ความสัมพันธ์แม่ลูกระหว่างฉินเย่หานกับไทเฮานั้นแปลกประหลาดโดยแท้ ยามที่ไม่เอ่ยถึงฉินเย่หานสีพระพักตร์ของไทเฮาก็ยังดีอยู่ ทว่าทันทีที่เอ่ยถึงฉินเย่หาน สีหน้าของไทเฮาทรงแปรเปลี่ยนเป็นไม่น่าดูเป็นอย่างยิ่ง
ความสัมพันธ์ของพวกเขาไม่เหมือนกับเป็นแม่ลูกกัน เหมือนเป็นศัตรูกันเสียมากกว่า
ซูหลีเห็นภาพเหล่านี้ในสายตา ใบหน้าของนางดูเรียบเฉยไม่ใส่ใจเกินจะเปรียบ กิริยาท่าทางเช่นนี้ของนางยิ่งทำให้เพลิงโทสะในพระทัยของไทเฮาเพิ่มขึ้นหลายส่วน
ฮ่องเต้ทรงไม่เห็นมารดาอย่างนางในสายตาก็ช่างเถอะ ทว่าซูหลีนั้นนับว่าเป็นตัวอะไรกัน ถึงได้กล้าแสดงสีหน้าเช่นนี้ออกมา
“ทหาร!” ทันทีที่ไทเฮาทรงกวักพระหัตถ์ จูกงกงผู้นั้นก็ขานรับในทันที
“มัดคนที่ไม่รู้จักมารยาทผู้นี้ให้ข้าเดี๋ยวนี้ เห็นวังหลวงเป็นสถานที่ใด ถึงได้กล้าใช้กิริยาท่าทางเช่นนี้บุกเข้ามา แม้เห็นข้าแล้วก็ยังมีท่าทีเช่นนี้!”
“ไทเฮาเหนียงเหนียงเพคะ!” ทันทีที่เย่ว์ลั่วได้ยินคำพูดประโยคนี้ ใบหน้าจิ้มลิ้มของนางเปลี่ยนสีเป็นขาวซีดในทันที นางคุกเข่าลงเตรียมจะร้องขอความเมตตาให้แก่ซูหลี
“พ่ะย่ะค่ะ” คิดไม่ถึงว่าจูกงกงจะขานตอบได้เต็มปาก ดูท่าแล้วคงจะไม่เปิดโอกาสนายบ่าวทั้งสองอย่างพวกเขาพูดเลยแม้แต่น้อย
จูกงกงผู้นั้นเดินเข้าไปก้มหน้ามองเย่ว์ลั่วปราดหนึ่ง จากนั้นเงยหน้าขึ้นเตรียมจะตีเย่ว์ลั่ว!
“เจ้าคนต่ำต้อย เจ้ายังกล้าพูดต่อหน้าพระพักตร์ไทเฮาอีกหรือ!”
“ช้าก่อน!” ขณะที่เขายกมือตนเองขึ้นเตรียมตบที่ใบหน้าของเย่ว์ลั่ว ซูหลีพลันส่งเสียงออกมาหยุดเขาไว้
“นายน้อย!” สีหน้าของไป๋ฉินเปลี่ยนไปเล็กน้อย ในแววตาที่มองไปทางซูหลีค่อนข้างมีความกังวล เมื่อเห็นซูหลีชำเลืองมองนาง นางถึงส่ายศีรษะให้กับซูหลี
ความหมายที่นางต้องการจะสื่อก็คือ ให้ซูหลีอย่าปะทะกับไทเฮาเพียงเพราะสาวใช้คนหนึ่ง
ซูหลีเลิกคิ้วเล็กน้อยและแค่นยิ้มเย็นออกมาครู่หนึ่ง จากนั้นหันเหสายตาจับจ้องที่ร่างของจูกงกงแล้วเอ่ยว่า “จูกงกง ได้โปรดออมมือหน่อย อย่างไรก็เป็นสาวใช้คนหนึ่งเท่านั้น คุ้มค่าที่ทำให้จูกงกงโกรธเสียที่ไหนกัน!?”
“ไทเฮาเหนียงเหนียงเป็นมารดาของคนทั้งใต้หล้า เมื่อคิดดูแล้วคงจะทรงไม่กริ้วโกรธสาวใช้คนหนึ่งหรอกกระมัง ใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะเหนียงเหนียง” สีหน้าของซูหลียังคงเรียบเฉย จนถึงเวลานี้แล้วก็ยังไม่เห็นความหวาดกลัวใดๆ ทั้งสิ้น
ยิ่งไทเฮาทรงเห็นซูหลี นางก็ยิ่งรู้สึกว่าซูหลีกับฉินเย่หานทำให้นางเกิดความรู้สึกที่คล้ายคลึงกันอย่างยิ่งยวด ดังนั้นสีหน้าของนางจึงไม่น่ามองกว่าเดิมไปอีกหลายส่วน
“จูเฉิงตีให้ข้าเสีย วันนี้ข้าจะดูเสียหน่อยว่า เจ้าเป็นใครมาจากไหนถึงกล้าเอ่ยวาจาเช่นนี้ออกมาต่อหน้าข้า!”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
“ไทเฮาเหนียงเหนียงจะทรงหาเรื่องข้าน้อยจริงๆ หรือพ่ะย่ะค่ะ!?” เมื่อเห็นว่าไม่ว่าอย่างไรไทเฮาก็จะทรงทำร้ายเย่ว์ลั่ว รอยยิ้มบนใบหน้าพลันหุบลงในทันที
แม้ยามปกติทางทำตัวกำเริบเสิบสานต่อหน้าคนอื่นๆ ก็ช่างเถอะ ทว่าไม่คิดว่านางจะกล้าพูดเช่นนี้กับไทเฮา
ไทเฮาทรงชะงักค้างไปพริบตาหนึ่ง ตั้งแต่นางขึ้นมาเป็นไทเฮา ไม่สิ ต้องกล่าวว่าตั้งแต่ปีแรกๆ ที่นางเป็นกุ้ยเฟยของฮ่องเต้ ก็ไม่มีใครกล้าปฏิบัติต่อนางเช่นนี้เลย!
“…นี่เป็นการก่อกบฏโดยแท้!” เพราะว่ารู้สึกโกรธจนเกินขีดจำกัด ไทเฮาทรงมิได้ตรัสออกมาในทันที ทว่าสีหน้าของไทเฮานั้นดำทะมึนประหนึ่งก้นหม้อก็มิปาน
“จูเฉิง เด็ดหัวนางให้ข้าเสีย!” เดิมในวันนี้ไทเฮาทรงเพียงต้องการให้ซูหลีได้รับความลำบากเท่านั้น อย่างไรนางก็เป็นบุตรของราชเลขากรมขุนนาง อีกทั้งซูไท่มีบุตรชายเพียงคนเดียวก็คือซูหลี
หากนางทำอะไรกับซูหลีจริง และมีข่าวลือออกไปก็คงไม่น่าฟังเท่าไรนัก
มิหนำซ้ำจะทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ในราชสำนักอีก
ไทเฮาทรงเป็นผู้ที่เฉลียวฉลาดปราดเปรื่อง เป็นธรรมดาที่ไทเฮาจะไม่ทรงกระทำเรื่องที่เสมือนยกก้อนหินทุ่มใส่เท้าตนเองเช่นนี้!
แต่คิดไม่ถึงว่าซูหลีจะมีท่าทีเช่นนี้!
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ นางนั้นมีฐานะสูงส่งเป็นถึงไทเฮา ทว่ากลับต้องยืนคุยกับซูหลีเช่นนี้