หัวใจที่ยินดีเมื่อได้พานพบกันอีกครั้งกลับกลายเป็นเยือกเย็นเมื่อได้ยินคำพูดของซือหยู
ใช่แล้ว ซือหยูเป็นบุรุษผู้มีภรรยา เขาเพียงแค่ปฏิบัติต่อนางแบบเพื่อน…แม้ว่านางจะดูงดงามกว่าฉินเซี่ยนเอ๋อ แม้ว่าหัวใจของนางจะมีเขาแต่เพียงผู้เดียว
เซี่ยจิงหยูจิกมือตัวเองและเดินตามซือหยูไป หลังจากที่ลังเลอยู่นาน นางพูดด้วยเสียงที่เบาราวกับว่านางคนเดียวจะได้ยิน
“แล้วถ้าคนที่ข้าปรารถนาคือเจ้าล่ะ…?”
แม้ว่าเสียงของเซี่ยจิงหยูจะเบาอย่างมาก มันก็ได้ยินอย่างชัดเจนในป่ารกที่เงียบกริบ
ซือหยูที่เดินอยู่ด้านหน้าหยุดนิ่งไป เขาหยุดเดิน หัวใจเต้นแรงอย่างมาก
เขาผ่านโลกมามาก เขาเข้าใจในน้ำหนักของคำพูดนาง แม้ว่าเขาจะเคยร่วมเตียงกับนางในระยะเวลาสั้นๆที่เกาะเฉินยี่ เซี่ยจิงหยูในตอนนั้นก็ร้องไห้เพราะชื่อเสียงของนางได้หม่นหมอง
ในตอนนั้น ซือหยูรู้ว่าเซี่ยจิงหยูคิดต่อเขาดั่งสหาย และนางก็ไร้ความรู้สึกใด จากนั้นซือหยูก็แค่เคารพนับถือนาง เขาไม่ได้มีความคิดที่จะก้าวข้ามขอบเขตนี้
แต่ในตอนนี้ซือหยูไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าคำพูดแบบนั้นจะออกมาจากปากของเซี่ยจิงหยู
ซือหยูหันไปมองเซี่ยจิงหยูด้วยความสับสน ในใจนั้นรู้สึกยินดี เซี่ยจิงหยูคือสตรีที่สมบูรณ์แบบที่สุดที่เขาเคยพบเจอมาในสองชีวิต
นางงดงามอย่างไร้คู่เปรียบ อ่อนโยนดั่งวารี หนักแน่นดั่งหินผา ทุกส่วนของนางสมบูรณ์แบบไร้คำติติง นางมิใช่คนจากโลกใบนี้
ซือหยูก็หวังว่าภรรยาของเขาจะสมบูรณ์แบบได้เช่นนี้
แต่เขามีคู่หมั้นอยู่แล้ว นางมิได้งดงามเท่าเซี่ยจิงหยู มิได้อ่อนโยนเท่าเซี่ยจิงหยู และมิได้สง่างามเท่าเซี่ยจิงหยู
แต่อย่างไร เมื่อเวลาผ่านไป นางก็น่ารักและเฉลียวฉลาดอย่างมาก ดังนั้นจึงไม่มีสตรีใดที่จะครองตำแหน่งในใจของซือหยูไปจากนางได้
ไม่รู้ว่าเซี่ยจิงหยูไปเอาความกล้ามาจากที่ใด นางกลับมองตาซือหยูแทนที่นางจะก้มหน้าและรอคอยคำตอบ นางรอให้ซือหยูตอบในตอนนี้
ซือหยูคิดอยู่กับตัวเอง เขามองไปยังใบหน้างดงามพร้อมกับยักไหล่และหัวเราะอย่างผ่อนคลาย
“ข้าไม่คิดว่าข้าจะคู่ควรกับเจ้าหรอก”
กับสตรีสมบูรณ์แบบเช่นนี้ อาจจะไม่มีใครบนโลกนี้เลยด้วยซ้ำที่คู่ควรจะอยู่ร่วมกับนาง
หัวใจที่หม่นหมองของเซี่ยจิงหยูกลับมาเต็มไปด้วยแสงสว่างอีกครั้ง ซือหยูมิได้ไม่ชอบนาง เขากลับรู้สึกว่าเขาไม่คู่ควรกับนาง คำตอบเช่นนี้ทำให้เซี่ยจิงหยูโล่งอก ใบหน้านางกลับมามีสีสันที่ทำให้ไม่มีใครกล้าจะมองหน้านางตรงๆ
“ข้าก็แค่ถามไปเล่นๆน่ะ”
เซี่ยจิงหยูหัวเราะ เสียงของนางไพเราะน่าฟัง
เล่นๆหรอกรึ? ซือหยูโล่งอกเช่นกัน
ทั้งสองเข้าไปยังป่ารก
มีร่องรอยของคนที่เข้ามาในป่านี้อยู่มาก ดูเหมือนว่าที่นี่จะถูกค้นสมบัติไปนานแล้ว ซือหยูถอนหายใจและไม่ได้หวังอะไรมากนัก
แน่นอนว่าเมื่อเขาเข้ามาถึงกลางป่า กำแพงที่เก่าแก่อย่างมากและพังไปแล้วตั้งอยู่ เหนือกำแพงมีแสงอ่อนๆและรูปภาพที่มองไม่ค่อยชัด
ซือหยูยืนใกล้กำแพง เขารู้สึกได้ว่าวิญญาณของเขากำลังเพิ่มระดับสูงขึ้น ความคิดอ่านของเขาไหลลื่นไร้สิ่งกีดขวาง
เพียงเท่านี้ ระดับความเข้าใจในวิชาบ่มเพาะของเขาก็ไปในระดับที่ลึกขึ้น วิชาที่ยากจะบ่มเพาะกลับมีองค์ความรู้ไหลผ่านเข้ามา
โอรสสวรรค์จ้องนภา ดัชนีพันสายฟ้า อรหันต์แปดอักษร วิชาร่างเทียม ทุกวิชานั้นเหมือนมีเงาแสงค่อยๆหลั่งไหลอยู่ในหัว
ซือหยูตื่นเต้น เขาตระหนักว่าในที่แบบนี้ เขาจะบ่มเพาะวิชาได้สำเร็จอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น
แต่แสงอ่อนๆบนกำแพงที่เปล่งประกายก็อ่อนลงหลังจากนั้น ซือหยูออกจากการบ่มเพาะพลังในไม่นาน
ความรู้สึกที่บ่มเพาะพลังได้ไหลลื่นนั้นหายไปทันที ซือหยูรู้สึกเสียดาย
“พวกเรามาสายไป พลังวิเศษบางอย่างเคยอยู่ในกำแพงนี้ ทุกคนที่เข้ามาถึงกำแพงคงได้บ่มเพาะวิชาไปมาก แต่กำแพงนี้ถูกคนใช้มาหลายปี ผลของมันถึงอ่อนลงไปมาก มันไม่เหมือนกับอดีตอีกแล้ว”
เซี่ยจิงหยูที่สังเกตซือหยูหัวเราะ
“พี่หยูก็มีเวลาที่ต้องพ่ายแพ้เหมือนกันรึ?”
ในความทรงจำของนาง ไม่มีสิ่งใดที่เป็นไปไม่ได้สำหรับซือหยู เขาไม่เคยพลาดในการทำสิ่งที่ต้องการจะทำสักครั้ง
ซือหยูหัวเราะ
“ข้าเจอเรื่องเช่นนั้นมากนักในทวีปเฉินหลง”
เซี่ยจิงหยูรู้สึกเจ็บปวดเล็กๆเมื่อได้ยินคำพูดนั้น โชคของนางดีอย่างมาก หลังจากที่มาถึงทวีปเฉินหลง นางได้รับการบ่มเพาะโดยตรงจากราชาแห่งความมืด และนางก็ไม่เคยพบกับสิ่งที่ไม่สะดวกหรือต้องเจ็บปวดเลยแม้แต่น้อย ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่นางไม่เคยพบกับอันตรายใด
ส่วนซือหยูเอง เขาต้องเติบโตทีละก้าวในย่างก้าวแห่งความตาย
“พี่หยู ถ้าหากไม่ว่าอะไร ทำไมไม่ให้ข้าช่วยพี่บ่มเพาะวิชาล่ะ?”
เซี่ยจิงหยูยิ้มอย่างน่าหลงใหล นางยื่นมือเรียบเนียนเข้ามา
ซือหยูงุนงงและไม่เข้าใจว่านางหมายถึงสิ่งใด
“พี่ลืมไปแล้วรึว่าฎีกาสวรรค์ของข้ามาจากพี่น่ะ? ร่างกายของพวกเขามาจากต้นกำเนิดเดียวกัน และถ้าฎีกาสวรรค์ได้หลอมรวมกัน พี่ก็จะหยิบยืมสิ่งที่ข้ารับรู้ไปได้”
เซี่ยจิงหยูหน้าแดงขึ้นมาเล็กน้อย นี่คือหนึ่งในความสัมพันธ์ของนางกับซือหยู
ในโลกใบนี้ มีแค่ซือหยูผู้เดียวเท่านั้นที่จะใช้วิธีการเช่นนี้หยิบยืมสิ่งที่นางรู้และเชี่ยวชาญในวิชามาได้
ซือหยูสับสนในทีแรก แต่เขาก็จำเรื่องราวในป่าอสูรได้ในไม่นาน ในอดีต เขาได้หลอมรวมฎีกาสวรรค์กับนางและยังบ่มเพาะพลังด้วยกัน ในการหลอมรวมนั้น การบ่มเพาะวิชาไหลลื่นขึ้นกว่าที่เคย
ส่วนเรื่องระดับปัญญาของเซี่ยจิงหยูครั้งนั้น ในผลของวิชาเร่งเวลายี่สิบเท่า ซือหยูแทบจะไม่ล้ำหน้านาง เห็นได้เลยว่าระดับปัญญาของนางเหนือล้ำขนาดไหน
ซือหยูมองมือขาวราวหิมะและลังเลอยู่บ้าง จากนั้นเขาก็ยื่นมือไป นิ้วทั้งสิบของเขาผสานกับนิ้วทั้งสิบของนางอย่างมั่นคง
เซี่ยจิงหยูกระสับกระส่าย นางหน้าแดงอย่างมาก นางรู้สึกได้ว่าที่กลางฝ่ามือถูกโอบล้อมด้วยเพลิงอบอุ่นที่เบาสบาย
ซือหยูรู้สึกประหลาดเช่นกัน ใบหน้าของเขาเขินอาย เขาพูดด้วยความกระอักกระอ่วน
“มาเริ่มกันเถอะ!”
ทั้งสองนั่งลง ด้วยฎีกาสวรรค์พิสุทธิ์ของซือหยู เขาแทบจะไม่ต้องตั้งใจมากนัก เขาปล่อยพลังระดับต่ำสุดของฎีกาสวรรค์ออกมาได้
ฎีกาสวรรค์ของเซี่ยจิงหยูก็สำเร็จขอบเขตที่น่าตกใจในระดับเทพ นางใช้พลังฎีกาของซือหยูได้เช่นกัน เมื่อฎีกาสวรรค์ของทั้งคู่รวมเป็นหนึ่ง วิญญาณของทั้งสองได้เข้าถึงบางสิ่งของเสียงที่สะท้อนกลับมา
ด้วยสิ่งนี้ ระดับปัญญาอันเหนือมนุษย์ของเซี่ยจิงหยูจึงถูกซือหยูยืมเอาไป
ในตอนที่พวกเขาหลอมรวมกัน ดวงวิญญาณของซือหยูพุ่งขึ้นไปในระดับที่สูงกว่าเดิม จิตใจของเขาแจ่มใสเป็นอย่างมาก! ราวกับว่าโลกไม่เคยสดใสเท่านี้มาก่อน! ความไหลลื่น ความยินดี และความงดงามทางความรู้สึกเหล่านี้เป็นสิ่งที่ซือหยูไม่เคยพบเจอ
เทียบกับเซี่ยจิงหยูเมื่อสามปีก่อน ระดับปัญญาของนางในตอนนี้ทรงพลังกว่าเดิมมากกว่าร้อยเท่า! หรือพูดอีกอย่างก็คือ…ถ้าเทียบกับคนธรรมดา ระดับปัญญาของนางแข็งแกร่งมากกว่าพันเท่า!
นี่มิใช่สิ่งที่จะมีได้โดยมนุษย์ แม้จะเป็นจ้าวเทวะ ไม่ต้องพูดถึงคนในขอบเขตภูติ…มันเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน
ปัญญาของนางลึกล้ำจนแม้แต่สมบัติที่เทียนจี่จื้อทิ้งเอาไว้ก็มิอาจเทียบได้ กับซือหยูที่อยู่ในสถานะนี้ ณ ตอนนี้!
ซือหยูตกตะลึง ไม่ว่าเขาจะโง่เขลาเพียงใด เขาก็รู้ว่านี่ไม่ใช่ระดับปัญญาที่มนุษย์เป็นผู้ครอบครอง!
เซี่ยจิงหยูเป็นมนุษย์จริงๆรึ?
ซือหยูที่เต็มไปด้วยความแปลกใจถูกพาไปยังโลกแห่งปัญญาของนาง