“ยังมีเรื่องประหลาดเช่นนี้อีกหรือ” ภายในตำหนักชิงหนิง ป๋ายถานที่กำลังนวดที่พระเพลาของไทเฮาที่ประทับอยู่บนเตียง เมื่อได้ยินข่าวที่ขันทีผู้นี้ถ่ายทอดออกมาก็อดเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจไม่ได้
“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ บ่าวอายุปูนนี้แล้ว ยังเพิ่งเคยเห็นเก้าอี้ที่นั่งลงและสามารถเคลื่อนที่ได้เป็นครั้งแรก ช่างมหัศจรรย์โดยแท้…” ขันทีผู้น้อยคนนั้นเอ่ยขึ้นด้วยท่าทีตื่นตาตื่นใจ
ไทเฮาที่อยู่บนเตียงลืมพระเนตรขึ้น ทรงตวัดสายตามองทางขันทีผู้นั้นครู่หนึ่ง ทำให้ขันทีผู้นั้นหุบปากลงในทันที
“เสด็จแม่ ใต้หล้ายังมีสิ่งของที่น่าสนใจเช่นนี้อยู่ ซูหลีผู้นั้นช่างฉลาดปราดเปรื่องโดยแท้” ป๋ายถานยิ้มยิงฟันและเอ่ยกับไทเฮาด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล
ตั้งแต่นางเข้ามาอยู่ในวังหลวง ไม่เพียงแต่จะถูกแต่งตั้งเป็นตำแหน่งผิน อีกทั้งยังได้รับความโปรดปรานจากไทเฮาเป็นอย่างมาก ทุกครั้งในบรรดาพระสนมที่มาคารวะไทเฮา มีเพียงนางเท่านั้นที่ไทเฮาทรงให้อยู่ต่อเพื่อคุยแก้กลุ้ม
ด้วยเหตุนี้เพียงไม่กี่วันเหล่าพระสนมก็ทราบเรื่องนี้ เล่อผินเหนียงเหนียงท่านนี้ไม่เพียงแต่อยู่ในสกุลที่มีชื่อและทรงอำนาจ มิหนำซ้ำนางยังได้รับความนิยมชมชอบภายในวังจากฮ่องเต้และไทเฮาอีกด้วย เก่งกาจจนไม่มีใครเปรียบได้ แม้แต่พระสนมทั้งสองพระองค์ของฝ่าบาทก็ยังไม่อาจเทียบกับนางได้
“ก็แค่ของที่ใช้ความฉลาดแกมโกงสร้างขึ้นมาก็เท่านั้น” เมื่อไทเฮาทรงได้ยินชื่อของซูหลี พระองค์ก็ทรงขมวดพระขนงขึ้นอย่างรำคาญใจ
“ในวังหลวงนี้เป็นสถานที่แห่งใด ใช่สถานที่ที่จะอนุญาตให้ซูหลีก่อความวุ่นวายเช่นนี้ได้หรือ” ป๋ายถานทราบดีว่าตั้งแต่เรื่องที่เกิดขึ้นในงานเฉลิมพระชนม์ในคราก่อน ไทเฮาก็ทรงไม่ชื่นชอบซูหลีแล้ว ป๋ายถานได้ยินดังนั้นจึงฉีกยิ้มบางออกมา ทว่าไม่เอ่ยอะไรออกมา
“กราบทูลเหนียงเหนียง ในมือของคุณชายซูมีป้ายห้อยเอวที่ฝ่าบาทพระราชทานให้ อีกทั้งเหล่าทหารล้วนทราบดีว่านั่นคือคุณชายเหิงอวี้ที่ฝ่าบาททรงแต่งตั้งตำแหน่งให้ด้วยพระองค์เอง ดังนั้น…” น้ำเสียงของขันทีผู้นั้นต่ำลงเรื่อยๆ ดังนั้นจึงไม่มีคนกล้าขัดขวางซูหลีเอาไว้
“ข้าแก่แล้ว ที่ไม่ชอบที่สุดก็คือคนที่กำเริบเสิบเช่นนี้ ถานเอ๋อร์” ไทเฮาตรัสด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น
“หม่อมฉันอยู่นี่เพคะ” ป๋ายถานหยุดการเคลื่อนไหวในมือ จากนั้นรีบคุกเข่าลงทันที
“พาข้าไปดูผู้ที่ไม่รู้ความ ผู้ซึ่งไม่ทราบที่มาที่กล้ากำแหงในวังหลวงเสียหน่อย!”
ขณะที่ไทเฮาตรัส พระองค์ทรงลุกขึ้นจากเตียง
ป๋ายถานรีบรับพระหัตถ์ที่ไทเฮาทรงยื่นมา นางประคองไทเฮาลุกขึ้น ใบหน้าของนางที่มีประกายบางอย่างพาดผ่านอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็สามารถอำพรางได้อย่างเร็วไว ต่อมานางจึงตกปากรับคำและคอยประคองไทเฮาไปที่ห้องทรงอักษรของฮ่องเต้
…
“เย่ว์ลั่วหนาวหรือไม่” นี่เป็นครั้งแรกที่ซูหลีนั่งบนรถเข็น และถูกคนเข็นรถเพื่อชมทิวทัศน์ในวังหลวงเช่นนี้
เพียงแต่นางนึกเป็นห่วงเย่ว์ลั่ว จึงถามออกมาด้วยเสียงแผ่วเบา
“บ่าวไม่หนาวเจ้าค่ะ” เย่ว์ลั่วฉีกยิ้มเล็กน้อย จากนั้นก้มศีรษะมองที่ถุงมือบนมือของตนปราดหนึ่ง
ของสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ซูหลีสั่งให้ไป๋ฉินทำขึ้น อีกทั้งยังใช้ขนสุนัขจิ้งจอกชั้นดีทำขึ้นอีก เดิมเย่ว์ลั่วคิดว่าของสิ่งนี้ทำขึ้นเพื่อให้ซูหลีใช้เอง ทว่าคิดไม่ถึงว่าหลังจากที่ทำเสร็จ ซูหลีจะมอบสิ่งของเหล่านี้ให้กับพวกนางทั้งสองเป็นอันดับแรก
เย่ว์ลั่วทราบนิสัยของซูหลีดี จึงทำได้เพียงรับของที่นางมอบให้
ไม่ต้องพูดถึงว่าของสิ่งนี้มีประโยชน์มากมาย อย่างน้อยในเหมันตฤดูนี้มือของเย่ว์ลั่วก็ไม่ต้องเกิดอาการแพ้ความเย็นขึ้น
ซูหลีได้ยินดังนั้นจึงผงกศีรษะเบาๆ และไม่ถามอะไรต่ออีก กลับมองที่หิมะเหล่านั้นอย่างสบายๆ ใบหน้ายังมีรอยยิ้มประดับไว้ ท่าทางของนางไม่เหมือนคนที่เข้าวังเพื่อเข้าเฝ้าฮ่องเต้เลยสักนิด กลับเหมือนกับเข้าวังมาเล่นสนุกเสียมากกว่า
เย่ว์ลั่วชำเลืองมองดูแล้ว อดที่จะฉีกยิ้มออกมาไม่ได้ ซูหลีนั้นมีเสน่ห์เช่นนี้ ยามนางอารมณ์ดีก็จะสามารถทำให้เหล่าคนที่คอยปรนนิบัตินางเปลี่ยนเป็นอารมณ์ดีตามไปด้วย
“หยุดเดี๋ยวนี้!” ทว่าอารมณ์ดีเช่นนี้เกิดขึ้นได้ไม่นาน จู่ๆ ก็ถูกคนตะโกนขัดจังหวะขึ้น
ฝีเท้าของเย่ว์ลั่วชะงักและหยุดลงในทันที ซูหลีจึงเคลื่อนที่ไปไม่ได้เช่นกัน
“คนเช่นใดที่กล้ากระทำเรื่องประหลาดเช่นนี้ในวังหลวงกัน!? ไม่เห็นไทเฮาเหนียงเหนียงหรืออย่างไร!?”