ห้องหนังสือตระกูลเจิ้น
เจิ้นเซ่าเฉินยืนตัวตรงดิ่ง ก้มศีรษะลงเล็กน้อย วางท่วงท่าไว้ต่ำสุด
ส่วนที่อยู่ตรงหน้าเขา คือผู้ชายวัยกลางคนที่มีลักษณะคล้ายกับเขาในระดับหนึ่งกำลังนั่งอยู่ นอกจากเจิ้งกั๋วโสงแล้วยังมีใครได้อีก?
“เซ่าเฉิน ฟังคนข้างล่างบอกมา แกดึงเงินทุนหมุนเวียนครึ่งหนึ่งไปโจมตีสกัดราคาหุ้นของบริษัทตระกูลเฉิน?”
เจิ้งกั๋วโสงขมวดคิ้วแน่นขึ้นมา พูดอย่างค่อนข้างไม่พอใจ “แต่ไหนแต่ไรมา แกไม่ใช่คนที่วู่วาม นี่มันเกิดเรื่องอะไรกัน?”
“พ่อครับ ไม่ใช่ผมวู่วาม เป็นเรื่องจำใจที่ต้องทำจริงๆ ครับ!”
เจิ้นเซ่าเฉินหัวเราะขมขื่นพลางส่ายหน้า “ธรรมบาลฝั่งซ้ายไม่พอใจความคืบหน้าของพวกเราเอามากๆ อยากเข้ามาด้วยตัวเองครับ”
“อะไรนะ? ธรรมบาลฝั่งซ้ายจะเข้ามา!”
ชั่วขณะนั้นเจิ้งกั๋วโสงตกใจจนอดยืดหลังตรงขึ้นไม่ได้ “นี่คือมันตั้งแต่เมื่อไรกัน?”
“โทรศัพท์มาหาผมเมื่อเช้านี้ครับ คาดว่าในสองวันนี้จะมาถึงเจียงหนันครับ”
เจิ้นเซ่าเฉินพยักหน้า พูดอย่างขมขื่น “เขาเตือนผมว่า ถ้ารอเขาเข้ามา แล้วพวกเราทำผลงานอะไรออกมาไม่ได้ล่ะก็ เขาจะลงโทษพวกเราครับ”
“พ่อครับ วิธีการของธรรมบาลฝั่งซ้ายพ่อรู้ดียิ่งกว่าผมอีก เฉินหยังบีบให้ลงจากตำแหน่งแต่ก็ล้มเหลว ผมคิดหาวิธีอะไรไปต้านบริษัทตระกูลเฉินที่ดีกว่านี้ไม่ได้แล้วจริงๆ ครับ”
สีหน้าเจิ้งกั๋วโสงเปลี่ยนไปนิดหน่อย คิดเชื่อมโยงถึงวิธีการโหดเหี้ยมของธรรมบาลฝั่งซ้ายพรรคชิงเฉิงแห่งนั้นขึ้นมา ก็รู้สึกเพียงเสียวสันหลังวาบ
เงียบงันอยู่พักหนึ่ง เจิ้งกั๋วโสงถึงถามด้วยเสียงทุ้ม “หมาป่าโลภทางนั้นล่ะ? เขายังไม่ติดต่อมาอีกเหรอ?”
“ไม่ครับ”
“นี่ก็น่าแปลกแล้ว ในเมื่อหมาป่าโลภอยากได้ยาชีวภาพ ทำไมช่วงเวลานี้ถึงไม่มีการเคลื่อนไหวเลยล่ะ?”
เจิ้งกั๋วโสงบ่นพึมพำสักหน่อย ราวกับนึกอะไรขึ้นได้ “เซ่าเฉิน แกว่าหมาป่าโลภจะรู้เหมือนกันรึเปล่าว่าพวกเราก็อยากได้ยาชีวภาพ ดังนั้นเขาถึงไม่ติดต่อพวกเราแล้ว?”
“น่าจะเป็นไปไม่ได้นะครับ”
เจิ้นเซ่าเฉินส่ายหน้าเล็กน้อย “ตอนที่ผมกับหมาป่าโลภติดต่อกันยังระมัดระวังตัว เขาน่าจะไม่รู้ว่าพวกเราก็ต้องการยาชีวภาพเหมือนกัน”
หน้าผากเจิ้งกั๋วโสงบีบแน่นจนเกิดรอยย่นสามเส้น พูดเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ “เซ่าเฉิน เรื่องราคาหุ้นของบริษัทตระกูลเฉินแกมีความมั่นใจรึเปล่า?”
“ครั้งนี้แกใช้เงินทุนหมุนเวียนครึ่งหนึ่งของตระกูลเลยนะ ถ้าเกิดล้มเหลว กลัวว่าจะทำให้ตระกูลเจิ้นของพวกเราถอยหลังสิบปี”
“พ่อครับ พ่อวางใจได้เลยครับ!”
เจิ้นเซ่าเฉินหัวเราะเล็กน้อย “ความผันผวนของราคาหุ้นบริษัทตระกูลเฉินครั้งนี้ นอกจากพวกเราตระกูลเจิ้นแล้ว ยังมีอิทธิพลอื่นอีก”
“ถึงแม้ผมจะยังไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่ดูจากสถานการณ์ในวันนี้ พวกเราก็ไม่ใช่พวกที่ธรรมดาอะไรครับ”
เจิ้งกั๋วโสงได้ยิน หัวใจที่พะวงถึงผ่อนคลายลงบ้างแล้ว แต่เงินทุนที่เอาไปใช้ในครั้งนี้มากเหลือเกินจริงๆ เขายังคงเลี่ยงไม่กังวลได้ยาก
“เซ่าเฉิน ฉันว่าสู้เอาแบบนี้ดีกว่า เรื่องของราคาหุ้นตระกูลเฉินก็เอาตามที่แกพูดไปก่อน แต่ว่า……”
“พรุ่งนี้แกคิดหาวิธีติดต่อหมาป่าโลภ ดูว่าทางนั้นสถานการณ์เขาเป็นยังไง”
“ถ้าเขามีแผนการอะไร แกต้องพยายามให้ความร่วมมือกับเขา!”
“พวกเราลงมือพร้อมกันทั้งสองทาง หวังว่าตอนที่ธรรมบาลฝั่งซ้ายเข้ามา พวกเราพอจะได้รับผลงานที่เอาออกมาโชว์ได้บ้าง!”
แนวทางมั่นคงนี้ของเจิ้งกั๋วโสง เจิ้นเซ่าเฉินย่อมไม่มีปัญหาอะไรเป็นธรรมดา “ครับ!”
ก๊อกๆ!
เวลานี้ ประตูห้องหนังสือกลับมีคนเคาะดังขึ้น
“เข้ามา!”
คนใช้ตระกูลเจิ้นคนหนึ่งก้าวเข้ามาอย่างค่อนข้างรีบร้อน เรียกสองพ่อลูกตระกูลเจิ้นด้วยความเคารพก่อนสักหน่อย จากนั้นถึงอธิบายเหตุผลที่มา
“นายท่านครับ คุณชายครับ เกิดเรื่องใหญ่แล้ว! คนของแก๊งไผ่เขียวและแก๊งเสือดำทั้งสองรวมตัวกันขึ้นมาลงมือกับแก๊งมังกรแล้วครับ”
“อะไรนะ? ทำไมถึงเป็นแบบนี้?”
เวลานี้แม้แต่เจิ้นเซ่าเฉินก็นั่งไม่ติดอยู่บ้างแล้ว “หลิวชิงกับเชิ่งหู่ไม่ใช่ไม่เคยร่วมมือกันเหรอ? ครั้งนี้จะร่วมมือด้วยกันได้ยังไง?”
หมาป่าโลภควบคุมแก๊งมังกรไว้อยู่ ถ้าแก๊งมังกรจบเห่ไปจริง งั้นแผนลงมือพร้อมกันทั้งสองทางที่พวกเขาพ่อลูกหารือกันเมื่อสักครู่โดยพื้นฐานสามารถพูดได้ว่าหมดหวังแล้ว
“คุณชายครับ นี่ผมก็ไม่ค่อยแน่ใจเหมือนกันครับ”
คนใช้ส่ายหน้าอย่างขมขื่น พูดรายงาน “แต่ ข่าวที่คนด้านล่างเพิ่งส่งมา ที่ถนนเฉียนจิ้นเชิ่งหู่กับหลิวชิงเข้ามาดักรองหัวหน้าแก๊งข่งเทียนเฉิงของแก๊งมังกรเอาไว้ เกรงว่าตอนนี้คงสู้รบกันขึ้นมาแล้วครับ”
ลูกตาล้ำลึกของเจิ้นเซ่าเฉินหมุนวนสองรอบ วางใจไม่ได้เลยจริงๆ จากนั้นเสนอแนะไปยังเจิ้งกั๋วโสงขึ้นมา
“พ่อครับ ผมอยากเข้าไปดูหน่อย”
สำหรับเรื่องนี้ เจิ้งกั๋วโสงไม่ได้ขัดขวางเช่นกัน
“แกระวังความปลอดภัยของตัวเองไว้หน่อย ถ้าสถานการณ์ไม่ปกติ รีบออกมาทันที!”
สำหรับเจิ้นเซ่าเฉิน เจิ้งกั๋วโสงยังพอใจมาก ไม่อย่างนั้นคงไม่เอาเรื่องใหญ่ของตระกูลเจิ้นให้เขาไปจัดการหรอก
เพียงแต่น่าเสียดาย ที่เจิ้งกั๋วโสงไม่ได้คาดการณ์ไว้คือ เจิ้นเซ่าเฉินที่แต่ไหนแต่ไรไม่เคยความผิดพลาด ถ้าเกิดผิดพลาดจะนำหายนะสูงสุดมาให้ตระกูลเจิ้น!
……
สถานีตำรวจ
เมื่อสักครู่จี้เยียนหรันเพิ่งพาจูยิ่วฟานพวกเขาสามคนกลับมา มองเห็นตำรวจกลุ่มหนึ่งรวมกำลังพลและเตรียมออกเดินทางทันที
“รวมตัวมากขนาดนี้ เกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้ว?”
ชั่วขณะนั้นคุณหนูใหญ่จี้ขมวดคิ้วแน่นขึ้นมา รีบขวางตำรวจนายหนึ่งก่อนจะสอบถามไป
“หัวหน้าจี้ครับ เมื่อสักครู่ได้รับรายงานจากประชาชน ที่ถนนเฉียนจิ้นทางนั้นพบว่ามีคนทะเลาะวิวาทกันครับ อย่างน้อยมีผู้เข้าร่วมหนึ่งร้อยกว่าครับ!”
“ถนนเฉียนจิ้น?”
จี้เยียนหรันสีหน้าเปลี่ยนนิดหน่อย “นั่นไม่ใช่แถวบริเวณจวี่เค่อโหลว!”
“ช่วยเอาสามคนนี้ไปไว้ด้านในห้องขังให้ฉันด้วย ไม่ว่าใครมาก็อย่าปล่อยเด็ดขาด รอฉันกลับมาจัดการต่อ!”
พิจารณาถึงตรงนี้ จี้เยียนหรันชี้ไปยังจูยิ่วฟานพวกเขาสามคน รีบร้อนมอบหมายกับตำรวจสักหน่อย จากนั้นสตาร์ทรถยนต์อีกครั้ง รีบตามด้านหลังทีมใหญ่มุ่งหน้าสู่ถนนเฉียนจิ้น
“เย่เทียน นายไอ้คนหลอกลวง แล้วมาบอกว่าจะไม่ก่อเรื่องใหญ่โตเกินไป!”
“ดีที่สุดนายอย่าอยู่ในเหตุการณ์ ไม่อย่างนั้นฉันจะจับนายเข้าไปอยู่ในคุกสักครึ่งเดือนให้ดู!”
หากเย่เทียนรู้ความคิดของจี้เยียนหรัน ต้องร้องโวยวายเป็นแน่
ตั้งแต่เริ่มต้น เย่เทียนไม่เคยคิดอยากทำอึกทึกครึกโครมเช่นนี้ แต่ทำอย่างไรได้หมาป่าโลภมันดันดักซุ่มอยู่ที่ถนนใหญ่อย่างไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น เขาคงไม่อาจยืนรอความตายได้มั้ง?
……
ในเมื่อข่งเทียนเฉิงสามารถนั่งตำแหน่งลำดับที่สองของแก๊งมังกรได้ ย่อมมีความสามารถของตนเองอยู่พอสมควรเป็นธรรมดา
นอกเหนือจากลองเชิงไม่กี่ท่าเมื่อก่อนหน้า หยางซิงแทบจะโดนกดขี่ไว้
โชคดีที่หยางซิงมองการณ์ไกลนำด้ามมีดพันไว้แน่น ไม่อย่างนั้นเกรงว่ามีดในมือคงหลุดมือไปตั้งแต่แรกแล้ว
แต่ถึงแม้จะเป็นแบบนี้ พอเผชิญหน้ากับข่งเทียนเฉิงที่ระเบิดความโกรธแค้นมา หยางซิงเพียงแค่สามารถต้านทานไว้ เดิมทีไม่มีทางโต้กลับได้
“ฝีมือแค่นี้ยังกล้าทำแผนการฉันพัง แกแม่งไปตายซะเถอะ!”
เห็นว่าหยางซิงต้านการจู่โจมของตนเองไว้อีก ข่งเทียนเฉิงเปลี่ยนท่าฉับไว ด้ามมีดกระแทกหน้าอกของหยางซิงอย่างรุนแรง
ลูกตาของหยางซิงหดเล็กน้อย แต่เขาในเวลานี้อยู่ในช่วงจังหวะเหมาะเจาะที่สุดถูกฝ่ายตรงข้ามโจมตีเข้า ได้เพียงมองด้ามมีดกระแทกเข้ามาอย่างช่วยไม่ได้
ปึง!
ด้ามมีดที่แข็งทื่อชนที่หน้าอกของหยางซิง ชั่วพริบตาเดียวความเจ็บปวดแผ่ซ่านออกมา
หยางซิงทนไม่ไหวร้องโหยหวนทีหนึ่ง เพียงรู้สึกว่าเลือดภายในร่างกายเดือดพล่านไม่หยุด แน่นหน้าอกหายใจลำบาก ควบคุมเท้าไม่อยู่ถอยหลังติดๆ กัน
ตอนที่เขาโซซัดโซเซใกล้จะหกล้ม กลับรู้สึกว่าด้านหลังเหมือนชนอะไรเข้า ร่างกายที่ล้มลงก็หยุดนิ่งในที่สุด ข้างหูมีเสียงที่หยาบกร้านดังขึ้น “ไอ้หนุ่ม นายเยี่ยมมาก!”
หยางซิงรีบเงยหน้ามองไปทันที คนที่รับเขาไว้ผู้นี้ก็คือเชิ่งหู่ที่รีบร้อนสู้รบเข้ามา….