บทที่ 79 Ink Stone_Romance
ราวกับว่ามาร์ควิสวินเซนต์สามารถถ่ายทอดความคิดกับความรู้สึกร่วมกับซาร่าได้ เขาถึงได้อ่อนโยนและเมตตาอาเรียเหมือนกับที่ซาร่าทำ
ไม่ว่าเธอจะสนิทกับซาร่ามากแค่ไหนก็ตาม แต่ความจริงแล้วเธอก็ยังเป็นได้แค่จุดด่างพร้อยของตระกูลโรสเซนต์
พวกเขาพยายามอย่างเต็มที่เพื่อไม่ให้อาเรียได้รับความไม่สะดวกสบายใดๆ ในคฤหาสน์ของมาร์ควิส เพราะเหตุนั้นอาเรียจึงสัมผัสได้ถึงความรู้สึกหลายๆ อย่างที่เธอไม่คาดคิดว่าจะได้รับ
อย่างเช่นความรู้สึกผิดโดยไม่จำเป็น
แต่ทว่าในเวลาเพียงหนึ่งอาทิตย์ความรู้สึกเหล่านั้นก็ถูกลืมเลือนหายไป เพราะเมื่อเทียบกับความเจ็บปวดปนความโชคร้ายที่อาเรียได้รับในอดีตและหนทางที่เธอต้องก้าวเดินเพื่อมีชีวิตรอดในวันข้างหน้าที่จะมาถึงแล้ว ความรู้สึกเล็กๆ น้อยๆ แบบนั้นมันเบาบางยิ่งกว่าฝุ่นที่ลอยอยู่ในอากาศเสียอีก ดังนั้นเธอเลยสลัดมันทิ้งไป
‘ถึงยังไงเรื่องเล็กน้อยแบบนั้นก็ไม่มีประโยชน์ต่อชีวิตของฉันอยู่แล้ว’
อาเรียจัดการความรู้สึกของตนให้เข้าที่และใช้เวลาไปกับงานวันเกิด เด็กสาวอายุสิบห้าได้กลายเป็นเด็กสาวอายุสิบหกไปเสียแล้ว เป็นการครบรอบวันเกิดอายุสิบหกปีครั้งที่สองซึ่งต่างไปจากอดีต
ในวันเกิดของอาเรีย ซาร่ายุ่งมากจึงมาให้เห็นหน้าได้เพียงครู่เดียวแล้วก็กลับไป นอกจากนั้นแล้วอาเรียก็ใช้เวลากับเหล่าเลดี้ที่ไม่ได้พิเศษอะไร อาเรียจำไม่ได้แม้แต่ชื่อของพวกเธอด้วยซ้ำ และเธอยังส่งจดหมายไปให้ออสการ์อีกด้วย เผื่อว่าบางทีเขาอาจจะมาร่วมงานวันเกิดของเธอได้ แต่มันก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าเขาจะไม่มา อีกทั้งยังเย็นชาไม่แม้แต่จะส่งจดหมายตอบกลับมาถึงเธอเลย
นอกจากนั้นยังมีของขวัญอันหรูหราส่งมาให้เธอโดยที่ไม่ระบุชื่อผู้ส่งเอาไว้ ในของขวัญที่ส่งมานั้น มีดอกทิวลิปที่ไม่เหี่ยวเฉาอย่างง่ายๆ รวมอยู่ด้วย ทำให้เธอสามารถเดาได้ไม่ยากว่าใครเป็นคนส่งมันมา
วันเกิดปีนี้ต่างจากปีที่แล้วเป็นอย่างมาก มันเรียบง่ายไม่มีแม้แต่วงดนตรี และก็ไม่ต้องใส่ใจด้วยว่ามิเอลจะเดินถือช่อดอกไม้เข้ามาทำลายบรรยากาศเหมือนที่เคยทำเมื่อปีที่แล้ว
ซึ่งมันก็ควรจะเป็นอย่างนั้น ในเมื่อว่าที่พระชายาขององค์รัชทายาทประกาศว่าจะเข้าร่วมงานวันเกิดของมิเอลที่จะมีขึ้นหลังจากวันเกิดของอาเรียในอีกไม่ช้า นั่นจึงทำให้ความสำคัญของวันเกิดอาเรียลดน้อยลง
แน่นอนว่าในตอนนี้อาเรียซื้อใจของคนรับใช้ส่วนใหญ่ในบ้านได้แล้ว ถึงจะดูเรียบง่ายแต่ก็เป็นงานเลี้ยงวันเกิดที่มาจากความทุ่มเทเอาใจใส่ แม้ว่าจะเป็นงานเลี้ยงขนาดเล็กที่มีแขกผู้ร่วมงานไม่มากถึงขนาดที่ผู้คนจะเอาไปซุบซิบปากต่อปากได้ก็ตาม
ถึงอย่างนั้นอาเรียก็ไม่ได้ใส่ใจเรื่องนั้นเท่าไหร่ เพราะในตอนนี้มันจะเป็นการดีกว่าหากว่าเธอจะอยู่เงียบๆ ทำตัวไม่โดดเด่น ต่อหน้าทุกคนเธอเป็นเพียงนางมารร้ายที่ไม่เปิดเผยตัวตน ส่วนเบื้องหลังเธอคือผู้ที่ได้รับการหนุนนำจากนักธุรกิจและขุนนางอายุน้อยอย่างกระตือรือร้น
เป็นดั่งสัตว์ที่ซ่อนเขี้ยวอันแหลมคมหลบอยู่ในโพรงหญ้า
“เลดี้คะ จะลงไปจริงๆ เหรอคะ”
แอนนี่ถามด้วยหน้าตาเป็นกังวล เธอถามอาเรียให้แน่ใจว่าจะเข้าร่วมงานเลี้ยงวันเกิดของมิเอลที่กำลังจะเริ่มขึ้นจริงๆ หรือเปล่า
อาเรียพยักหน้า
“ได้บัตรเชิญอย่างเป็นทางการมาทั้งที ก็ต้องเข้าร่วมสิถึงจะเหมาะสม”
“ถึงอย่างนั้น…ดิฉันก็ยังคิดว่าไม่ไปจะดีกว่านะคะเลดี้”
“ไม่หรอก จะทำแบบนั้นได้อย่างไร”
ถึงขนาดให้บัตรเชิญด้วยตัวเองขนาดนี้แล้ว ยิ่งรู้สึกว่ามันจะต้องเกิดเรื่องไม่ดีอะไรสักอย่างขึ้นมาแน่ๆ เพราะอย่างนั้นแล้วอาเรียจึงเลี่ยงงานนี้ไม่ได้
อย่างน้อยหากมีอะไรเกิดขึ้นเธอก็จะได้รับรู้ และเตรียมรับมือกับมันได้
และบางที…ออสการ์ก็อาจจะมาร่วมงานด้วยก็เป็นได้ เพราะปีที่แล้วเขาก็มางานเลี้ยงวันเกิดของมิเอล อีกทั้งว่าที่พระชายาขององค์รัชทายาทก็ประกาศว่าจะมาร่วมงานด้วย จึงเป็นไปได้สูงที่เขาจะมา
อยากพบหน้าและพูดคุยกับเขาอีกครั้ง อยากจะถามเขาว่าเหตุใดถึงตัดความสัมพันธ์กันได้อย่างง่ายดายขนาดนั้น
เพราะเหตุนั้นเพื่อไม่ให้ดูด้อยกว่ามิเอล อาเรียจึงตั้งใจแต่งหน้าเต็มที่ด้วยเครื่องสำอางที่เธอไม่ได้หยิบมาใช้เลยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา
หลังจากแต่งแต้มสีสันลงบนริมฝีปากและแก้มให้ดูมีชีวิตชีวาแล้วก็ทำให้นึกถึงตัวเองในอดีตขึ้นมา ตัวเธอที่พยายามดึงดูดความสนใจจากผู้คนรอบข้างด้วยการแต่งกายอย่างหรูหราในทุกๆ วัน
แต่สุดท้ายในตอนจบเธอก็เป็นได้แค่นางมารร้ายผู้มีชะตากรรมอันน่าเศร้า แม้แต่ใบหน้าอันงดงามซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เธอเหนือกว่ามิเอลก็ยังกลายเป็นภัยไปในที่สุด มีแต่คำสาปแช่งสาวงามกำพืดต่ำต้อยมากมายนับไม่ถ้วน
อย่างเช่น…
“ให้ตายเถอะ อย่าบอกนะคะว่าลูกสาวของโสเภณีแบบนั้นก็เข้าร่วมงานเลี้ยงนี้ด้วย”
ใช่แล้ว ลูกสาวของโสเภณี
เธอถูกเรียกด้วยชื่อนั้นมากกว่าชื่อจริงของเธอเสียอีก
“จะว่าไปแล้ว ปีที่แล้วหล่อนก็มางานเลี้ยงวันเกิดด้วยนะคะ”
“นอกจากจะโง่แล้ว ยังไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงอีกต่างหาก”
“เลดี้มิเอลช่างน่าสงสารเสียจริง”
“มันก็มีอยู่ใช่ไหมละคะ คนที่ไม่สมควรเกิดมาน่ะ”
ท่าทางของผู้ที่มารวมตัวกันที่ห้องโถงงานเลี้ยงต่างพากันซุบซิบสาปแช่งอาเรียเพื่อมิเอล ไม่สิ ดูยังไงพวกเธอก็ตั้งใจก่นด่าอาเรียอยู่แล้ว ไม่เกี่ยวกับว่าทำเพื่อมิเอลแต่อย่างใด
แอนนี่ที่ยืนอยู่ข้างหลังกระซิบพูดกับอาเรียเบาๆ
“ไม่น่าเชื่อเลย…ปากของคนพวกนี้ไม่ต่างจากถังขยะเลยนะคะ เลดี้อย่าไปใส่ใจเลยค่ะ”
“ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันไม่ได้ใส่ใจแม้แต่นิดเดียว”
อาเรียยิ้มเยาะเบาๆ และจิบเครื่องดื่มไปอึกหนึ่ง
แชมเปญที่ไม่มีแอลกอฮอล์ผสม ไหลผ่านเพดานปากและลำคอลงไป สายตาของทุกคนในห้องโถงต่างมองมาที่เธอตั้งแต่หัวจรดเท้า ในสายตาพวกนั้นมีทั้งความรู้สึกที่ซับซ้อนและละเอียดอ่อนเกินจะบรรยายปะปนอยู่
ไม่ว่าใครจะพูดอย่างไรความสง่างามก็เป็นที่ดึงดูดสายตาและความสนใจของผู้คนเสมอ อาเรียได้แต่นั่งเชิดคางไม่ใส่ใจต่อคำพูดที่กล่าวหาตนอย่างเสียๆ หายๆ เช่นเดียวกับที่เคยทำในอดีต
เพียงแต่เธอเลือกที่จะไม่ตะคอกหรือชักสีหน้าแบบที่เคยทำในอดีต มันไม่มีประโยชน์ที่จะต้องแก้ต่างอะไรออกไป เมื่อตัวเอกของงานยังไม่ปรากฏตัว อาเรียที่เป็นจุดสนใจของสายตาทุกคู่จึงกลายเป็นตัวเอกแทนที่มิเอล
และเธอเองก็คิดแบบนั้น
จนถึงตอนที่มิเอลจะปรากฏตัวพร้อมกับออสการ์นั่นเอง
วินาทีที่ได้เห็นเจ้าหล่อนยิ้มสดใสแบบที่ไม่เคยได้เห็นมาก่อน ทำเอาอาเรียรู้สึกเหมือนเลือดเหือดแห้งไปทั้งตัว รอยยิ้มที่งดงามต่างจากวันเกิดปีที่แล้ว ถึงจะคิดว่าหล่อนดีใจที่ออสการ์มาหาก็ตาม แต่รอยยิ้มที่ดูมีความสุขนั่นก็ดูแปลกๆ อยู่ดี
ราวกับว่า…เธอได้ครอบครองทุกอย่างบนโลกใบนี้อย่างไรอย่างนั้น
ช่างโชคร้ายที่ความกังวลของอาเรียเป็นจริงขึ้นมา เมื่อออสการ์และมิเอลมาถึงกลางห้องโถง ท่านเคานต์และเคานต์ติสก็ย้ายที่นั่งไปยังบริเวณที่อยู่ใกล้ๆ ส่วนกลางของห้องโถง นอกจากนั้นก็ยังมีว่าที่พระชายาไอซิสที่ไม่พบมานานอยู่ข้างๆ อีกด้วย
และบริเวณที่ห่างออกมานิดหน่อย มีท่านผู้หญิงที่อาเรียไม่เคยพบเห็นมาก่อน
‘ใครกันนะ…’
และสิ่งที่คลายข้อสงสัยของอาเรียก็คือเลดี้คนหนึ่งที่เพิ่งหัวเราะเยาะเธอเมื่อกี้
เจ้าหล่อนทำหน้าตกใจและเอ่ยตัวตนของท่านผู้หญิงคนนั้นขึ้นมา
“ตายจริง นี่ดัชเชสนี่นา เหตุใดถึงมาที่นี่กันคะ”
ดูเหมือนท่านผู้หญิงที่โบกพัดอันหรูหราอยู่นั่นจะเป็นดัชเชสแห่งตระกูลเฟรดเดอริก ซึ่งถือเป็นคนใหญ่คนโตเกินกว่าจะมาร่วมงานวันเกิดของมิเอลที่เป็นแค่บุตรสาวของท่านเคานต์เท่านั้น
เพราะเหตุนั้นความกังวลของอาเรียจึงเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ นอกจากบุคคลที่เป็นตัวแทนของวงศ์ตระกูลจะมารวมตัวกันแล้ว ออสการ์กับมิเอลยังยืนคู่กันอยู่กลางห้องโถงจัดงานอีกต่างหาก ไม่มีทางที่ทุกอย่างจะเป็นแบบนั้นโดยไม่มีเหตุผลแน่
ทันใดนั้นท่านไอซิสที่เป็นตัวแทนของทุกคนก็พูดออกมา
“อาจจะดูเร็วไปหน่อย…แต่ดิฉันมีข่าวที่อยากจะแจ้งให้ทุกท่าน ณ ที่นี้ได้ทราบค่ะ”
คำพูดนั้นทำให้ใบหน้าของอาเรียเกร็งขึ้นมา
ไม่น่า คงไม่ใช่อย่างที่ฉันคิดใช่ไหม อาเรียส่งสายตาไปหาแม่ของเธออย่างหมดหวัง ซึ่งเป็นคนเดียวในที่นี้ที่เธอคิดว่าอยู่ฝ่ายเธอ
ไม่รู้ว่าจงใจหรือไม่แต่เธอไม่หันมาสบตากับอาเรีย ใบหน้าที่ยิ้มอย่างงดงามนั่นเอาแต่อวยพรให้กับอนาคตที่โรยไปโดยกลีบกุหลาบของมิเอล ราวกับไม่ได้สนใจสายตาที่ดูสิ้นหวังของอาเรียแม้แต่น้อย
ท่านไอซิสพูดต่อไป
“แม้จะรู้สึกว่ามันเร็วไปหน่อย แต่ทั้งคู่ก็ชอบพอกันมาก ดิฉันก็คงทำอะไรไม่ได้ค่ะ”
สิ่งที่ท่านไอซิสพูด ทำเอามิเอลยิ้มออกมาอย่างมีความสุข ในขณะที่อาเรียรู้สึกเหมือนใจตกไปที่ตาตุ่ม
ทำไมกัน อาเรียรู้สึกว่าถึงแม้เธอจะไม่ฟังท่านไอซิสพูดให้จบ ก็สามารถเดาทุกอย่างได้
สายตาของอาเรียหันไปทางออสการ์ที่ยืนอยู่ข้างมิเอลโดยไม่รู้ตัว ออสการ์ไม่แสดงสีหน้าอะไรเป็นพิเศษ เขาจดจ่อสายตาไปที่พี่สาวของตัวเองเท่านั้น
‘…เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ สินะ’
ทั้งที่มั่นใจว่าเขายังมีเยื่อใยหลงเหลืออยู่ ทั้งที่คิดว่าการที่เขาเลิกติดต่อเธอไปดื้อๆ จะต้องมีเหตุผลอะไรอยู่แน่ๆ ทั้งที่เธอคิดว่าทั้งหมดเป็นเพราะท่านไอซิส
‘แต่ว่า…หากสิ่งที่เธอคิดไม่ใช่ความจริงแล้ว คงเป็นออสการ์เองที่ต้องการแบบนั้น’
ไม่อย่างนั้นเขาก็คงไม่เห็นด้วยและทำตามคำสั่งท่านไอซิสง่ายๆ หรอก
เห็นทีในเกมนี้คงต้องปล่อยหมากที่ชื่อว่าออสการ์ไปเสียแล้ว ไม่มีประโยชน์ที่จะรั้งเขาไว้ ในเมื่อเขาไม่เคยมองมาที่เธอเลยไม่ว่าจะอดีตหรือปัจจุบันก็ตาม แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็เป็นหมากที่เหมาะจะสร้างบาดแผลให้กับมิเอลมากที่สุด อาเรียเอาแต่มองหน้าออสการ์ด้วยความเสียดาย
“เมื่อเลดี้มิเอลโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ทางเราจะจัดพิธีหมั้นขึ้นในทันที ดังนั้นทางเราอยากจะมอบแหวนหมั้นประจำตระกูลที่ถูกถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นให้แก่เลดี้มิเอลค่ะ”
ออสการ์ขยับตัวเมื่อเห็นท่านไอซิสทำมือเป็นสัญญาณ
เขาหยิบแหวนวงเล็กๆ ออกมา แหวนวงนั้นมีเพชรรูปทรงดอกกุหลาบสลักอยู่ มันเป็นแหวนที่ถูกส่งต่อมาเป็นทอดๆ และมีเพียงดัชเชสแห่งตระกูลเฟรดเดอริกเท่านั้นที่จะได้สวมมัน
มิเอลยื่นมือออกไปพร้อมใบหน้าที่แดงขึ้นด้วยความเขินอาย ถึงเวลาที่ว่าที่ดัชเชสในอนาคตจะรับแหวนหมั้นแล้ว
อาเรียไม่สามารถทนมองภาพนั้นได้ เธอลุกออกจากที่นั่ง และไม่มีผู้ใดให้ความสนใจกับการจากไปของนางมารร้ายผู้ชั่วช้าเลย
ยกเว้นคนคนหนึ่ง
สายตาของออสการ์มองตามหลังของอาเรียที่ขึ้นบันไดไป เธออยู่ในสายตาของเขามาโดยตลอด ตั้งแต่ตอนที่เขามาถึง
และมิเอลที่รับรู้ถึงสถานการณ์นี้ ก็พูดดึงความสนใจของออสการ์ที่กำลังหยุดนิ่งอยู่
“ช่างเป็นแหวนที่สวยจังเลยค่ะ แม้แต่ในฝันดิฉันก็ยังไม่คิดเลยว่าจะมีโอกาสได้สวมแหวนหมั้นแบบนี้”
จากนั้นออสการ์ที่หยุดนิ่งไปก็ขยับตัวอีกครั้ง และสวมแหวนหมั้นเข้ากับนิ้วของมิเอล
เพราะเขาไม่มีทางเปลี่ยนอนาคตที่ถูกกำหนดเอาไว้ได้
***
“เลดี้อาเรียคะ! “
อาเรียไม่สนใจแอนนี่ที่เรียกชื่อเธออยู่ข้างหลัง เธอขึ้นไปยังสวนที่อยู่บนชั้นสอง
สวนที่เคานต์ติสสร้างไว้เพื่อใช้เป็นงานอดิเรกอันสูงส่ง และเป็นที่ที่ความสัมพันธ์ของออสการ์และอาเรียได้เริ่มขึ้น
‘ทำไมฉันถึงมาที่นี่กันนะ’
เธอคาดหวังอะไรไว้ถึงได้มาที่นี่กัน ทั้งที่มันถึงเวลาจะต้องปล่อยออสการ์ไปอย่างสมบูรณ์แล้ว จากนี้ไปเขาจะไม่กลับมาหาอาเรียอีกแล้ว ถึงขั้นรีบประกาศงานหมั้นหมายออกมาเร็วขนาดนี้
ถ้าหากเขามีท่าทีหวั่นไหวอยู่บ้างอาเรียก็คงยินดีจะสานสัมพันธ์ลับๆ กับเขา แต่ออสการ์ดูไม่สนใจเธอเลยแม้แต่น้อย
แอนนี่วิ่งตามอาเรียเข้ามาในสวนอย่างเหน็ดเหนื่อย เธอพูดพลางหอบหายใจไปด้วย
“เลดี้…ไม่กลับห้องเหรอคะ”
เพราะแอนนี่เป็นหนึ่งในคนจำนวนน้อยที่รู้ว่าอาเรียและออสการ์ส่งจดหมายถึงกันและกัน หางเสียงของเธอสั่นด้วยความเป็นห่วง
แต่แทนที่จะกลับขึ้นห้อง อาเรียกลับนั่งลงบนเก้าที่ถูกจัดเตรียมไว้ในสวน
“ขอโทษนะแอนนี่…เธอช่วยจัดชามาให้หน่อยได้ไหม”
“ได้สิคะ เลดี้”
แม้นั่นจะไม่ใช่หน้าที่ที่เธอต้องทำอีกต่อไปแล้วก็ตาม แต่แอนนี่ก็ออกจากสวนไปเตรียมน้ำชาโดยไม่บ่นอะไรสักคำ
เมื่อได้อยู่คนเดียวแล้ว เธอก็ซุกหน้าลงบนฝ่ามือตัวเองเพื่อปิดบังใบหน้าที่บิดเบี้ยวนั่นไว้ เธอคิดว่าใบหน้าที่ตั้งใจแต่งมาอย่างสวยงามเพื่อให้ดูดีในสายตาออสการ์อาจจะออกมาดูน่าเกลียดมากไปก็ได้
ตอนนี้มันถึงเวลาที่ต้องปล่อยเขาไปจริงๆ แล้ว ไม่สิ บางทีเธอควรจะปล่อยเขาไปตั้งนานแล้วด้วยซ้ำ ตั้งแต่ตอนที่เขาบอกให้เลิกติดต่อกันคราวนั้น เพราะเธอมัวแต่มีเยื่อใยไร้ประโยชน์ ถึงต้องมาดิ้นรนกับความเจ็บปวดแบบนี้อีกครั้ง
‘ยังไงก็ยังมีวิธีอื่นอีกมากมาย เพียงแค่เสียออสการ์ไปไม่เป็นไรหรอกน่า’
ในตอนนี้ถึงไม่มีออสการ์แล้วเธอก็ยังมีหมากตัวอื่นอยู่อีกมาก แน่นอนว่าเขาเป็นหมากที่ดีที่สุดในการทำให้มิเอลเจ็บปวดทุกข์ทรมานอย่างน่าสมเพช แต่การวิ่งไล่ตามสิ่งที่ไม่สามารถนำมาเป็นของตนเองได้ ก็ไม่ต่างจากการทำอะไรโง่ๆ
อาเรียฉิบชาที่แอนนี่จัดมาให้และจัดการกับความรู้สึกของตัวเองอยู่สักพัก ตลอดเวลาที่นั่งอยู่ในสวนกับแอนนี่ ไม่มีใครตามหาเธอเลยสักคน
อาเรียมองไปทางหน้าต่างที่มีแสงสีส้มยามอัสดงเล็ดลอดเข้ามา เธอลุกขึ้นจากที่นั่ง แม้จะดึกแล้วแต่ดูเหมือนจะมีคนที่ยังไม่กลับหลายคนทีเดียว เธอถึงได้ยินเสียงเอะอะดังมาจากบันไดชั้นหนึ่ง
เธอหยุดมองดูอยู่สักพักก่อนจะก้าวเท้าขึ้นไปยังห้องของเธอที่อยู่ชั้นสาม แม้ก้าวเดินแต่ละก้าวจะรู้สึกหนักเหมือนหิน แต่เธอก็ใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีสลัดเยื่อใยนั้นทิ้งไป
และเมื่อก้าวพ้นบันไดขั้นสุดท้ายขึ้นมา และเดินผ่านทางเดินเพื่อไปที่ห้อง เธอก็ได้เห็นว่ามีอะไรบางอย่างตกอยู่หน้าห้อง
‘…อะไรน่ะ’
เมื่อเข้าไปดูใกล้ๆ ก็พบว่ามันคือกล่องเล็กๆ กล่องหนึ่ง ทั้งรูปทรงของกล่องรวมถึงการห่อดูยังไงมันก็คือกล่องของขวัญ
ทั้งที่วันนี้เป็นวันเกิดของมิเอล แต่ทำไมถึงมีของขวัญอยู่หน้าห้องของเธอกันเล่า
อาเรียแกะห่อของขวัญนั่น อย่างไรเสียเมื่อมันอยู่หน้าห้องของเธอ ก็เท่ากับว่ามันเป็นของเธอนั่นแหละ
‘นี่มัน…’
เมื่อเห็นของข้างในแล้ว อาเรียก็เบิกตากว้าง
เข็มกลัดรูปดอกกุหลาบ
มันทำมาจากเพชรสีแดง โดยที่ตัวเรือนถูกดีไซน์ออกมาคล้ายๆ กับเข็มกลัดที่เธอเคยให้ออสการ์เป็นของขวัญ
เพราะสีและรูปทรงของตัวเพชรแตกต่างกัน หากวางแยกกันก็อาจจะดูไม่ออก แต่ถ้านำมาวางข้างๆ กันแล้วละก็มันคือเข็มกลัดที่ถูกทำมาให้เข้าคู่กันอย่างแน่นอน
ใครส่งมันมาให้เธอกันนะ แต่ทว่าคำตอบก็ชัดเจนอยู่แล้ว
ออสการ์ยังไงละ
………………………………………………