แต่เพราะอะไรกันเล่า
เป็นเขาเองไม่ใช่หรือที่ไม่ยอมสบตากับเธอเลยสักครั้ง และเรื่องเข็มกลัดเองก็ไม่มีใครรู้อะไรเกี่ยวกับมันเป็นพิเศษ ดังนั้นไม่มีทางที่คนส่งจะเป็นใครอื่นได้แน่ แต่ทำไมเขาต้องให้เข็มกลัดแบบนี้กับเธอด้วยละ
อาเรียครุ่นคิดพร้อมล้มตัวลงบนเตียง เข็มกลัดในมือสะท้อนแสงอาทิตย์อัสดงเป็นประกาย แม้เธอจะไม่เข้าใจในจุดประสงค์ของเขา แต่อย่างหนึ่งที่เธอมั่นใจคือเขายังมีเยื่อใยกับเธออยู่
ไม่อย่างนั้นแล้วคงไม่ส่งเข็มกลัดที่ถูกทำขึ้นมาอย่างประณีตเอาใจใส่แบบนี้มาให้เธอหรอก
‘นั่นสิ อยู่ๆ ก็ขอตัดความสัมพันธ์ลงดื้อๆ แบบนั้น มันเป็นไปไม่ได้หรอก’
ดูก็รู้ว่าต้องมีสาเหตุอะไรสักอย่างแน่ๆ เสียงหัวเราะเบาๆ ดังไปทั่วทั้งห้อง แม้การหมั้นหมายของออสการ์และมิเอลจะถูกประกาศออกมาแล้ว แต่ตอนนี้อาเรียกลับรู้สึกดีราวกับกำลังบินอยู่บนท้องฟ้า
แต่ดีใจได้ไม่นาน ความรู้สึกร้อนรุ่มในจิตใจก็กลับมาอีกครั้ง เหตุใดเขาถึงวางของขวัญทิ้งไว้แล้วจากไปกันนะ ไม่ยอมพบหน้า จดหมายสักฉบับก็ไม่มี
ทางที่ดีเขาควรจะส่งจดหมายตอบกลับมาแทนที่จะวางของขวัญทิ้งไว้แล้วจากไปแบบนี้สิ ไม่รู้หรืออย่างไรว่าที่ผ่านมาทำให้เธอรู้สึกท้อใจมากแค่ไหน ทำคนอื่นรู้สึกหวั่นกลัวมากถึงเพียงนี้ แต่กลับให้ของขวัญชิ้นเดียวแค่นี้น่ะหรือ
คนที่เหมาะจะใช้เป็นเครื่องมือรัดคอมิเอลมากที่สุดแบบเขา อยู่ดีๆ ก็เอาของขวัญมาให้แบบนี้ ทั้งที่วันนี้เธอคิดว่าตนเองตัดเยื่อใยที่มีต่อเขาได้อย่างยากเย็นแล้วแท้ๆ อยากให้เธอทำอย่างไรกันแน่
‘หรือจะเต็มใจยื่นคอมาให้ฉันใช้งานกันนะ’
ถ้าอย่างนั้นก็คงจะต้องใช้ละนะ
อาเรียกำเข็มกลัดไว้ในมือแล้วรีบลงไปยังชั้นล่าง เธออยากจะเห็นสีหน้าของออสการ์ผู้ที่เธอคิดว่าเป็นคนส่งสิ่งนี้มาให้
งานเลี้ยงวันเกิดของมิเอลยังคงเสียงดังเจี๊ยวจ๊าวอยู่เช่นเคย พอได้ยินคำว่า‘หมั้นหมาย’บ้าง‘ผู้ใหญ่’บ้างก็พอจะเดาออกว่าพวกแขกทั้งหลายกำลังพูดถึงเรื่องในอนาคตของออสการ์และมิเอลอยู่
‘งี่เง่าซะไม่มี ไม่รู้เลยสินะว่าเขาแอบส่งของขวัญให้ผู้หญิงอื่นในวันเกิดของคู่หมั้นตัวเอง’
สุดท้ายคนที่อยู่ในใจเขาก็คือตัวฉันเองละนะ เพราะถ้าไม่ใช่อย่างนั้นแล้ว ออสการ์คงไม่ส่งของขวัญให้กับหญิงอื่นในวันเกิดของคู่หมั้นตัวเองได้หรอก
อาเรียยืนอยู่ปลายสุดของบันไดที่จะลงไปชั้นหนึ่ง เธอมองหาวี่แววของออสการ์ โชคดีที่เขาอยู่ใกล้ๆ บันไดพอดี ท่านไอซิสเองก็อยู่ด้วย เธอจ้องออสการ์ด้วยหน้าตาที่ดูแข็งตึงไม่เข้ากับบรรยากาศงานเลี้ยงวันเกิดเอาเสียเลย
เพราะแบบนั้นอาเรียจึงหยุดฝีเท้าที่ตั้งใจจะก้าวไปหาออสการ์เอาไว้ และเฝ้าดูพวกเขาอยู่สักครู่ เธอไม่ได้ยินเสียงที่พวกเขาพูดคุยกันแต่อย่างใด แต่เห็นได้ชัดว่าท่านไอซิสกำลังพูดอะไรบางอย่างให้ออสการ์ฟังอย่างไม่หยุดหย่อน ยิ่งบทสนทนาลากยาวขึ้น สีหน้าของออสการ์ก็ยิ่งแข็งกระด้างขึ้นเรื่อยๆ
‘คุยเรื่องอะไรอยู่กันแน่นะ’
ขณะที่อาเรียกำลังเฝ้าดูทั้งสองคนพูดกัน ก็สบตาเข้ากับท่านไอซิสที่บังเอิญหันหน้ามาพอดี
อาเรียซ่อนสีหน้าตกใจเอาไว้ทำทีไม่สะทกสะท้านแล้วทักทายอย่างมีมารยาทกลับไป แต่ท่านไอซิสกลับตอบเธอด้วยสายตาเย็นชากลับมาแทน ถึงแม้จะไม่มีใครเห็นก็ตาม แต่นั่นถือเป็นการกระทำที่ไร้มารยาทสิ้นดี แม้ว่าเธอจะเป็นถึงลูกสาวคนโตของท่านดยุกก็เถอะ
‘นั่นคงเป็นนิสัยที่แท้จริงของเธอสินะ’
เพราะอาเรียพบเจอกับท่าทีแบบนั้นมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว เธอจึงไม่ได้รู้สึกอารมณ์เสียเป็นพิเศษแต่อย่างใด กลับกันนั่นทำให้เธอยิ้มไม่ออกเมื่อรู้สึกว่าได้เห็นธาตุแท้ของท่านไอซิส
และในตอนนี้เธออยากคุยกับออสการ์มากกว่าที่จะสนใจเรื่องพวกนั้นเสียอีก
เมื่อเห็นหน้าตาเย็นชาของพี่สาวตนเองเข้า ออสการ์ก็หันหน้าไปยังทิศทางที่สายตาของท่านไอซิสจับจ้องอยู่ จากนั้นก็พลันสบตากับอาเรียอย่างไม่ทันได้คาดคิด สีหน้าของเขาดูตกใจอยู่ไม่น้อยและร่างกายก็ดูแข็งทื่อขึ้นมา
อาเรียไม่ลืมที่จะทักทายออสการ์อย่างสง่างาม และยิ้มด้วยรอยยิ้มอันทรงเสน่ห์ที่ทำให้เขารู้สึกสับสนได้เสมอ ถือเป็นการตอบแทนเรื่องของขวัญวันเกิด อาเรียอยากรู้นัก ว่าเขาจะตอบกลับเธอด้วยท่าทีแบบไหน
ท่านไอซิสที่เห็นรอยยิ้มของอาเรียพร้อมกับออสการ์ ขมวดคิ้วออกมาเล็กน้อยแบบที่ไม่มีใครสังเกตเห็น
‘เขาจะหน้าแดงไหมนะ’ ถ้าไม่ใช่อย่างนั้นก็อาจจะลุกขึ้นมาทางนี้ทันทีเลยก็ได้
ถึงขนาดเอาของขวัญมาวางไว้แล้วจากไปเงียบๆ แบบนี้ อย่างน้อยก็คงจะส่งยิ้มมาให้บ้างละนะ ในขณะที่อาเรียคาดหวังอยู่นั้น ท่านไอซิสก็ใช้พัดแตะไปที่แขนของออสการ์เบาๆ
จากนั้นออสการ์ก็เม้มปากล่างเอาไว้ เขาหันหน้าหนีอาเรียอย่างเย็นชาโดยที่ไม่ตอบอะไรกับเธอเลย
ท่านไอซิสที่เห็นสิ่งนี้เข้าก็ลูบแก้มของน้องชายตนเองพลางยิ้มเอ็นดูรักใคร
ราวกับว่ากำลังชื่นชมออสการ์อยู่อย่างไรอย่างนั้น
ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วมาก
‘…ทำไมกัน’
เพราะได้รับของขวัญจากเขา อาเรียจึงไม่คิดไม่ฝันเลยว่าตนเองจะถูกออสการ์เมินใส่แบบนี้ ทำเอาเธอทำอะไรไม่ถูกไปพักใหญ่ แม้จะมีท่านไอซิสอยู่ข้างๆ ก็ตาม แต่การที่เขาไม่แม้แต่จะยิ้มให้เธอนั้น มันเลือดเย็นเกินไป
สุดท้ายออสการ์และท่านไอซิสก็เป็นฝ่ายที่ลุกจากไปก่อน ดูเหมือนเขาจะตั้งใจจะกลับแล้ว โดยไม่คิดแม้แต่จะหันมามองอาเรียที่ยืนตัวแข็งทื่ออยู่บนบันไดนานแสนนาน สุดท้ายเธอก็พ่ายแพ้อย่างราบคาบ
หลังจากที่พวกเขากลับไป อาเรียก็กัดฟันแน่นพาตัวเองขึ้นห้องไป
‘ต้องให้ฉันเจอแต่ความผิดหวังเสียใจอีกกี่ครั้ง ถึงจะรู้สึกพอใจกัน! ’
สุดท้ายอาเรียก็กลับห้องไปด้วยความรู้สึกสมเพชตัวเอง เธอมองเข็มกลัดที่ถืออยู่ในมือ ถ้าจะเมินกันแบบนี้แล้วจะส่งเข็มกลัดบ้าๆ นี่มาให้ฉันอีกทำไม! อาเรียโกรธที่ถูกเขาปั่นหัวซ้ำแล้วซ้ำเล่า เธอเงื้อมือขึ้นตั้งใจจะโยนสิ่งที่อยู่ในมือทิ้งไป แต่แล้วหางตาก็เห็นเข้ากับดอกไม้สีสันสดใสเข้า
มันคือดอกทิวลิปที่อาซส่งมาให้เธอ ดอกไม้ที่ไม่มีบทบาทอะไรในชีวิตของเธอเมื่ออดีต ตั้งแต่ได้รับมันมาเวลาก็ผ่านไปตั้งนานแล้ว แต่ความสดใหม่ของมันยังคงเดิม
เมื่อเห็นดอกไม้เข้า อาเรียก็ตระหนักถึงสถานการณ์ของตนเองในปัจจุบันขึ้นมา ตัวเธอในตอนนี้ประสบความสำเร็จแล้วตั้งหลายอย่างต่างจากตัวตนในอดีต ดอกทิวลิปนั่นก็ด้วย เมื่อคิดได้อย่างนั้น ก็รู้สึกว่าจิตใจที่เต็มไปด้วยไฟโมโหค่อยๆ เย็นลง
‘งี่เง่าจริง…ตั้งใจจะหลอกเขา สุดท้ายกลับโดนเขาหลอกปั่นหัวเสียเอง’
มิเอลคงรู้สึกมีความสุขอย่างท่วมท้น แม้จะยังเหลือเวลาอีกสามปีกว่าเจ้าหล่อนจะถึงวัยบรรลุนิติภาวะ แต่อย่างไรก็ได้รับแหวนมาแล้วเรื่องการหมั้นก็คงเหลือแค่รอเวลาเท่านั้น บางทีอาจจะจัดงานหมั้นพร้อมกับแต่งงานเลยก็ได้ใครจะรู้
ทันใดนั้นอาเรียก็นึกถึงใบหน้าอันร้ายกาจของมิเอลที่เป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดนี้รวมทั้งความเกลียดชังที่มีต่อออสการ์ เธอบีบมือที่ถือเข็มกลัดแรงขึ้น
‘นางปีศาจชั่วช้า’
หากแกปล่อยฉันไว้เฉยๆ ฉันก็คงใช้ชีวิตเป็นสาวน้อยที่ชอบแต่งตัวด้วยชุดหรูหราประดับประดาด้วยริบบิ้นและพลอยสวยๆ เท่านั้น
คงใช้ชีวิตโง่ๆ ไปวันๆ และพอใจกับชีวิตตัวเองที่เป็นอยู่โดยไม่คิดหวังจะพาตัวเองให้ขึ้นไปอยู่ในจุดที่สูงกว่านี้อีกแล้วแท้ๆ
แต่ผลลัพธ์มันเป็นอย่างไรเล่า ราวกับคลื่นยักษ์ในอดีตถาโถมเข้าใส่อาเรีย ความแค้นต่อมิเอลที่สุมอยู่ในอกทำเอาหัวใจเต้นแรงอีกครั้ง
‘ถ้าหากว่าโชว์เข็มกลัดนี้ให้มิเอลดูแล้วละก็..หล่อนจะมีท่าทียังไงกันนะ’
นั่นสิ เป็นความคิดที่ดีเลยไม่ใช่หรือไง ถ้าเป็นคนอื่นก็คงจะดูไม่ออก แต่ถ้าเป็นหล่อนแล้วละก็ ต้องรู้ถึงความหมายของเข็มกลัดนี้แน่ๆ
ยิ่งหล่อนเคยโอ้อวดเข็มกลัดที่ออสการ์ให้เป็นของขวัญด้วยแล้ว คงจะเดือดดาลขึ้นมาเป็นแน่ อีกอย่างความเชื่อใจที่มีต่อออสการ์ก็คงจะพังทลายลงมา
แน่นอนว่าถึงแม้ความเชื่อใจที่เธอมีจะหายไปก็ตาม แต่ความรักข้างเดียวที่เธอมีให้เขา คงจะไม่จางหายไปง่ายๆ แบบนั้น แต่อย่างน้อยลึกลงไปในใจของเธอจะต้องมีก้อนเนื้อบางอย่างเกิดขึ้นมา ก้อนเนื้อที่มีชื่อว่าความหวาดระแวงอย่างไรละ
อาเรียตัดสินใจที่จะทำตามนั้นโดยเร็ว ถึงมันจะเป็นวิธีที่ดูอ่อนหัดก็ตาม แต่ตอนนี้นั่นเป็นเพียงวิธีเดียวที่จะสร้างบาดแผลให้กับมิเอลได้ เดิมทีแล้วเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้นี่แหละ ที่จะกลายเป็นคมมีดสร้างบาดแผลในใจขึ้นมา ตัวอาเรียในอดีตก็เคยได้รับประสบการณ์ที่แสนสาหัสแบบนี้มาแล้ว
และวันเวลานั้นก็ใกล้เข้ามา หากว่าเธอทำแบบนั้นทันทีในงานเลี้ยงวันเกิด ก็มีแต่จะทำให้ภาพลักษณ์นางมารร้ายดูแย่ลงไปเท่านั้น จึงตัดสินใจที่จะทำแบบนั้นหลังงานเลี้ยงวันเกิดผ่านไปไม่กี่วัน
อาเรียติดเข็มกลัดไว้ที่หน้าอกอย่างผ่าเผย เธอนั่งลงที่โต๊ะกินข้าว และแน่นอนว่าไม่มีใครสนใจเธอตามปกติ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกห่อเหี่ยวใจแต่อย่างใด เธอรอคอยเวลาที่เหมาะสม เพราะเรื่องที่คุยกันบ่อยๆ ในช่วงนี้เป็นเรื่องการหมั้นของมิเอล อาเรียจึงได้แต่เงี่ยหูฟังอยู่เงียบๆ
“…ลูกคิดว่าเราควรจะจัดงานหมั้นหลังจากพิธีอภิเษกสมรสของท่านไอซิสเสร็จสิ้นลงนะคะ”
“พ่อก็เห็นด้วยนะ แต่นั่นก็ต้องรอให้ฝ่าบาทรีบตัดสินพระทัยน่ะสิ”
“ตายจริง…ถ้าอย่างนั้น พระชายาเองก็จะมาร่วมพิธีหมั้นด้วยสินะคะ ฝ่าบาทเองก็จะเสด็จด้วยใช่ไหมคะ”
เคานต์ติสทำท่าประหลาดใจใหญ่โตและพูดออกมา เมื่อรู้ว่าอาเรียไม่มีโอกาสอีกต่อไปแล้ว เธอก็ทำทีใส่ใจต่ออนาคตของมิเอลเป็นพิเศษ
งานหมั้นที่มีราชนิกุลมาร่วมอวยพรนั้นมีความหมายที่ยิ่งใหญ่มาก มันทำให้เชิดหน้าชูตาได้อย่างผ่าเผย ในอีกมุมมองการที่องค์รัชทายาทแต่งงานกับบุตรธิดาที่มาจากเชื้อสายขุนนาง ก็หมายความว่าได้ยอมจำนนให้กับชนชั้นขุนนางนั่นเอง
และมิเอลก็จะได้เข้าไปเป็นท่านผู้หญิงในตระกูลขุนนางแบบนั้น
“คิดว่าคงจะเป็นแบบนั้นละค่ะ”
“คงมีเรื่องให้เตรียมตัวอยู่ไม่ใช่น้อยเลย เพราะลูกจะได้เป็นเจ้าสาวที่งดงามที่สุดแล้วนี่นา เรื่องชุดเจ้าสาวจะให้ดีไซเนอร์คนไหนออกแบบให้ดีละจ๊ะ”
“ถ้าเป็นเรื่องชุดแล้วละก็ คงจะเอาชุดเจ้าสาวที่ได้รับการส่งต่อมาเป็นรุ่นๆ จากดัชเชสมาแก้ขนาดเอาค่ะ คงเพราะเข้ามาอยู่ในชายคาท่านเคานต์ได้ไม่นาน เลยไม่รู้สินะคะ…ว่าตระกูลของท่านดยุกจัดพิธีหมั้นกับพิธีสมรสแบบนั้นมาเนิ่นนานแล้ว”
คำตอบของมิเอลเย็นชาเสียจนทำให้เคานต์ติสที่แกล้งทำเป็นรู้ดีและพยายามจะช่วยดูแลต้องรู้สึกอับอาย แม้มิเอลจะยิ้มแย้มเต็มที่ แต่คำพูดของเธอไม่ต่างจากหนามแหลมที่ทิ่มแทงและเสียดสีเคานต์ติสผู้โง่เขลาเลย
เพราะแบบนั้น เคานต์ติสจึงพยายามยิ้มแล้วถามกลับไป
“…เรื่องแบบนั้นก็กำหนดเอาไว้แล้วงั้นหรือ”
“ค่ะ ท่านไอซิสช่วยดูแลให้หลายอย่างเลยละค่ะ”
อาเรียอยากตักซุปร้อนๆ ขว้างใส่หน้าที่กำลังยิ้มอย่างงดงามนั่นใจจะขาด แต่ทว่าเธอก็รู้ว่ายังมีของที่จะทำลายใบหน้าของมิเอลให้ย่อยยับได้ดีกว่าซุปร้อนๆ อยู่ สิ่งนั้นก็คือเข็มกลัดนั่นเอง
อาเรียนั่งหลังตรง แอ่นหน้าอกอย่างสง่าผ่าเผย และพูดแทรกขึ้นมา
“น่าอิจฉาจังเลยนะมิเอล แน่นอนว่าน้องจะต้องกลายเป็นเจ้าสาวที่สวยที่สุดในราชอาณาจักรเลยละ”
“…ขอบคุณค่ะพี่”
มิเอลตอบกลับไปด้วยใบหน้าเลิกลัก เมื่อจู่ๆ อาเรียก็แสดงความยินดีต่อเธออย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ดูเหมือนเธอไม่คิดว่าอาเรียจะแทรกพูดขึ้นมาในบทสนทนานี้
ซึ่งก็คงจะเป็นเช่นนั้น เพราะหลายวันที่ผ่านมาอาเรียไม่ได้พูดอะไรออกมาเลย เธอเพียงแต่นั่งกินข้าวเงียบๆเท่านั้น อีกอย่างมิเอลก็จงใจพูดเรื่องที่อาเรียไม่สามารถแทรกขึ้นมาได้
แต่ถ้าอยู่เฉยๆ ก็ไม่ใช่อาเรียน่ะสิ
“จะว่าไปแล้ว ก่อนหน้านี้น้องบอกว่าออสการ์ให้เข็มกลัดเป็นของขวัญสินะ ที่จริงแล้วก่อนหน้านี้ไม่นานพี่เองก็ได้เข็มกลัดเป็นของขวัญเหมือนกันนะ”
อาเรียพูดชื่อออสการ์ขึ้นมา แล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างเป็นธรรมชาติ และแน่นอนว่าวันนี้มิเอลเองก็ติดเข็มกลัดอันแสนสำคัญนั่นไว้ที่หน้าอกด้วย จึงทำให้อาเรียเข้าเรื่องได้อย่างง่ายดาย สายตาของทุกคนมองไปทางอกของอาเรีย
“นั่น…รูปดอกกุหลาบ ดีไซน์นั่นมัน…! ”
เมื่อเห็นเข็มกลัดของอาเรียเข้า ดวงตาของมิเอลก็สั่นระริกขึ้นมา
“สวยมากเลยใช่ไหมล่ะ ดูเหมือนจะทำมาจากเพชรเรดไดมอนด์ด้วยนะ”
เพราะมันสวยอย่างที่อาเรียพูดจริงๆ ทำให้ท่านเคาน์และเคานต์ติสเกิดความสนใจขึ้นมา และเพราะสัญลักษณ์แต่ละตระกูลเป็นดอกไม้อยู่แล้ว การที่เครื่องประดับถูกทำเป็นรูปทรงดอกไม้ชนิดต่างๆ จึงเป็นเรื่องปกติ ดูเหมือนท่านเคานต์และเคานต์ติสจะไม่ได้คิดว่ามันแปลกอะไร
ยิ่งเพิ่งจะประกาศการหมั้นหมายไปไม่กี่วันก่อน ก็ยิ่งทำให้ไม่รู้สึกเอะใจแต่อย่างใด
เคานต์ติสที่สนใจเรื่องเพชรพลอยเป็นทุนเดิมอยู่แล้วถามขึ้นมาว่า
“ดูราคาแพงมากเลยนะ ใครเป็นคนให้มากันละ”
“ลูกก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ ระหว่างที่คิดว่าจะออกจากงานเลี้ยงวันเกิดของมิเอลมาพักสักครู่ ก็เจอมันวางอยู่หน้าห้องแล้วค่ะ”
ในงานวันเกิดของมิเอล แถมยังส่งมาโดยไม่ระบุชื่ออีกด้วย คำพูดราวกับกำลังบอกใบ้ถึงอะไรสักอย่างนั่น ทำเอามิเอลหน้าซีดมากกว่าเดิม
“ตายจริง ถ้าอย่างนั้นก็คนใดคนหนึ่งที่มางานเลี้ยงวันเกิดหรือ”
“ก็อาจจะเป็นอย่างนั้นนะคะ”
“ดูเหมือนจะเป็นของขวัญที่ไม่ทันได้มอบให้ในวันเกิดอาเรียสินะ”
“ถึงจะให้ช้าไปก็ไม่เป็นหรอกค่ะ แต่อย่างน้อยถ้าบอกชื่อให้รู้ก็คงดีค่ะ…”
แต่มิเอลก็น่าจะรู้ชื่อของคนที่ให้เข็มกลัดนี้มามิใช่หรือ หน้าตาอันซีดเซียวของหล่อนมันบอกว่ารู้อยู่แล้วไม่ใช่หรือไง ก็เข็มกลัดนี้มันออกจะเหมือนกับเข็มกลัดที่หล่อนใส่อย่างทะนุถนอมอยู่ทุกวันนี่นา
“…สวยจังเลยนะคะ”
ความสดใสหายวับไปจากหน้าเธอหลังจากที่ได้เห็นเข็มกลัด
ดูเหมือนมื้อนี้ของมิเอลจะค่อยๆ พังลงอย่างไม่เป็นท่า เธออ้างว่าปวดท้องก่อนจะขอตัวออกไปก่อนโดยที่อาหารในจานยังเหลือมากกว่าครึ่ง
เคานต์ติสถามด้วยสีหน้าเป็นห่วง
“ให้เรียกหมอมาดูอาการดีไหม”
“ไม่ค่ะ…พักสักหน่อยก็คงดีขึ้นค่ะ แค่รู้สึกเพลียๆ น่ะค่ะ”
“เอ็มม่า ช่วยดูแลมิเอลให้ด้วยนะ เผื่อว่าอาการจะหนักขึ้น”
“ค่ะ เข้าใจแล้วค่ะ”
เมื่อท่านเคานต์อนุญาต มิเอลก็รีบกลับขึ้นไปยังห้องของเธอ และพูดกับเอ็มม่าที่เดินตามหลังมาว่า
“ขอฉันอยู่คนเดียวสักพัก”
“…ค่ะ เลดี้”
เพราะเป็นเวลานานแล้วที่มิเอลไม่ได้ออกคำสั่งแบบนี้ เอ็มม่าจึงรีบตรวจดูบริเวณรอบๆ เพื่อดูว่าไม่มีใครอยู่แถวนี้จริงๆ
หลังจากนั้นสักครู่ เอ็มม่าก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างแตกจากในห้องพร้อมกับเสียงกรีดร้องของมิเอล เธอหลับตาปี๋
…………………………………………………………..