บทที่ 208 มีเรื่องต้องคุยกับคุณ

รักหวานอมเปรี้ยว

การันต์สังเกตเห็นอาการนั้น นัยน์ตาชายหนุ่มเริ่มหม่นแสงลง

ดูท่าเปปเปอร์จะใส่ใจมายมิ้นท์มากกว่าที่เขาคิดไว้เสียอีก งั้นส้มเปรี้ยวล่ะ?

ความรู้สึกที่เขามีต่อส้มเปรี้ยว ยังเหลืออยู่เท่าไร?

“ร่างกายเธอไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก พักสักหน่อยก็ดีขึ้นแล้ว เอาล่ะ ฉันยังมีงานต้องทำต่อ อีกเดี๋ยวมายมิ้นท์ก็จะถูกย้ายไปห้องผู้ป่วยทั่วไป ไว้เธอฟื้นเมื่อไรก็ออกจากโรงพยาบาลได้เลย” พูดจบ การันต์ก็เดินจากไป

ชายหนุ่มเพิ่งก้าวออกไปไม่นาน นางพยาบาลก็เข็นเตียงของมายมิ้นท์ออกมาพอดี

ลาเต้กับทามทอยรีบพุ่งเข้าไปตรวจดูหญิงสาวทันที แล้วก็เป็นอย่างที่การันต์ว่า เธอยังไม่ได้ถูกผ่าตัด แก้มนวลยังคงเป็นสีแดงระเรื่อ

พอเห็นกับตาแล้วว่าการันต์ไม่ได้ทำอะไรกับมายมิ้นท์จริง ๆ ชายหนุ่มทั้งสองก็ค่อย ๆ วางใจลง

ด้านเปปเปอร์ที่แม้จะไม่ได้พุ่งเข้าไป แต่จากที่นั่งอยู่บนรถเข็นตรงนี้ เขาก็สามารถมองเห็นร่างบางบนเตียงได้อย่างชัดเจน

เมื่อเห็นว่าเธอปลอดภัยดี หัวใจที่กำลังบีบรัดของเขาก็ค่อย ๆ ผ่อนคลายลง

ไม่นาน มายมิ้นท์ก็ถูกเข็นเข้ามาในห้องผู้ป่วยทั่วไป

เมื่อนางพยาบาลจัดการทุกอย่างเรียบร้อย ทามทอยกับลาเต้ก็รีบเข้าไปในห้องทันที

แต่เปปเปอร์ไม่ได้เข้าไปด้วย ชายหนุ่มเพียงแค่หยุดรถเข็นไว้ที่หน้าประตู และมองพวกเขาทั้งหมดอยู่ห่าง ๆ

พอเห็นทามทอยและเปปเปอร์แสดงท่าทีเป็นห่วงและร้อนรนกับมายมิ้นท์ เขาก็แอบรู้สึกอิจฉาอยู่ลึก ๆ ในใจ อิจฉาที่พวกเขาสามารถแสดงความเป็นห่วงและร้อนรนต่อเธอได้อย่างเปิดเผย

นอกจากนี้ ยังแอบรู้สึกรำคาญและอึดอัดใจอีกด้วย อึดอัดที่พวกเขาเอาแต่ห้อมล้อมอยู่ข้าง ๆ มายมิ้นท์แบบนั้น

เมื่อสัมผัสได้ถึงรังสีความกดดันที่แผ่ออกมาจากประธานเปปเปอร์ ไม่ต้องบอกผู้ช่วยเหมันตร์ก็รู้ว่าเพราะอะไร เขายกมือลูบจมูกเบา ๆ ก่อนจะพูดขึ้นว่า “ประธานเปปเปอร์ครับ งั้นพวกเราเข้าไปไหมครับ?”

“ไม่ล่ะ” เปปเปอร์หลุบตาลง

รอบตัวเธอมีชายหนุ่มคอยอยู่เคียงข้างตั้งมากมาย เขายังจำเป็นที่ไหนล่ะ?

“ไปกันเถอะ กลับได้แล้ว” ริมฝีปากบางเอ่ยขึ้น น้ำเสียงที่เปล่งออกมาไม่สามารถปิดบังความรู้สึกหึงหวงเอาไว้ได้

“ครับ” ผู้ช่วยเหมันตร์จับรถเข็นหันไปอีกทาง ก่อนจะมุ่งหน้าไปที่ลิฟต์

ประธานเปปเปอร์เอย ท่านรีบเข้าใจสักทีเถอะว่าจริง ๆ แล้วคนที่ท่านรักคือใครกันแน่

ไม่อย่างนั้นถ้ามัวแต่รอจนคุณมายมิ้นท์ไปหลงรักคนอื่นแล้วล่ะก็ ทุกอย่างคงจะสายเกินไป

หางตาของทามทอยสังเกตเห็นเปปเปอร์เดินจากไปพอดี แต่เขากลับไม่ได้รั้งไว้ แถมยังไม่ทักท้วงอีกด้วย

ล้อกันเล่นรึไง แม้พวกเขาจะเป็นเพื่อนกัน แต่ก็ถือว่าเป็นศัตรูหัวใจกันด้วย จะให้เก็บศัตรูหัวใจไว้ทำไม ไว้เพิ่มความรำคาญใจให้ตัวเองเหรอ?

นี่ก็ไม่ใช่ว่าเปปเปอร์โดนเขาและลาเต้ทำให้รำคาญใจจนต้องหนีไปก่อนแล้วรึไง?

หลังจากนั้นประมาณสิบนาที เมื่อยาสลบในตัวมายมิ้นท์หมดฤทธิ์ เธอก็ค่อย ๆ ฟื้น

หญิงสาวยกมือขึ้นนวดขมับเบา ๆ พร้อมกับลืมตาขึ้น สิ่งแรกที่เห็นก็คือเพดานสีขาว ก่อนจะเลื่อนลงมาเป็นผ้าห่มที่อยู่บนตัว จากนั้นเธอก็เข้าใจโดยอัตโนมัติว่าตัวเองอยู่ที่ไหน

“ที่รัก ตื่นแล้วเหรอ” เมื่อเห็นเปลือกตาของมายมิ้นท์กะพริบเบา ๆ ลาเต้ก็รีบวางกาน้ำร้อนในมือ ก่อนจะพุ่งเข้ามาหาเธอทันที

มายมิ้นท์หันไปมองเขาช้า ๆ “ฉันออกมาจากห้องผ่าตัดตั้งแต่เมื่อไร?”

“ประมาณสิบนาทีก่อนมั้ง” ลาเต้คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบกลับไป

สีหน้ามายมิ้นท์เต็มไปด้วยความงุนงง “สิบนาทีก่อน?”

ในระยะเวลาสั้น ๆ เพียงเท่านี้เธอสามารถฟื้นขึ้นมาได้แล้วเหรอ

นี่มันไม่เป็นไปตามหลักวิทยาศาสตร์เลยนะ

“เป็นอะไรเหรอที่รัก?” ลาเต้มองไปที่มายมิ้นท์

หญิงสาวจึงเก็บซ่อนความประหลาดใจเอาไว้ ก่อนจะส่ายหน้าไปมาเบา ๆ “ฉันไม่เป็นไร แค่แปลกใจนิดหน่อยที่ตัวเองฟื้นขึ้นมาไวขนาดนี้ โอ้ใช่ การผ่าตัดของฉัน…..”

พูดยังไม่ทันจบ เธอก็เหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ หญิงสาวยกมือลูบท้องตัวเองเบา ๆ

ไม่เจ็บ!

มิน่าล่ะเธอถึงรู้สึกเหมือนตัวเองมองข้ามอะไรไป ความรู้สึกเจ็บปวดที่ท้องนั่นเอง

นี่มันเรื่องอะไรกัน?

หรือว่าเป็นยาชาเฉพาะจุด? เธอถึงได้ตื่นไวขนาดนี้?

แต่ก็ไม่น่าใช่ ถ้าเป็นยาชาเฉพาะจุด ตัวเธอเองจะต้องไม่สลบไปสิ

มายมิ้นท์ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกแปลกใจ เธอรีบเลิกผ้าห่มขึ้นพร้อมกับเปิดเสื้อดูท้องตัวเองทันที

พอเห็นว่าท้องตัวเองไม่มีปากแผลเลยสักนิด ยิ่งรู้สึกแปลกใจมากขึ้นไปอีก “จริง ๆ แล้วฉันได้รับการผ่าตัดรึเปล่า?”

เธอมองไปทางลาเต้ด้วยความสงสัย

สายตาของลาเต้ตอนนี้จับจ้องไปที่หน้าท้องขาวเนียนของเธอจนตาแทบจะถลนออกมา

พอได้ยินเธอถาม ชายหนุ่มก็กระแอมเบา ๆ เพื่อเก็บสีหน้าหื่นกามที่เผลอไป ก่อนจะตอบพร้อมรอยยิ้มว่า “แน่นอนว่าไม่ได้ทำ”

“ไม่ได้ทำ?” มายมิ้นท์ผุดลุกขึ้นนั่งทันที คิ้วทั้งสองข้างตอนนี้ขมวดเป็นปม “ทำไมล่ะ?”

“หมอบอกว่าสภาพร่างกายของเธอไม่ค่อยดี ช่วงนี้ไม่เหมาะที่จะรับการผ่าตัด เพราะงั้นเลยยังไม่ได้ทำ รอจนกว่าร่างกายเธอจะปกติดีเสียก่อนค่อยมาผ่าตัด” ลาเต้อธิบาย

ริมฝีปากบางของมายมิ้นท์สั่นไหวเล็กน้อย “ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง”

หญิงสาวก้มหน้าลง ลูบท้องตัวเองเบา ๆ ด้วยสีหน้ากลุ้มใจ

ผ่านไปอีกสักพักค่อยผ่าตัดเหรอ ถึงตอนนั้นเธอก็ไม่รู้แล้วว่าตัวเองจะแข็งใจทำได้รึเปล่า

เพราะเมื่อครู่ตอนที่รู้ว่าลูกในท้องยังอยู่ เธอกลับรู้สึกโล่งอกอย่างบอกไม่ถูก

“มิ้นท์ ตื่นแล้วเหรอ” ขณะเดียวกัน เสียงของทามทอยก็ดังมาจากประตูทางเข้า

มายมิ้นท์มองไปที่เขา ก่อนจะส่งเสียงตอบรับเบา ๆ

ทามทอยเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้ม “ไวดีจัง ฉันเพิ่งไปทำเรื่องออกจากโรงพยาบาลให้เธอมา แล้วเธอก็ฟื้นแล้ว”

“ขอบใจนะ ลำบากนายแล้ว” มายมิ้นท์ส่งยิ้มให้

“ไม่ลำบากหรอก แค่วิ่งออกไปนิดเดียว” ทามทอยโบกมือเบา ๆ แล้วก็พูดต่อ “ถ้าเธอตื่นแล้ว งั้นเราก็ออกจากโรงพยาบาลกันก่อนเถอะ”

มายมิ้นท์พยักหน้ารับ อยู่ ๆ ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น

ทั้งสามคนหันไปมองพร้อมกัน ก่อนจะเห็นว่าเป็นการันต์ที่สวมชุดกาวสีขาวกำลังเปิดประตูเข้ามา

พอเห็นว่าทั้งสามคนมองเขาอยู่ ชายหนุ่มก็ค่อย ๆ เอามือล้วงกระเป๋าเสื้อกาว พร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า “ฟื้นแล้วเหรอ?”

“นายมาทำอะไร?” ลาเต้ขมวดคิ้ว แสดงสีหน้าชัดเจนว่าไม่ต้อนรับ

การันต์มองข้ามเขาไป จนสายตาไปหยุดที่มายมิ้นท์ “ผมมีเรื่องที่ต้องคุยกับคุณหน่อย”

มายมิ้นท์หรี่ตาลง จากนั้นก็พยักหน้า “ได้สิ”

“งั้นรบกวนพวกคุณทั้งสองออกไปด้วยรอด้านนอกก่อนนะครับ” การันต์ชี้ไปที่ลาเต้กับทามทอย

ทามทอยเม้มปากเล็กน้อย “มีเรื่องอะไรที่พูดต่อหน้าพวกเราไม่ได้รึไง?”

“ใช่ พวกเราฟังไม่ได้เหรอ?” ลาเต้เสริม

การันต์ไม่ได้ตอบกลับ เขาเพียงแค่จ้องไปที่มายมิ้นท์เท่านั้น

มายมิ้นท์ดูออกทันทีว่า เขารอให้เธอไล่สองคนนี้ออกไปก่อน ไม่อย่างนั้นเขาก็จะไม่พูด จะทำอย่างไรได้ล่ะ ก็มีแค่ต้องยอมรับเท่านั้น หญิงสาวนวดไปที่คิ้วเบา ๆ ก่อนจะพูดขึ้นว่า “ลาเต้ ทามทอย พวกนายออกไปก่อนเถอะ”

“ที่รัก…” ลาเต้มีทีท่าว่าจะไม่ยอม

มายมิ้นท์เม้มปากแน่น “ออกไป”

ลาเต้ได้แต่อ้าปากพะงาบ ๆ เหมือนจะพูดอะไรต่อ แต่กลับถูกทามทอยลากออกไปก่อน “เอาเถอะ ในเมื่อเธออยากให้พวกเราออก พวกเราก็ออกไปก่อน”

ลาเต้เองก็จนปัญญา ทำได้เพียงพยักหน้ารับอย่างจำยอม

แต่ก่อนจะออกไป เขาก็ยังตั้งใจพูดเตือนมายมิ้นท์เสียงเข้มว่า “ที่รักระวังเขาไว้ด้วยนะ เขาเป็นคนของส้มเปรี้ยว เผื่อเขาตั้งใจจะทำอะไรเธอเพื่อส้มเปรี้ยวขึ้นมา เพราะงั้น ถ้าเธอเห็นว่ามันเริ่มไม่ใช่แล้ว ให้ร้องออกมาดัง ๆ เลยนะ พวกเราจะเข้ามาช่วยเธอทันที”

มายมิ้นท์ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี แต่ในใจก็รู้สึกอบอุ่นเช่นกัน “ตกลง ฉันรู้แล้ว”

พอเห็นเธอจำได้ ลาเต้ก็ยืดตัวขึ้น จากนั้นก็เดินออกไปพร้อมทามทอย

ขณะที่เดินผ่านการันต์ เขาก้ยังไม่ลืมที่จะส่งสายตาเตือนอีกฝ่ายด้วย

การันต์ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย รอกระทั่งพวกเขาเดินออกไป จึงพูดขึ้นว่า “องครักษ์สาวงามทั้งสองคนของคุณนี่ไม่เลวเลยนะ”

“พวกเขาไม่ใช่องครักษ์สาวงาม พวกเขาเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของฉัน” มายมิ้นท์แย้งขึ้น

การันต์ยักไหล่เบา ๆ ไม่ได้ขัดอะไร ก่อนจะก้าวเท้ามาที่เตียง

มายมิ้นท์จ้องไปที่เขา “คุณอยากคุยอะไรกับฉันงั้นเหรอ? ฉันจำได้ว่าระหว่างเราไม่มีความเกี่ยวพันอะไรกันนะ เราไม่รู้จักกันด้วยซ้ำ เพราะงั้น ฉันไม่รู้สึกว่าระหว่างเราจะมีอะไรที่ต้องคุยกัน”

ก่อนหน้านี้ เธอแค่เคยได้ยินชื่อการันต์ เพราะถึงอย่างไรเขาก็ถือเป็นอัจฉริยะทางการแพทย์ ทั้งยังมีชื่อเสียงมากอีกด้วย จากนั้นก็เคยเห็นเขาจากที่ไกล ๆ อยู่ครั้งหนึ่ง แต่ว่าที่ผ่านมาก็ไม่เคยได้คุยอะไรกับเขาเลยสักครั้ง

ดังนั้น สำหรับการันต์ที่มีเรื่องจะคุยกับเธอ ถือว่าน่าประหลาดใจมากทีเดียว

“อันที่จริง ก่อนหน้านี้ผมก็ไม่คิดว่าจะมีเรื่องอะไรต้องคุยกับคุณ เพราะถึงอย่างไรเราก็อยู่กันคนละทางอยู่แล้ว แต่นับตั้งแต่วินาทีนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว” การันต์ลากเก้าอี้มานั่งลงที่ข้างเตียง

มายมิ้นท์เม้นปากเบา ๆ “ตรงไหนเปลี่ยนไป?”

“ข้อมือของคุณ” การันต์เบนสายตาลงไปที่ข้อมือซ้ายของเธอ