หลังจากเวลาผ่านไปสักครู่ภายในห้องก็เงียบสงบลง เอ็มม่าเข้าไปในห้องอย่างระมัดระวังและรีบตรวจดูสภาพของมิเอล
ผมสลวยดุจดั่งแพรไหมและผิวที่ดูเรียบเนียนเหมือนเช่นเคยไม่มีบาดแผลแม้แต่จุดเดียว
เมื่อเห็นดังนั้นแล้วเอ็มม่าจึงโล่งใจและลงมือเก็บกวาดชิ้นส่วนที่แตกกระจายอยู่บนพื้น
“เอ็มม่า…”
ในตอนที่เธอกำลังเก็บกวาดใกล้จะเสร็จแล้วนั้น มิเอลที่นั่งคลายอารมณ์ให้เย็นลงอยู่บนโซฟาเงียบๆ ก็เรียกชื่อเธอขึ้นมา
เอ็มม่าเก็บกวาดชิ้นส่วนเหล่านั้นกองไว้ด้วยกันแล้วเข้าไปใกล้มิเอล
“ค่ะ เลดี้”
“จะทำยังไงดีล่ะ ฉันไม่สบอารมณ์เอาเสียเลย”
แน่นอนว่านั่นเป็นเรื่องที่ไม่ว่าใครก็ต้องรู้สึกโกรธ ถ้าเป็นคนทั่วไปก็คงจะโมโหเลือดขึ้นหน้าไปแล้ว แต่มิเอลกลับพูดคำว่า‘ไม่สบอารมณ์’ออกมาแค่นั้น
เด็กน้อยที่ต้องเก็บงำความรู้สึกและแอบระบายความโกรธออกมาโดยไม่ให้ใครรู้ เอ็มม่าปลอบโยนจิตใจที่ปวดร้าวน่าสงสารของมิเอล
“อย่างไรเสียในอีกไม่นานเลดี้ก็จะได้กลายเป็นดัชเชสแล้ว อย่าโมโหไปเลยนะคะ ส่วนนางลูกสาวโสเภณีชั้นต่ำนั่น ดิฉันจะเป็นคนจัดการให้เองค่ะ”
“เอ็มม่า…”
แต่ถึงกระนั้นการปลอบใจของเอ็มม่าก็ไม่ได้ทำให้ความโกรธแค้นของมิเอลจางหายไป ตั้งแต่ที่นางผู้หญิงโสโครกนั่นเข้ามาอาศัยอยู่ในบ้านก็ผ่านมาตั้งสองปีแล้ว จนถึงป่านนี้มันก็ยังเดินเชิดหน้าชูคอได้อยู่เลยไม่ใช่รึไง
นอกจากนี้ยังไม่รู้ว่ามันไปทำอีท่าไหนถึงหว่านเสน่ห์ใส่ออสการ์ได้ เธอรู้สึกว่ามันมีอะไรที่ไม่น่าไว้วางใจตั้งแต่ตอนที่เจอกันครั้งแรกแล้ว และยิ่งวันเวลาผ่านไปก็ยิ่งมีแต่เรื่องที่ทำให้รู้สึกกังวลใจมากขึ้นทุกที
อย่างเรื่องที่ออสการ์มีผ้าเช็ดของนางนั่นอยู่ก่อนแล้วบ้างล่ะ ไหนจะเรื่องที่เขามางานวันเกิดของมันบ้างล่ะ ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องที่เขามักจะส่งสายตาไปหานางสารเลวนั่นด้วยสนอกสนใจในบางครั้งอีก
‘แล้วยังเรื่องเข็มกลัดนั่น…’
ถ้าไม่ใช่ออสการ์แล้ว ก็ไม่มีใครที่จะให้เข็มกลัดนั่นได้
ทั้งดีไซน์และความรู้สึกเมื่อได้เห็น ราวกับว่าคนทำดูเข็มกลัดของเขาแล้วทำมันขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น ดูเข้าคู่กันได้ดียิ่งกว่าเข็มกลัดที่เธอมีอยู่เสียอีก
แม้จะได้ท่านไอซิสคอยช่วยเหลือก็ตาม แต่ความรู้สึกที่ว่าออสการ์กับอาเรียยังคงมีความเกี่ยวพันกันอยู่นั้น ก็ทำให้มิเอลไม่สามารถสงบจิตใจลงได้
เดิมทีแล้วตัวเธอที่มีชาติกำเนิดสูงส่งไม่ใช่คนที่จะหุนหันพลันแล่นแสดงความรู้สึกออกไปโดยไม่ยั้งคิดถึงเพียงนี้ แต่หลังจากที่อาเรียปรากฏตัวขึ้นมา เธอก็เผลอแสดงท่าทางที่ไม่น่าพิสมัยแบบนี้ออกมาอยู่บ่อยๆ และนั่นก็ทำเอาเธอไม่ชอบใจเสียเลย
“สาวใช้คนใหม่ที่ส่งให้ไปติดตามนั่นละ ได้เรื่องบ้างไหม”
“อ๋อ…ก็ดูจะพยายามอย่างเต็มที่อยู่ค่ะ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ดูเหมือนนางชั้นต่ำนั่นจะไม่ยอมเปิดใจให้ง่ายๆ เลยค่ะ”
เพราะแพร์รี่เป็นเด็กฉลาด เธอจึงเชื่อว่าจะสามารถทำงานได้ดีกว่าแอนนี่ที่ตกหลุมพรางของอาเรียไปแล้ว แต่มันก็ไม่ง่ายอย่างที่คิดเลย
เพราะแพร์รี่ไม่สามารถละมือจากงานเล็กงานน้อยต่างๆได้ เธอต้องทำงานก่อนที่พระอาทิตย์จะขึ้นไปจนถึงตอนมืดค่ำที่พระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าไปแล้ว
เธอบอกว่าโดนสั่งให้เช็ดถูที่เดิมๆ ทั้งวันจนไม่มีเวลาว่างมารายงานสถานการณ์ได้เลย ไม่ว่าเธอจะเช็ดถูไปสักกี่ครั้งก็โดนหาเรื่องจับผิดว่าทำงานไม่สะอาดจนเธอต้องเช็ดถูมันอยู่ซ้ำๆ
ไม่ใช่แค่อาเรียเท่านั้น แม้กระทั่งสาวใช้อย่างแอนนี่ละเจสซี่เองก็กลั่นแกล้งเธอด้วย เอ็มม่าอ้อมแอ้มตอบพลางนึกถึงแพร์รี่ที่ร้องห่มร้องไห้มาฟ้องเรื่องเหล่านั้น
“เห็นทีคงจะต้องเขียนจดหมายถึงท่านไอซิสเสียแล้ว”
แม้มิเอลจะบอกให้เอ็มม่านำกระดาษเขียนจดหมายมาให้ แต่เอ็มม่าก็ค้านขึ้นมา
“เลดี้คะ เมื่อไม่นานมานี้เลดี้เพิ่งจะเขียนจดหมายถึงท่านไอซิสเพราะปัญหาเรื่องการหมั้นหมายไปเองนี่คะ ไหนๆ ตอนนี้ก็ได้รับแหวนหมั้นมาแล้ว ต่อจากนี้แค่เชื่อใจท่านออสการ์และรออยู่เฉยๆ ไม่ดีกว่าหรือคะ”
แน่นอนว่ามิเอลถือเป็นคนที่มีสำคัญต่อท่านไอซิส แต่ถึงอย่างนั้นการจู้จี้ส่งจดหมายไปฟ้องทุกครั้งที่มีปัญหาก็ไม่ใช่เรื่องที่ดี
ยิ่งไปกว่านั้นการเคลื่อนไหวเมื่อเร็วๆ นี้ขององค์รัชทายาทดูผิดปกติไป ดูเหมือนนั่นจะทำให้ท่านไอซิสเกิดความไม่สบายใจขึ้นมา อีกทั้งยังได้ยินมาว่าธุรกิจบางอย่างของเหล่าขุนนางเกิดล้มละลายขึ้นมาและไม่มีวี่แววว่าจะฟื้นตัวได้จนถึงขั้นที่คิดจะออกไปจากเมืองหลวงเลยทีเดียว
แต่เพราะคนที่ล้มละลายไปนั้นไม่ได้ส่งผลกระทบต่อว่าที่พระชายาอย่างท่านไอซิสเท่าใดนัก คนพวกนั้นจึงค่อยๆ เงียบหายไปอย่างนั้น
แม้ว่าเหล่าขุนนางที่ล้มละลายจะไม่ใช่ขุนนางที่มีบทบาทสำคัญเท่าไหร่นัก แต่ถ้าหากตระกูลขุนนางหลายๆ ตระกูลต่างพากันล้มละลายมากขึ้นแล้วละก็ จะต้องก่อเกิดความกังวลใจขึ้นภายในฝ่ายขุนนางเป็นแน่
ไม่สิ ในตอนนี้มันก็เป็นเรื่องที่เริ่มจะถูกพูดคุยกันอยู่แล้ว ถ้าหากว่าค่อยๆ เสื่อมสลายลงไปช้าๆ แบบนั้น สักวันหนึ่งมันอาจจะพังทลายลงไปก็ได้
แน่นอนว่าทั้งหมดนั่นเป็นข่าวลือที่เธอได้ยินมาจากคนรู้จักสมัยก่อนและการได้เห็นได้ฟังเวลาติดตามมิเอล แต่ถึงอย่างไรก็คิดว่าไม่ควรที่จะทำให้ท่านไอซิสต้องมารำคาญใจเพราะเรื่องเล็กน้อยแบบนี้ ยิ่งเป็นเรื่องความสัมพันธ์ของชายหญิงยิ่งแล้วใหญ่
“แน่นอนว่าฉันเชื่อใจคุณออสการ์…แต่ยังไงก็ต้องกำจัดแมลงร้ายที่คอยบินมาตอมอยู่รอบๆ นี่นา”
“เลดี้ แมลงนั้นไม่ว่ายังไงดิฉันจะเป็นคนจัดการให้เองค่ะ อย่างนั้นแล้วเลดี้คิดถึงแต่เรื่องที่จะได้เป็นดัชเชสที่ดีเถอะนะคะ”
มิเอลกะพริบตาเมื่อได้ยินคำพูดปลอบประโลมของเอ็มม่าและถามออกมา
“…แล้วจะต้องทำอย่างไรล่ะ”
“ก็อย่างเช่นใส่เครื่องปรุงรสเพิ่มเข้าไปในน้ำชาเป็นไงคะ”
“เครื่องปรุงรสหรือ”
มิเอลตาเป็นประกายเมื่อได้ยินเอ็มม่าพูดคำว่าเครื่องปรุงรสออกมา เพราะเธอรู้ว่านั่นไม่ได้หมายถึงเครื่องปรุงรสที่มีไว้สำหรับใส่ในน้ำชาตามที่พูดจริงๆ
“แต่ว่าใครจะเป็นคนใส่มันลงไปล่ะ”
หากไม่จ้างคนภายนอกให้ลงมือทำแล้วเรื่องนั้นก็คงจะทำไม่ได้ เพราะหากจะให้คนที่อยู่ในคฤหาสน์เป็นคนทำ ก็จะต้องมีใครสักคนยอมเสียสละตนเอง และคงไม่สามารถหาคนที่พร้อมเสนอตัวเป็นคนทำได้ง่ายๆ เหมือนตอนเหตุการณ์รถม้าปีที่แล้ว
“ดิฉันจะลองหาคนดูค่ะเลดี้ อย่างนั้นแล้วขอให้เลดี้วางใจและสนใจแค่อนาคตที่จะได้เป็นดัชเชสเถอะนะคะ”
อย่างไรเสียนั่นก็เป็นเพียงแค่คำพูดที่เอ็มม่าโพล่งออกมาเพื่อทำให้มิเอลใจเย็นลงเท่านั้น ถึงแม้ว่าเธอจะไม่สามารถทำได้อย่างที่พูดก็ตาม อย่างไรมิเอลก็ใจกว้างพอที่จะให้อภัยเธออยู่แล้ว
เพราะเอ็มม่าเฝ้าเลี้ยงดูมิเอลตั้งแต่ตอนที่ยังเป็นเด็ก ตัวตนของเธอจึงไม่ต่างไปจากแม่ของมิเอลเลย
และหากว่ามีสิ่งใดมากีดขวางเส้นทางของมิเอลแล้วละก็เธอก็พร้อมที่จะเสนอตัวเอง เสียสละเพื่อความสงบสุขของมิเอล เพราะนั่นจะกลายเป็นเรื่องที่มีความหมายเป็นอย่างมาก
เพียงแต่ในตอนนี้เธอยังไม่รู้สึกถึงความจำเป็นที่จะต้องทำแบบนั้น
“ยิ่งไปกว่านั้น ดูเหมือนไม่นานมานี้มีคนที่เริ่มมีอิทธิพลเพิ่มขึ้นมานะคะ ลองทำความรู้จักกับคนฝั่งนั้นดูเป็นอย่างไรคะ”
เอ็มม่านึกถึงกลุ่มคนหน้าใหม่ที่มีพวกขุนนางอายุน้อยเป็นหลักและแนะนำให้มิเอลติดต่อสร้างมิตรไมตรีกับคนเหล่านั้น แม้ตอนนี้คนเหล่านั้นจะเป็นเพียงบุคคลที่ไม่โดนเด่นและไม่เป็นที่รู้จักก็ตาม แต่จู่ๆ ณ จุดหนึ่งชื่อเสียงของพวกเขาก็เริ่มเป็นที่พูดถึงขึ้นมา
และในบรรดาคนเหล่านั้น มากกว่าครึ่งเป็นเพียงแค่คนอายุน้อยที่ขาดประสบการณ์อีกต่างหาก ไม่รู้ว่าทำอย่างไรถึงได้ประสบความสำเร็จในธุรกิจแต่ละอย่างและดึงดูดความสนใจจากผู้คนได้อย่างมากมายมหาศาล
พวกเขาไม่ได้มีบุคคลที่มีอำนาจยิ่งใหญ่คอยชักจูงและชี้แนะเลยด้วยซ้ำ แต่ดูเหมือนพวกเขารวมตัวกันโดยมีอะไรสักอย่างเป็นจุดศูนย์กลางพาไปสู่ความสำเร็จ และความสัมพันธ์ของพวกเขาก็เป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่มาก ถึงขนาดมีการจัดประชุมภายในกันอยู่บ่อยๆ
มิเอลพยักหน้าบอกว่าเป็นความคิดที่ดีที่ได้รู้จักตัวตนของพวกเขา
“นั่นเป็นความคิดที่ดีเลยเอ็มม่า ท่านไอซิสก็จะต้องชอบแน่ๆ ”
“นั่นสิคะ กองทุนเงินของฝั่งเราอยู่ในสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วง การดึงเอาคนที่มีอำนาจใหม่ๆ เข้ามาเป็นมิตรถือว่าเป็นเรื่องที่ดีค่ะ แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะอยู่ตรงกลางไม่เลือกฝักใฝ่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่อย่างไรเสีย สุดท้ายแล้วพวกเขาก็จะต้องอยากเลือกเข้าไปอยู่ฝ่ายไหนสักฝ่ายแน่นอนค่ะ”
“นั่นสินะ”
“บางทีพวกเขาอาจจะอยากเข้ามาอยู่ฝ่ายเดียวกับว่าที่พระชายาและเลดี้มิเอลจนตัวสั่นเลยก็ได้นะคะ”
“ทำไมฉันไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้บ้างเลยนะ ท่านไอซิสเองก็ต้องชอบแน่ๆ ดูเหมือนจะต้องเชิญภรรยาของพวกเขามาร่วมทานอาหารด้วยกันสักมื้อเสียแล้ว”
“ค่ะ หากได้ยินว่าเลดี้ชวนทานอาหารกลางวันด้วยกันแล้วละก็ พวกนั้นจะต้องอ้าแขนต้อนรับเลดี้ด้วยความยินดีแน่นอนค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นเธอช่วยติดต่อพวกเขาให้ทีจะได้ไหม”
“วางใจได้เลยค่ะเลดี้! “
ในที่สุดเอ็มม่าก็โล่งใจเมื่อได้เห็นสีหน้าที่สดใสของมิเอล ถ้าหากดึงพวกขุนนางอายุน้อยเหล่านั้นเข้ามาเป็นพวกเดียวกับขุนนางชั้นสูงได้แล้วละก็ คงจะได้รับความเชื่อใจจากว่าที่พระชายามากกว่าตอนนี้ และความสำคัญของมิเอลก็จะเพิ่มขึ้นมาด้วย
ไม่ว่าจะประสบความสำเร็จทางธุรกิจอย่างใหญ่โตถึงเพียงใด แต่ขุนนางชั้นล่างก็ยังเป็นขุนนางชั้นล่างอยู่วันยังค่ำ และเพื่ออนาคตข้างหน้าแล้วพวกเขาก็จะต้องการเส้นสายที่จะช่วยหนุนหลังให้ตนได้
และเส้นสายนั้นจะมีใครเหมาะสมไปกว่ามิเอลกันเล่า
***
หลังจากเข้าสู่ศักราชใหม่ได้ไม่นานคฤหาสน์ก็ยังคงวุ่นวายอยู่ตลอด เพราะมีบรรดาท่านผู้หญิงที่ไม่เคยได้พบเห็นเลยแม้แต่ในอดีตแวะเวียนเข้ามาที่คฤหาสน์ของท่านเคานต์นั่นเอง
เหตุผลก็คือทุกคนมาร่วมงานเลี้ยงน้ำชาที่มิเอลเป็นเจ้าภาพนั่นเอง ทั้งที่ปกติมิเอลจะเชิญแค่บุคคลชนชั้นสูงที่มีประโยชน์ต่อตัวเองเท่านั้น นั่นเลยทำให้อาเรียไม่สามารถเข้าใจได้
และแอนนี่ก็ไม่เข้าใจเช่นกัน เธอจึงลงไปยังชั้นล่างและแอบดูการพบปะนั้นโดยไม่ให้ใครเห็น แล้วกลับมายังห้องของอาเรียอีกครั้งด้วยใบหน้าที่ดูงุนงง
“ไม่เข้าใจเลยจริงๆ ค่ะ ทำไมเลดี้มิเอลถึงได้ทำตัวสนิทสนมกันบารอนเนสได้ล่ะคะ แล้วยังมีสามัญชนทั่วไปอีกด้วยค่ะ”
แอนนี่ที่รู้สึกโมโหทำหน้าตาราวกับผิดหวังเป็นอย่างมาก แม้เธอจะอยู่ข้างอาเรียเพราะหลงใหลไปกับเพชรพลอยของมีค่าก็ตาม แต่ดูเหมือนเธอจะรู้สึกตกใจไม่น้อยกับท่าทีที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันของมิเอล ผู้หญิงที่เธอเคยใฝ่ฝันอยากจะเป็นอย่างหาที่สุดไม่ได้
เธอนั่งตรงข้ามกับอาเรีย ที่หน้าอกของเธอมีเข็มกลัดที่กำลังสะท้อนแสงวิบวับติดอยู่ เป็นเข็มกลัดรูปดอกกุหลาบที่ได้รับมาจากออสการ์นั่นเอง เข็มกลัดที่ใช้ยั่วโมโหมิเอลนั่น สุดท้ายก็ตกไปอยู่ในมือของแอนนี่
ตัวหมากที่ตัดสินใจทิ้งไปนั้น ต้องมั่นใจว่าได้ทิ้งมันไปอย่างสิ้นซากแล้ว
ในตอนนี้อาเรียไม่คิดที่รั้งออสการ์ไว้อีกแล้ว ในตอนแรกที่ได้ย้อนเวลากลับมา อาเรียคิดจะวางอนาคตของเธอไว้เป็นเดิมพันกับเขา แต่ต่อจากนี้ไปมันไม่ใช่อย่างนั้นอีกแล้ว
ในตอนนี้เป้าหมายหลายๆ อย่างที่เธอวางไว้ได้สำเร็จลุล่วงไปแล้ว และในอนาคตเธอก็จะมีพรรคพวกที่ดีกว่าเขาเป็นร้อยเท่า เมื่อคิดถึงสิ่งเหล่านั้นแล้ว การเสียออสการ์ไปเพียงแค่คนเดียวไม่ได้มีความหมายอะไรเลย
เพราะเหตุนี้ เข็มกลัดนั่นจึงไม่มีค่าอะไรนอกจากให้เป็นของขวัญแก่แอนนี่เท่านั้น อาเรียปราดตามองดูมันโดยไม่มีความรู้สึกอะไร เธอถามแอนนี่ขึ้นมา
“แล้วพวกนั้นคุยเรื่องอะไรกันล่ะ”
“ดูเหมือนจะคุยเรื่องธุรกิจกันนะคะ…ดิฉันก็ไม่แน่ใจค่ะ เหมือนสามีของท่านผู้หญิงพวกนั้นจะทำธุรกิจค่ะ เห็นคุยอย่างโน้นอย่างนี้บ้างน่ะค่ะ”
“งั้นหรือ”
งานเลี้ยงน้ำชาที่ไม่ได้จัดแค่ครั้งสองครั้ง แต่จัดบ่อยแทบจะทุกวันนั้น ทำเอาอาเรียรู้สึกอยากรู้อยากเห็นขึ้นมา หากเป็นเหมือนในอดีตแล้วละก็ ไม่ต้องพูดถึงสามัญชนทั่วไปเลย แม้แต่ขุนนางระดับล่างมิเอลก็ไม่ยอมลดตัวลงไปเกลือกกลั้วด้วยซ้ำไป แล้วเพราะอะไรถึงได้เปลี่ยนไปเช่นนี้กัน
เมื่อความสงสัยก่อตัวมากขึ้น อาเรียก็แสร้งทำทีว่าจะเดินเล่นแล้วลงไปยังชั้นล่าง เพราะเป็นฤดูหนาวงานเลี้ยงจึงถูกจัดขึ้นที่สวนบริเวณชั้นสอง เพราะประตูของสวนถูกเปิดทิ้งไว้ อาเรียจึงแกล้งทำเป็นเดินเล่นเข้าไปในสวนโดยไม่สนใจอะไร
ภายในสวนมีผู้หญิงที่ยังดูสาวอยู่ประมาณสิบห้าคน พวกเธอกำลังร่วมดื่มน้ำชากับมิเอลและพูดคุยกระซิบกระซาบกันอยู่ อาเรียเดินอยู่ในสวนอย่างช้าๆ แม้จะได้ยินไม่ชัดเจนนักแต่เรื่องหลักๆ ที่คุยกันก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับธุรกิจนั่นเอง
และในระหว่างนั้นเธอก็ได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักของหญิงสาวดังขึ้นมาในบางที
“อ๊ะ เลดี้…! “
ในขณะที่กำลังตั้งใจแอบฟังอยู่นั้น ก็มีสาวใช้คนหนึ่งที่กำลังง่วนอยู่กับการรับใช้สังเกตเห็นการมาเยือนของอาเรียเข้า เพราะอาเรียเดินเข้าไปใกล้ที่โต๊ะของพวกเธอพอดี
ดวงตานับสิบคู่หันไปสนใจกับตัวละครใหม่ที่เพิ่งปรากฏ และเพื่อคลายข้อสงสัยของพวกเธอเหล่านั้น มิเอลก็เรียกชื่ออาเรียขึ้นมา
“พี่อาเรียคะ”
“มิเอล”
ใบหน้าของมิเอลเหมือนคนที่ลืมเรื่องเข็มกลัดไปหมดสิ้นแล้ว
เธอยิ้มแย้มเข้ากันกับพวกผู้หญิงที่มารวมตัวกัน แม้จะดูไม่ออกว่านั่นเป็นการแสร้งทำหรือไม่ แต่ความจริงที่ว่าเธอกำลังยิ้มอยู่นั้นทำเอาอาเรียอารมณ์เสียขึ้นมา
แท้จริงแล้วคนพวกนี้ทำอะไรให้มิเอลรู้สึกสนุกสนานได้ถึงขนาดนี้กันแน่ อาเรียมองหน้าของพวกเธอทีละคน แต่ทุกคนก็เป็นเพียงคนไม่ได้เรื่องที่ไม่ได้มีตัวตนอยู่ในความทรงจำของเธอเลย
“พี่สาวดิฉันเองค่ะ”
มิเอลแนะนำอาเรียให้กับพวกผู้หญิงในงานเลี้ยง แม้จะเป็นการแนะนำแบบเรียบง่ายที่ไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่มเติม แต่ทุกคนก็ทักทายอาเรียด้วยสีหน้าที่แตกต่างกันออกไป ราวกับรู้จักอาเรียอยู่แล้ว ซึ่งนั่นก็เป็นสถานการณ์ที่อาเรียเคยชินไปเสียแล้ว
อาเรียยืดหลังตรงแน่วตอบรับสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกอันหลากหลายนั่น
“ดูสนุกสนานกันจังเลยนะคะ ขอดิฉันเข้าร่วมด้วยได้ไหมคะ”
เมื่อแขกไม่ได้รับเชิญกล่าวออกมาว่าจะขอเข้าร่วมด้วย แถมยังเป็นแขกที่มีข่าวลือไม่ค่อยดีอีกต่างหาก ถ้าเป็นเลดี้ทั่วๆ ไปแล้วคงจะหัวเราะเยาะออกมาพร้อมกับทำท่าโบกพัดจนขนตาสั่นกันเลยทีเดียว
แต่ทว่าพวกผู้หญิงที่มารวมตัวกันในที่นี้ ทุกคนต่างเป็นเพียงภรรยาของนักธุรกิจหน้าใหม่เท่านั้น ส่วนใหญ่แล้วก็เป็นเพียงขุนนางชนชั้นล่างไปจนถึงสามัญทั่วไป ฉะนั้นแล้วการปรากฏตัวของอาเรียจึงทำให้พวกเธอรู้สึกสนุกสนใจมากกว่าจะรู้อึดอัดใจเสียอีก
“ก็ดูจะไม่มีปัญหาอะไรเลยนี่คะ ยิ่งคนเยอะเท่าไหร่ก็ยิ่งมีแต่เรื่องสนุกๆ มากขึ้นเท่านั้นค่ะ”
ผู้หญิงคนหนึ่งที่นั่งอยู่ตรงกลางโต๊ะพูดขึ้นมา เมื่อพิจารณาจากแววตาที่เป็นประกายของเธอแล้ว ความรู้สึกที่เธอมีต่ออาเรียคงจะเป็นความอยากรู้อยากเห็นที่ใกล้เคียงกับความประทับใจ
‘คงจะสงสัยว่านางมารร้ายในข่าวลือนั่นเป็นคนยังไงสินะ’
ยิ่งข่าวลือเกี่ยวกับนางมารร้ายแตกต่างกันไปคนละทิศคนละทาง ก็ยิ่งสงสัยใคร่รู้มากขึ้น
โชคดีเสียจริง ดูเหมือนผู้หญิงคนนั้นจะเป็นคนที่มีอิทธิพลค่อนข้างมากในกลุ่มนี้ ทำให้คุณหญิงท่านอื่นต่างพากันพยักหน้าเห็นดีเห็นงามด้วย
ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วบุคคลที่มีสถานะสูงที่สุดในที่นี้ก็คือมิเอล แต่ความคิดเห็นของเธอดูจะไม่ได้สลักสำคัญเท่าไหร่ ช่างเป็นบรรยากาศที่ต่างไปกับตอนที่อยู่กับเหล่าเลดี้คนอื่น ซึ่งมักจะสังเกตอารมณ์ของมิเอลก่อนที่จะเห็นด้วยกับอะไรออกไป
‘หรือเพราะมีสามัญชนอยู่ด้วย เลยเป็นอย่างนั้นหรือ’
อาเรียมองเหล่าสุภาพสตรีที่อยู่ตรงหน้า เธอกะพริบตาช้าๆ ให้กับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด และยิ้มอย่างมีเสน่ห์ออกมา
ดูเหมือนจะเป็นงานเลี้ยงที่สนุกไม่เบาเลยละ
………………………………………………….