สมองของเขาเริ่มเข้าใจในหลายวิชาที่ได้บ่มเพาะมา กำแพงอันยากลำบากที่ต้องเจอกลับผ่านไปได้โดยง่าย!
เขาไม่เคยรุดหน้าเลยหลังจากที่ถึงระดับสองขั้นสูงของเก้าดัชนีอัสนีจินตนา แต่ตอนนี้ความเข้าใจกลับผุดราวน้ำพุที่ส่งตรงพาเขาไปถึงระดับสามขั้นสูง
หมอกสีม่วงปรากฏที่ผิวกายซือหยู มันเป็นดั่งหมอกศักดิ์สิทธิ์ แต่หากมองดูใกล้ๆจะพบว่าหมอกนั้นคือพลังสายฟ้าที่น่าตกใจ หมอกราวสรวงสวรรค์ยากจะบอกว่าเป็นของจริงหรือไม่
ในตอนนั้น ซือหยูที่กำลังทำความเข้าใจวิชาค่อยๆยกดัชนีขึ้น หมอกสายฟ้าเข้ารวมตัวที่ปลายดัชนี บางครั้งก็กลายเป็นวิหคที่มีชีวิตชีวา บางครั้งก็กลายเป็นหนอน บางครั้งก็กลายเป็นสิ่งงของ
มันเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องสิบรูปร่าง เซี่ยจิงหยูที่อยู่ข้างๆตกใจ สายฟ้าเปลี่ยนแปลงเป็นรูปลักษณ์ที่ดูมีชีวิตได้อย่างไม่น่าเชื่อ น่ามิอาจบอกได้ว่ามันเป็นของจริงหรือภาพลวงตา นี่คือขั้นสุดท้ายของดัชนีพันสายฟ้า…ดัชนีสายฟ้าลวง!
เปลี่ยนแปลงได้เป็นทุกสิ่งโดยใช้สายฟ้า นั่นจะทำให้เกิดภาพลวงแต่ก็ยังคงมีพลังสังหาร เพราะอย่างไรมันก็เป็นวิชาอัสนี
ต่อมาหมอกรอบกายซือหยูก็ยิ่งหนาขึ้น เขาบ่มเพาะไปถึงระดับสามขั้นกลาง!
ในครั้งนี้ สิ่งที่หมอกสายฟ้าสร้างขึ้นนั้นสมจริงยิ่งขึ้นไปอีก ยากที่จะรู้ได้หยั่งถึงว่าเป็นภาพลวงนอกจากจะมองดูใกล้ๆ
สุดท้ายสายฟ้าก็แปรเปลี่ยนอีกครั้ง ตอนนี้มันเต็มไปด้วยคุณสมบัติวิญญาณ! นี่คือสัญญาณที่บ่งบอกว่าวิชากำลังไปถึงระดับสามขั้นสูง!
ซือหยูหยุดการบ่มเพาะ หมอกสายฟ้ารอบๆรวมตัวเป็นร่างมนุษย์ นั่นคือซือหยู!
รูปลักษณ์ เสื้อผ้า ฐานพลัง และแม้แต่สัญญาณชีพ ทุกสิ่งถูกลอกเลียนอย่างเหมือนจริง ทั้งสองนั่งอยู่ข้างกัน เซี่ยจิงหยูมิอาจแยกได้ว่าร่างไหนคือร่างลวงหรือร่างจริง
“ข้าไปถึงระดับสูงสุดของวิชานี้แล้ว”
ซือหยูหายใจยาว เขาบ่มเพาะดัชนีพันสายฟ้ามาเป็นเวลานานที่สุด ในที่สุดเขาก็บ่มเพาะมันจนสำเร็จ
ระดับสามของวิชานั้นจะสร้างภาพลวงได้ นี่เป็นจริงที่ซือหยูไม่คาดคิด
ตอนนี้เขาสามารถเรียกสายฟ้าได้ตลอดเวลาในการต่อสู้ ซือหยูคาดหวังในวิชาอย่างมาก เขาแอบให้มีคนมาหาเรื่องเข้าด้วยซ้ำเพื่อที่จะได้ทดสอบพลังโดยรวมของวิชานี้
ซือหยูรู้สึกขอบคุณในโอกาสที่ได้รับ เซี่ยจิงหยูก็พอใจเช่นกัน นางดีใจมาก
นางยิ้ม
“พี่หยู มีวิชาอื่นใดอีกหรือไม่? มาเรียนรู้ด้วยกันเถอะ”
ซือหยูไม่ละลด เขาหลับตาทันทีและคิดถึงโอรสสวรรค์จ้องนภา อรหันต์แปดอักษร และวิชาร่างเทียม เขาฝึกสามวิชาในคราเดียว
ต่อมา พลังวิญญาณเอ่อล้นออกมาจากเหนือศีรษะของเขาขณะที่บ่มเพาะก่อนจะกลายเป็นร่างเทียมสองร่าง หนึ่งร่างมีสีแดงเพลิง ส่วนอีกร่างนั้นโปร่งใส
นี่คือร่างเทียมที่สอง! ถ้าบ่มเพาะวิชาร่างเทียมถึงระดับสูงสุดเขาจะเรียกร่างเทียมออกมาได้สามร่าง แต่เพราะวิชานี้เป็นเพียงเศษเสี้ยว เขาจึงทำได้แค่บ่มเพาะถึงขั้นสองและในร่างเทียมเพิ่มขึ้นมาสองร่าง
แต่เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว นับว่าเขาบ่มเพาะวิชาร่างเทียมได้เสร็จสิ้น
ต่อมาคืออรหันต์แปดอักษรและโอรสสวรรค์จ้องนภา อรหันตค์แปดอักษรนั้นเป็นเศษวิชาที่เสียหาย แต่เดิมวิชามีสี่ขั้น แต่ก็หลงเหลือเพียงหนึ่ง มันแบ่งเป็นขั้นแรกเริ่ม ขั้นต้น ขั้นกลาง และขั้นสูง
ซือหยูบ่มเพาะมันจนถึงขั้นต้น คำว่า ‘ปิง’ ปลดปล่อยออกมาได้เหมือนกับทั้งกองทัพพุ่งไปข้างหน้า พลังของมันน่าประทับใจ แต่มันก็ค่อยๆลดบทบาทไปเมื่อพลังของซือหยูเพิ่มขึ้น เขาไม่ได้ใช้มันมานานแล้ว
นี่เป็นโอกาสที่เขาจะได้เพิ่มระดับวิชา ซือหยูรีบเข้าสู่ภาวะบ่มเพาะอย่างเข้มข้น
หลายแห่งที่ไม่เข้าใจเริ่มชัดเจนยิ่งขึ้น แต่ก็ยากที่จะเข้าใจวิชาระดับตำนาน แม้ว่าจะอยู่ในภาวะระดับปัญญาที่เพิ่มขึ้นเป็นพันเท่า
เขาเรียนรู้วิชาระดับอำมฤตทั้งเล่มได้เหมือนกับวิชาร่างเทียมและวิชาดัชนีพันสายฟ้า แต่ก็ยากที่จะเข้าใจในแก่นแท้ของวิชาระดับตำนาน สิ่งนี้ดำเนินต่อไปครึ่งชั่วยาม
เซี่ยจิงหยูใช้ฎีกาสวรรค์ของนางอย่างยาวนาน นางมิอาจทนได้อีกต่อไป ในศีรษะเวียนวน แต่ซือหยูกำลังอยู่ในจุดสำคัญของการบ่มเพาะ เซี่ยจิงหยูจึงต้องทนกัดฟันต่อไป อีกครึ่งชั่วยามผ่านไป แต่ซือหยูก็ยังไม่ถึงจุดที่จะสำเร็จพลัง
ฟึ่บ ฟึ่บ–
ในตอนนั้น สองคนบินมาจากเมฆา หนึ่งในนั้นคือฉีเจี้ย ส่วนอีกคนคือหมิงเฟย! หรือก็คือจางตี๋เก้อ ภูติสวรรค์ที่มีพลังขอบเขตภูติ!
“ท่าน มันอยู่นั่น!”
ฉีเจี้ยพูด
เขาได้รับคำสั่งให้สำรวจสมบัติที่ห้ายอดเขา เขาพบว่าเหล่าจ้าวแห่งความมืดกำลังต่อสู้อยู่กับคนจากจิวโจวที่นี่ เขาสงสัยว่าสมบัตินั้นยังไม่ถูกค้นพบ
หมิงเฟยเหลือบมอง นางมองกำแพงที่แตกสลายที่กลางพื้นที่ นางใจหาย
“นี่รึสมบัติที่เจ้าพูดถึง? มันถูกทำลายไปนานแล้ว!”
ฉีเจี้ยตัวสั่น เขารีบคุกเข่าขอความเมตตา แต่หมิงเฟยก็ไม่สนใจ นางมองไปเห็นสองคนที่กำลังทำสมาธิอยู่
“หยินหยูรึ?”
หมิงเฟยตกใจ นางนึกถึงตอนที่ซือหยูพยายามหาทางหนีให้พวกเขาในช่วงเวลาวิกฤติในป่าศิลา
นางมองผ่านเขาไปหาเซี่ยจิงหยู นางสับสนในทีแรกแต่ก็สัมผัสได้ถึงความคุ้นเคย เมื่อมองเสื้อผ้าและรูปร่างก็มีจิตสังหารแผดเผาในดวงตา
“นั่นมันเจ้า! ทาสของข้า ยี่หยู!”
หมิงเฟยขมวดคิ้ว จิตสังหารแผ่ไปถึงสองคนนั้น
นางสังเกตว่ายี่หยูกำลังอยู่ในจุดสำคัญของการบ่มเพาะ นางหัวเราะอย่างเยือกเย็น
“ไม่คิดว่าจะต้องมาเจอข้าในสถานการณ์นี้สินะ? เจ้ากับราชาปีศาจหิมะทมิฬทำข้าไว้แสบนักนะ!”
นางบาดเจ็บสาหัสจากชายแก่ขี้เมาเพราะการทรยศของทั้งสอง และบาดแผลของนางก็ยังไม่หายดี นางจึงพยายามจะแก้แค้นให้ได้
นางก้มลงมองหนึ่งในนั้น จ้าวยี่หยู! เซี่ยจิงหยูหัวเราะอย่างขมขื่น เมื่อคิดว่าจะต้องมาต่อสู้ในเวลาที่สำคัญเช่นนี้!
ซือหยูกำลังจะทะลวงพลัง นางมิอาจล้มเลิกและหนีไปได้! ถ้าซือหยูตื่นขึ้นตอนนี้ สิ่งที่เขากำลังเรียนรู้มาจะถูกขัดขวาง และด้วยนิสัยใจคอของซือหยู เขาจะต้องต่อสู้กับจางตี๋เก้อเพื่อนาง
เซี่ยจิงหยูทำใจให้เย็นลง
“จางตี๋เก้อ ค่อยพูดเรื่องความบาดหมางทีหลังเถอะ หยินหยูไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้!”
หมองเฟยยิ้ม นางมองซือหยู
“หึหึ เจ้าหนุ่มน้อยนี่โชคดีจริงๆถึงได้มีสตรีที่งดงามอย่างเจ้ามาปกป้อง! ข้าก็ติดหนี้ที่เขาให้ข้ามาถึงชั้นแปดของกระโจมเทพ! ข้าไม่คิดจะทำร้ายเขา ข้าต้องตอบแทนอยู่แล้ว เจ้าก็รู้”
เซี่ยจิงหยูถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่จางตี๋เก้อก็หัวเราะอย่างเยือกเย็น
“แต่ข้าเปลี่ยนใจแล้ว! ยิ่งเจ้าเป็นห่วงมันเท่าใด ข้าก็ยิ่งไม่อาจไว้ชีวิตมันได้! นี่คือสิ่งที่ต้องเสียถ้าหักหลังข้า! แล้วมันก็ยังมีของหลายอย่างที่เหมาะกับข้า ข้าไม่คิดจะไว้ชีวิตมันหรอก!”
เพราะอย่างไร ทั้งลำดับห้าธาตุ เกราะราชาศิลานิรันดร์ และสิ่งอื่นที่นางยังไม่มีอีกมากมาย และด้วยสภาพที่บาดเจ็บ เซี่ยจิงหยูสีหน้าขมขื่น นางมองซือหยูอย่างรู้สึกผิด
พรึ่บ–
เซี่ยจิงหยูหยิบเอาเข็มขนนกแห่งความมืดออกมา นางพูดอย่างใจเย็น
“สมบัติกึ่งวิญญาณนี้จะทำให้ฐานพลังของข้าไปถึงขอบเขตภูติได้ชั่วคราว ถ้าข้าไปถึงพลังนั้น ข้าจะถูกย้ายออกไป การล้างแค้นของเจ้ามันก็เท่านั้น!”
“แน่นอนว่าถ้าข้าลงมือก่อนจะออกไป เจ้าก็ต้องออกจากร่างนั้น ถ้าหากร่างจริงเผยออกมา เจ้าก็ต้องถูกย้ายออกไปเหมือนกัน!”
หมิงเฟยมองเข็มขนนกแห่งความมืด สีหน้านางเคร่งเครียด
“ย่อมได้ ถ้าเจ้ามีสมบัตินั่น! ข้าประมาททวีปเฉินหลงไปจริงๆ! แต่ถ้าเจ้าคิดจะขู่ข้า นั่นก็ไร้ประโยชน์! ถึงข้าจะทิ้งร่างนี้ไป ข้าก็จะฆ่าพวกเจ้าอยู่ดี!”
หมิงเฟยใบหน้าดุร้าย
เซี่ยจิงหยูชักสีหน้า จางตี๋เก้อเป็นภูติที่ดื้อด้านนัก คำขู่ของนางกลับได้ผลตรงข้าม! และตอนนี้นางอาจจะต้องใช้เข็มขนนกแห่งความมืดจริงๆและตายไปพร้อมกับจางตี๋เก้อ
แต่ในตอนนั้น จางตี๋เก้อก็พูดขึ้นว่า
“แต่ฆ่าเจ้าไปอย่างนั้นก็ไร้ความหมาย ถ้าเจ้ารับข้าได้หนึ่งกระบวนท่า ข้าคิดถึงการประลองกับเจ้าทั้งสองคน”
รับหนึ่งกระบวนท่ารึ?
แม้ฐานพลังของนางจะถูกจำกัดให้ต่ำกว่าขอบเขตภูติ นางก็ยังมีพลังในขั้นสูงสุดของขอบเขตอำมฤต กระบวนท่าเดียวสามารถสังหารเซี่ยจิงหยูได้แน่นอน!
ดูเหมือนว่าจะเป็นคำแนะนำที่ยุติธรรม แต่จิตสังหารแอบซ่อนอยู่ในนั้น นางไม่มีทางมีชีวิตรอดแน่
“คิดให้ดี เจ้าจะตายไปด้วยกันหรือให้เขารอด นี่คือตัวเลือกที่ปรานีที่สุดที่ข้าจะให้เจ้าทั้งสองได้”
เซี่ยจิงหยูคิดหนัก นางเหลือบมองซือหยูก่อนจะกัดฟัน
“ก็ได้ ข้ายอมรับ!”
นางใช้เข็มขนนกแห่งความมืดจากนั้นจึงเพ่งพลังวารีทั้งหมด นางหวังว่านางจะมีโอกาสรับกระบวนท่านั้นได้ แต่สถานการณ์ในตอนนี้กำลังย่ำแย่
“หึหึ ถ้าเจ้าตัดสินใจไปแล้ว ก็ยืนเฉยๆให้ข้า!”
หมิงเฟยยิ้มอย่างชั่วร้าย
นางที่เป็นขอบเขตภูติมานานมั่นใจว่านางจะฆ่าราชามนุษย์ด้วยกระบวนท่าเดียวได้แน่นอน ในสายตาของนางมองว่าอีกฝ่ายเพียงแต่หวังว่าจะโชคดี และรนหาที่ตาย!
ถ้าหากนางสังหารยี่หยูแล้ว ชะตากรรมของหยินหยูก็ไม่ต่างกัน เซี่ยจิงหยูมองซือหยู นางจดจำใบหน้านั้นผ่านดวงตา หลังจากที่ฝังใบหน้าลงในความทรงจำ นางก็เตรียมจะหันกลับไป แต่ตอนนั้นก็มีมือที่ทรงพลังและอ่อนโยนคว้าตัวนางเอาไว้
ซือหยูลืมตาขึ้น แววตานั้นรู้สึกขอบคุณจนยากจะชั่งได้ คนคนเดียวที่จะตายเพื่อเขาในสถานการณ์นี้ก็คือเซี่ยจิงหยู
“พี่เลิกบ่มเพาะรึ?”
เซี่ยจิงหยูรู้สึกผิด
“ขออภัยที่เจ้าต้องมาเกี่ยวข้องด้วย”
ซือหยูมองนาง เขามองสตรีผู้นี้ที่บริสุทธิ์ดั่งบัวหิมะ ความเป็นห่วงของนางได้ทำให้เขาอิ่มใจ เขาหัวเราะเขาๆ
“วิชาก็สำคัญ แต่เจ้าสำคัญกว่ามากนัก”
ในตอนนั้น เซี่ยจิงหยูใจเต้นแรง นางหน้าแดงและมิอาจอธิบายความสุขในใจได้
ซือหยูดึงเซี่ยจิงหยูไปข้างหลังพร้อมกับก้าวไปข้างหน้า เขามองหมิงเฟยอย่างเย็นชา
“จบความบาดหมางของเราที่นี่เถอะ”
ตั้งแต่ก้นบึ้งเก้ามังกรมาถึงที่นี่ ในที่สุดเป็นเวลาที่เรื่องทุกอย่างจะจบลง