได้รับการยอมรับเร็วกว่าในอดีตเล็กน้อย

พวกเขาที่ไม่สามารถล่วงรู้ถึงอนาคตได้ ต่างสำนึกขอบคุณอาเรียที่ลงทุนในธุรกิจที่ยังไม่มั่นคงของพวกเขา และพวกเขามักจะเขียนจดหมายที่มีเนื้อหาร่ายยาวจนอ่านไม่ไหวมาให้เธอบ้างนานๆ ครั้ง

นอกจากนี้ยังมีบางคนที่เข้าใจผิดคิดไปเองว่างานต่างๆ เริ่มคลี่คลายได้เพราะการลงทุนของอาเรีย ทั้งที่ความจริงแล้ว แม้จะไม่ได้รับการลงทุนจากเธอ ธุรกิจของพวกเขาก็สามารถประสบความสำเร็จได้เพียงแค่ต้องใช้เวลาอีกสักหน่อยเท่านั้น

‘ก็ในอดีตมันเคยเป็นแบบนั้นนี่นา’

มันเป็นสิทธิพิเศษของนางมารร้ายที่ย้อนชะตาได้ละนะ

ในบรรดานักธุรกิจทั้งหมดที่บารอนเวอร์บูมแนะนำมาให้ อาเรียเลือกคนที่จะทำกำไรให้เธอได้มาจำนวนหนึ่งและเขียนจดหมายร่วมลงทุนตอบกลับไป นั่งอยู่เฉยๆ ก็มีทั้งเงินและอำนาจเพิ่มพูนขึ้นมา จะมีอะไรดีไปกว่านี้กันเล่า

โดยเฉพาะการที่นักลงทุนผู้มีนามว่า A ซึ่งเลือกลงทุนด้วยเม็ดเงินมหาศาลผ่านการมองถึงความเป็นไปได้ของธุรกิจ ก็ได้กลายเป็นที่ยกย่อง น่าอิจฉา และได้รับความสนใจจากเหล่านักธุรกิจอายุน้อยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ใครจะรู้หากเวลาผ่านไปอีกหน่อย อาจจะมีข่าวลือทำนองว่าใครก็ตามที่ถูก A เลือกจะกลายเป็นคนที่ประสบความสำเร็จขึ้นมาก็ได้

‘ใครจะรู้…ถ้ามันเป็นแบบนั้นขึ้นมา นั่นอาจจะทำให้ฉันมีอำนาจในระดับที่ทัดเทียมกับเหล่าขุนนางชนชั้นสูงก็เป็นได้’

คนที่มีเงินทุนอยู่มากมายมักจะมีผู้คนมารายล้อม และหากคนคนนั้นเอาเงินทุนที่มีไปช่วยเหลือให้การสนับสนุนกับผู้อื่น ก็จะได้ผู้ภักดีต่อตนเพิ่มขึ้นมา หากความจริงที่ว่าเรื่องทั้งหมดนั่นล้วนเป็นการกระทำของนางมารร้ายถูกเปิดเผยขึ้นมาละก็ ภาพลักษณ์ของนางมารร้ายก็จะกลายเป็นแม่พระที่ได้รับการยกย่องขึ้นมาทันที

หากเป็นเช่นนั้น ผู้ที่มีข่าวลือว่าถูกนางมารร้ายกลั่นแกล้งมาจนถึงตอนนี้ ก็จะกลายเป็นนางมารร้ายเสียเอง นางมารร้ายที่จงใจปล่อยข่าวลือใส่ร้ายป้ายสีให้กับแม่พระยังไงเล่า

นางมารร้ายที่กลายเป็นแม่พระ และแม่พระที่เป็นนางมารร้าย

มันอาจจะกลายเป็นแบบนั้นก็ได้

พอนึกภาพอนาคตที่ทำให้รู้สึกเป็นเกียรติขึ้นมาก็ใจเต้นระรัว เธอออกแรงที่มือขณะเขียนจดหมายจนลายมือดูยุ่งเหยิง แต่นั่นก็ทำให้ลายมือดูหนักแน่นขึ้นด้วย จากนั้นก็ปิดผนึกจดหมายลง

เมื่อนักธุรกิจอายุน้อยเหล่านั้นได้รับจดหมายนี้แล้ว พวกเขาจะต้องซาบซึ้งใจเป็นอย่างมากแน่ๆ

***

[ขอโทษที่ส่งจดหมายถึงเลดี้อาเรียช้าปานนี้ด้วยนะคะ ไม่ได้เจอกันตั้งนานอยากพบเลดี้จังเลยค่ะ ท่านมาร์ควิสเองก็ด้วยนะคะ]

จดหมายจากซาร่าถูกส่งมาในช่วงที่ใกล้จะถึงวันเกิดครบรอบสิบหกปีของอาเรีย

ดูเหมือนซาร่าจะยุ่งอยู่กับการเตรียมงานหมั้นที่จะมีขึ้นในปีหน้าพร้อมกับต้องเรียนรู้วิธีการเป็นมาร์เชอเนสไปด้วย เธอถึงได้พูดเรื่องนัดเจอกันขึ้นมา หลังจากที่ไม่ได้เจอกันมาสองฤดูกาลแล้ว

และอาเรียก็ไม่มีเหตุผลให้ปฏิเสธคำชวนนั้น เธอส่งจดหมายตอบรับกลับไปทันที เธอกำหนดวันนัดหมายอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนเธอจะคิดไว้ล่วงหน้าแล้วถึงได้เลือกนัดพบกันในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้

อาเรียแต่งกายได้อย่างสง่างามที่ไม่ดูมากเกินไป เธอมุ่งหน้าไปยังคฤหาสน์ของท่านมาร์ควิส เธอสงสัยจนนอนไม่หลับ อยากรู้นักว่าท่านมาร์ควิสที่คลั่งไคล้ในตัวซาร่ามากขนาดนั้นจะต้อนรับเธออย่างไร

“ถึงแล้วครับเลดี้ ลงมาเถอะครับ”

เมื่อได้ยินเสียงเรียกที่ดังมาจากนอกรถม้า อาเรียก็จัดเสื้อผ้าให้เข้าที่ เธอถามเจสซี่ที่นั่งอยู่ตรงข้ามว่าตัวเองดูเรียบร้อยแล้วหรือยังหลายต่อหลายครั้ง จากนั้นเมื่อรู้สึกค่อยมั่นใจขึ้น อาเรียก็พยักหน้าออกมา

ประตูรถม้าถูกเปิดออกช้าๆ ได้เวลาตรวจสอบผลลัพธ์แห่งความพยายามที่อุตส่าห์ทุ่มเทมาตั้งนานเสียที

“ยินดีต้อนรับสู่คฤหาสน์มาร์ควิสของผมครับ เลดี้อาเรีย โรสเซนต์”

อาเรียที่กำลังก้าวเท้าตั้งใจจะออกจากรถม้า ก็ได้หยุดการเคลื่อนไหวไว้อย่างนั้น

เพราะอาเรียคิดว่าตามปกติแล้วคนที่จะออกมาต้อนรับเธอคงจะเป็นคนรับใช้ประจำคฤหาสน์หรือไม่ก็ซาร่า แต่คนที่ออกมาต้อนรับเธอกลับไม่ใช่คนที่เธอคาดไว้เสียอย่างนั้น

“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”

“อ่อ ไม่ค่ะ ดิฉันไม่เป็นอะไร”

สีหน้าของท่านมาร์ควิสแสดงความเป็นห่วงออกมา เขายื่นมือให้อาเรียเป็นนัยน์ว่าให้เธอจับมือของเขาแล้วค่อยๆ ลงมา

เมื่อเขาทำอย่างนั้นแล้ว ผู้คุ้มกันของอาเรียจึงได้ขยับตัวถอยออกมาหนึ่งก้าว อาเรียยื่นมือที่สั่นเล็กน้อยของเธอออกไปจับมือท่านมาร์ควิส

ต่างกับข่าวลือที่บอกว่าเขาเป็นคนเย็นชาไม่เป็นมิตรอย่างลิบลับ เขาสุภาพและใจดีมากๆ จนทำให้อาเรียรู้สึกสับสนไปเลย และคนที่ออกมาต้อนรับเธอต่อจากท่านมาร์ควิสก็คือซาร่าผู้เป็นดั่งหลักประกันที่จะช่วยคุ้มครองอนาคตของเธอนั่นเอง

“เลดี้อาเรีย ขอบคุณที่อุตส่าห์เดินทางมานะคะ”

“เลดี้ซาร่า…! “

ที่ผ่านมาซาร่าคงจะยุ่งเป็นอย่างมากเธอดูผอมลงนิดหน่อย ใบหน้าของเธอเรียวขึ้น ดูสมกับเป็นผู้ใหญ่มากกว่าแต่ก่อน

ซาร่าและท่านมาร์ควิสเอาใจใส่ต้อนรับอาเรียอย่างเต็มที่ ดูได้จากการที่พวกเขาออกมาต้อนรับอาเรียซึ่งสละเวลามาหาด้วยตัวพวกเขาเอง ไหนจะยังบรรดาคนรับใช้ที่ให้การต้อนรับและปฏิบัติต่อเธออย่างสุภาพนอบน้อมอีกด้วย

อีกทั้งยังเตรียมอาหารกลางวันไว้อย่างละลานตา ซึ่งล้วนแต่เป็นอาหารที่ทำด้วยวัตถุดิบอันเลอค่าหาได้ยากทั้งสิ้น

ก่อนที่อาหารจานหลักจะถูกเสิร์ฟ มาร์ควิสวินเซนต์ได้ถามกับอาเรียว่า

“ไม่แน่ใจว่าอาหารจะถูกปากเลดี้หรือเปล่านะครับ”

“อาหารอร่อยถูกปากมากๆ เลยค่ะ”

“ได้ยินอย่างนั้นผมก็โล่งใจแล้วครับ”

“ขอบคุณมากนะคะ ที่อุตส่าห์เตรียมอาหารดีๆ แบบนี้ให้ดิฉัน”

อาหารทุกอย่างรสชาติถูกปากอาเรียเป็นอย่างมาก ราวกับว่าพวกเขาปรุงมันให้เข้ากับนิสัยการกินของเธออย่างไรอย่างนั้น ซาร่ายิ้มแย้มอย่างชื่นใจเมื่อได้เห็นอาเรียและมาร์ควิสวินเซนต์พูดคุยกันไปมา

สำหรับเธอแล้วการได้เห็นคนที่ตนรักมากที่สุดและเด็กสาวคนสำคัญของตนสามารถพูดคุยกันได้อย่างสนิทสนมเป็นกันเอง ก็ถือเป็นความสุขที่เธอไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว

“อย่างที่ดิฉันเคยเล่าให้ฟังคราวที่แล้วว่าผ้าเช็ดหน้าที่ท่านมาร์ควิสเก็บเอาไว้นั้น เป็นของที่ทำขึ้นมาให้เข้ากับผ้าเช็ดหน้าของเลดี้อาเรีย เพื่อเป็นของขวัญที่ระลึกในวันเกิดเลดี้ค่ะ”

“อ๋อ หมายถึงผ้าเช็ดหน้าที่ช่วยเชื่อมโยงเราสองคนไว้ด้วยกันใช่ไหมครับ”

มาร์ควิสวินเซนต์ตอบซาร่าด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความรักใคร่ ดูเหมือนเขาจะหลงรักซาร่าอย่างแท้จริง

เช่นนั้นแล้วสายตาของเขาที่หันกลับมามองอาเรียก็มีความอบอุ่นแฝงอยู่ด้วยเช่นกัน เขาไม่ได้สนใจข่าวซุบซิบนินทาเกี่ยวกับอาเรียเลยแม้แต่น้อย

“ผมขอขอบคุณด้วยใจจริงนะครับ”

มาร์ควิสวินเซนต์พูดออกมาพร้อมกับรอยยิ้มอันอ่อนโยน ทำเอาอาเรียที่นั่งหันหน้าเข้ากับเขาตัวแข็งทื่อขึ้นมา

ฉันเคยได้รับการต้อนรับที่อบอุ่นแบบนี้จากคนที่เคยเจอกันครั้งแรกบ้างไหมนะ สำหรับอาเรียที่ใช้ชีวิตอยู่ในความหวั่นวิตกไม่ต่างจากการเดินบนแผ่นน้ำแข็งอันเบาบางนั้น สายตาที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยนและดูอบอุ่นเช่นนี้ช่างเป็นอะไรที่เธอไม่คุ้นเคยเสียเลย

มันเป็นการกระทำที่เธอเคยคาดหวังว่าอยากจะได้รับจากฝ่ายตรงข้ามมาโดยตลอด แต่พอมีคนปฏิบัติต่อเธอแบบนั้นขึ้นมาจริง ๆ แทนที่จะดีใจเธอกลับรู้สึกอึดอัดขึ้นมาเสียอย่างนั้น ทั้งที่เคยบอกกับตัวเองเอาไว้ว่าเมื่อถึงเวลานั้นขึ้นมาเมื่อไหร่ จะยิ้มออกมาอย่างเต็มที่แท้ๆ เพราะเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับอาเรียมาก่อน เลยทำให้เธอสับสน

“อาเรีย…! “

อาเรียที่มักจะยิ้มแย้มสดใสอยู่เสมอ ในตอนนี้ใบหน้าของเธอกลับดูความหม่นหมองอย่างเห็นได้ชัด ซาร่าตกใจและถามขึ้นมาด้วยความเป็นห่วงว่าเกิดอะไรขึ้น

มาร์ควิสเองก็ตกใจคิดว่าตนเองพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า เขามองหน้าอาเรียสลับกับซาร่าด้วยสีหน้าเป็นห่วง

อาเรียเงยหน้าขึ้นมา เธอสบตากับดวงตาทั้งสองคู่ที่มองมาที่เธอด้วยความห่วงใย

พวกเขาเป็นแค่บันไดที่เธอใช้ก้าวไปสู่ความสำเร็จเท่านั้น ทั้งที่คิดไว้แบบนั้นแท้ๆ แต่พอมาอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องเผชิญกับความรู้สึกแปลกใหม่ที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน มันก็ทำได้ยากกว่าที่คิด

อาเรียปรับสีหน้าอย่างรวดเร็ว เธอยกมุมปากขึ้นและทำหน้าตายิ้มแย้ม รอยยิ้มที่ทำให้ผู้คนหลงใหลได้ตลอดนั้น วันนี้กลับมีความเคอะเขินแฝงอยู่

“ดิฉันหวังว่าคุณทั้งสองจะมีความสุขนะคะ”

แม้จะดูเคอะเขินอยู่บ้าง แต่ถึงอย่างนั้นรอยยิ้มอันใสซื่อบริสุทธิ์นั่น ก็เป็นความจริงใจที่อาเรียไม่เคยได้แสดงมันออกมาเลยจนถึงตอนนี้

…………………………………………………..