ซูหลีหันไปมองตามเสียงที่ดังขึ้น จึงเห็นกลุ่มคนที่เดินมาจากทางโค้ง
คนที่เดินนำมาก็คือไทเฮาเหนียงเหนียงที่นางเคยพบครั้งหนึ่งในวันนั้น ที่บังเอิญก็คือคนที่กำลังประคองไทเฮาอยู่นั้น นางก็รู้จักด้วยเช่นกัน
นั่นก็คือผู้ที่ทันทีที่เข้ามาในวังหลวงก็ถูกแต่งตั้งเป็นเล่อผินเหนียงเหนียง…ป๋ายถาน
“บังอาจ เห็นไทเฮาเหนียงเหนียงแล้วยังไม่คารวะอีก!?” เสียงเมื่อครู่นั้นดังขึ้นอีกครั้ง ซูหลีเหลือบตาชำเลืองมองก็พบกับขันทีที่อยู่ข้างพระวรกายของไทเฮา อาภรณ์ของขันทีผู้นั้นเหมือนกับอาภรณ์ของหวงเผยซาน
ทำให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า ภายในวังหลวงนี้เขามีตำแหน่งสูงมาก
“ถวายบังคมเพคะไทเฮาเหนียงเหนียง ทรงพระเจริญพันปี” เย่ว์ลั่วที่กำลังเข็นซูหลีอยู่คุกเข่าลง และส่งเสียงทำความเคารพไทเฮา
ดวงตาของซูหลีกวาดมองรอบหนึ่ง จากนั้นสายตาของนางจึงอยู่ที่ไทเฮาที่ทรงกำลังแสดงสีหน้าเยียบเย็นออกมา
นี่เห็นได้ชัดว่าผู้ที่มาไม่ได้มาดี!
“ข้าน้อยถวายบังคมไทเฮาเหนียงเหนียง” ซูหลีเห็นสายตาของตนเองกลับมาและเอ่ยด้วยเสียงเบา
ถึงอย่างไรแม้จะพูดเช่นนี้ ทว่าร่างของนางกลับยังนั่งอยู่บนเก้าอี้รถเข็นตัวนั้นอยู่ไม่ขยับเขยื้อน อีกทั้งยังเตรียมใช้คำพูดในการทำความเคารพไทเฮาอีก
“บังอาจนัก! คนต่ำต้อยป่าเถื่อนนี่มาจากที่ใดกัน เรื่องที่พาลเกเรก่อความวุ่นวายในวังหลวงก็ช่างเถอะ มิหนำซ้ำกลับกล้าปฏิบัติต่อไทเฮาอย่างไร้มารยาทเช่นนี้ ทหาร ลากขึ้นมาโบยเสีย!” จูกงกงที่เป็นคนข้างพระวรกายของไทเฮาคิดไม่ถึงว่าซูหลีจะกล้ากระทำเช่นนี้
เดิมคณะของพวกเขาเดินมาที่นี่ ก็ไม่ใช่เพราะต้องการทักทายถามสารทุกข์สุกดิบของซูหลีอยู่แล้ว ทว่าซูหลีนั้นแสดงกริยาท่าทางเช่นนี้ออกมาเสียก่อน นี่กลับเป็นสิ่งที่จูกงกงคิดไม่ถึง
หรือซูหลีผู้นี้จะมีคนที่คอยสนับสนุนอะไรอยู่เบื้องหลังกัน ทว่าทำเช่นนี้ก็ไม่ถูกนี่นา ถึงจะมีคนที่คอยสนับสนุน ทว่าผู้ที่อยู่ตรงหน้านี้ นั่นเป็นถึงไทเฮาเหนียงเหนียงแห่งราชวงศ์ต้าโจว!
“ช้าก่อน” ซูหลีเลิกคิ้วขึ้น นางยังไม่ทันเอ่ยตอบก็เห็นทางไทเฮาทรงโบกพระหัตถ์ ทรงเรียกขันทีที่เอ่ยว่าจะโบกนางขึ้นเสียก่อน
“ไยข้าถึงรู้สึกคุ้นหน้านางขนาดนี้กัน” ไทเฮามองซูหลีอยู่หลายครา จากนั้นจึงเอ่ยประโยคนี้ขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ
“ทูลเสด็จแม่เพคะ เขาคือบุตรของใต้เท้าซู ราชเลขากรมขุนนาง นามว่าซูหลีเพคะ คราก่อนในงานเฉลิมพระชนม์ของเสด็จแม่ เขายังมอบของขวัญให้กับเสด็จแม่พร้อมกับหม่อมฉันอยู่เลยเพคะ!” แม้ไทเฮาจะทรงถามขึ้น ทว่าไม่ได้ตรัสถามซูหลี กลับเป็นป๋ายถานที่อยู่ด้านข้างที่ตอบคำถามนี้
“ที่แท้ก็เป็นคนผู้นั้นนี่เอง!” มีประกายความเข้าใจอย่างถ่องแท้พาดผ่านบนพระพักตร์ของไทเฮา ซูหลีมองทั้งสองคนที่กำลังแสดงละครตบตาด้วยรอยยิ้มที่คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม สีหน้าเต็มไปด้วยความคลุมเครือ
ไทเฮากับป๋ายถานใกล้ชิดสนิทสนมกับถึงเพียงนี้ จะสามารถลืมนางได้อย่างไรกัน
โดยเฉพาะนางที่ทำตัวกระด้างกระเดื่องใส่ไทเฮามาก่อน ซูหลีกลับไม่รู้สึกว่าไทเฮาพระองค์นี้จะเป็นเป็นผู้ที่มีพระทัยกว้างขวางเท่าไรนัก!
“ซูหลี เจ้ารู้ไหมว่า คนที่บุกเข้ามาภายในวังหลวง มีโทษถึงตาย!?” ไทเฮาทรงใช้สายพระเนตรเย็นชามองที่ซูหลี มีประกายความเกลียดชังพาดผ่านในดวงตาของไทเฮาอย่างรวดเร็ว
ซูหลีเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความไม่ใส่ใจ นี่หากเปลี่ยนเป็นในยามปกติ ไม่แน่นางอาจจะรู้สึกเกรงกลัวอยู่บ้างว่าไทเฮาพระองค์นี้จะทรงปฏิบัติต่อนางเช่นนี้ ทว่าวันนี้นางไม่รู้เกรงกลัวเลยแม้สักนิด
พวกนางไม่กลัวความหนาวเหน็บ ถึงกับออกมาหาเรื่องนางโดยเฉพาะ นางจะทำให้พวกนางผิดหวังได้อย่างไรกัน!?
“กราบทูลไทเฮา ข้าน้อยมิได้บุกเข้ามาก่อความวุ่นวาย ฝ่าบาทพระราชทานป้ายห้อยเอวที่สามารถก้าวเข้าประตูวังเมื่อไรก็ได้ให้แก่ข้าน้อย อีกทั้งทรงอนุญาตให้กระหม่อมเข้ามาเมื่อไหร่ก็ได้ เย่ว์ลั่ว” ซูหลีอธิบายด้วยสีหน้าเรียบเฉย
เย่ว์ลั่วได้ยินดั้งนั้นจึงคว้าป้ายห้อยเอวที่ห้อยไว้บริเวณเอวขึ้นมา พร้อมทั้งส่งให้กับจูกงกงที่อยู่ด้านหน้า
จูกงกงรับป้ายห้อยเอวนั้นมา ทั้งยังตรวจสอบอย่างละเอียดอยู่นาน จากนั้นเอ่ยด้วยเสียงซุบซิบว่า “ไทเฮาเหนียงเหนียง นี่เป็นป้ายห้อยเอวที่ฝ่าบาทพระราชทานให้มิผิด”
สีหน้าของไทเฮาเย็นชาขึ้นหลายส่วนทันใด