ตอนที่ 538 มิตายใจ
ในขณะที่ทัวป๋าถิงฟางกำลังตกใจกับข่าวที่เพิ่งได้รับอยู่ในเรือนของตน นางก็ถูกพระชายาเรียกไปพบที่เรือนฝูหลิง
ทว่าตอนนี้นางได้กุมความลับของอันหลิงเกอไว้ในมือจึงมิเกรงกลัวแต่อย่างใด
“ทัวป๋าถิงฟาง เจ้ารู้จักเฉิงเอ๋อหรือไม่ ? ” ครั้นทัวป๋าถิงฟางมาถึงเรือนฝูหลิง อันหลิงเกอจึงให้คนข้างกายถอยออกไป จากนั้นก็ค่อย ๆ เดินไปตรงหน้าของทัวป๋าถิงฟางและเอ่ยถามด้วยเสียงเบาซึ่งในคำถามนั้นเต็มไปด้วยความสงสัย
“คนในเรือนของพระชายา เชี่ยเซินจะรู้จักได้เยี่ยงไรเจ้าคะ” ทัวป๋าถิงฟางยิ้มตอบแบบมิใส่ใจ
“หากเจ้ามิรู้จักแล้วรู้ได้เยี่ยงไรว่าเป็นคนในเรือนของข้า ? ” อันหลิงเกอจะยิ้มก็เหมือนมิยิ้ม จากนั้นก็หมุนตัวกลับไปนั่งในที่ของตน นางมองคำโป้ปดของทัวป๋าถิงฟางได้อย่างปรุโปร่งแล้ว
ทัวป๋าถิงฟางได้ยินก็หยุดชะงักอย่างฉับพลัน มือทั้งสองข้างกำแน่นด้วยความมิยอมแพ้ จู่ ๆ ก็นึกถึงไม้ตายสุดท้ายที่เพิ่งได้รับมา ทัวป๋าถิงฟางจึงแสยะยิ้มและเอ่ยถาม “หนานกงหลิงเยว่ มิทราบว่าพระชายารู้จักหรือไม่เจ้าคะ ? ”
หนานกงหลิงเยว่หรือ ? ทัวป๋าถิงฟางเอ่ยถึงคนผู้นี้ด้วยจุดประสงค์อันใด
ยังมิทันที่อันหลิงเกอได้พูดอันใด ทัวป๋าถิงฟางก็กล่าวต่อ “เมื่อมิกี่วันก่อน เชี่ยเซินได้ล่วงรู้ความลับที่เกี่ยวข้องกับพระชายาเข้า หากได้ยินมาจากคนข้างกายก็แล้วไป กระนั้นเรื่องของหอพิษกู่แห่งนี้เกรงว่ามิใช่เรื่องโกหกแล้วกระมัง”
“เจ้าอยากกล่าวอันใดกันแน่ ? เพราะมิอยากยอมรับผิดจึงตั้งใจพูดบ่ายเบี่ยงใช่หรือไม่ ? ”
จู่ ๆ อันหลิงเกอก็มีลางสังหรณ์ที่มิดีบางอย่างจึงทำการตัดบทสนทนาของทัวป๋าถิงฟาง
“พระชายาอย่าร้อนใจสิเจ้าคะ หรือท่านมิอยากรู้ความลับที่เกี่ยวกับตัวเอง ? ”
ทัวป๋าถิงฟางยิ้มเยาะเล็กน้อยโดยมิใส่ใจคำพูดของอันหลิงเกอ ถึงอย่างไรไม้ตายที่อยู่ในมือก็มากพอที่จะทำให้อันหลิงเกอมิอาจฟื้นมามีอำนาจได้อีก !
“ทัวป๋าถิงฟาง เจ้าคิดว่าเล่นลูกไม้เยี่ยงนี้แล้วจะรอดพ้นจากหายนะไปได้หรือ ? ” อันหลิงเกอข่มความมิสบายใจไว้ภายใน
“เชี่ยเซินก็เพิ่งเคยได้ยินว่ามีคนตายแล้วฟื้นขึ้นมาเป็นครั้งแรกเจ้าค่ะ อาจพูดผิดไปบ้าง เชี่ยเซินต้องขออภัยและหวังว่า…” ทัวป๋าถิงฟางเสแสร้งทำเป็นหวาดกลัว แต่นัยน์ตาทั้งสองกลับแฝงไปด้วยรอยยิ้ม
ฟางเส้นสุดท้ายของอันหลิงเกอก็ขาด ‘ผึง’ ทันใด
ทัวป๋าถิงฟางรู้ได้เยี่ยงไร !
เรื่องนี้หนานกงหลิงเยว่มิเคยเอ่ยถึง แต่…
“เจ้า…พูดเรื่องอันใดมิทราบ ? ”
“พระชายา พวกเราล้วนเป็นคนที่เข้าใจเรื่องราวโดยง่าย อย่าแกล้งทำเป็นสับสนทั้งที่รู้แก่ใจดี ควรทำเยี่ยงไรนั้นพระชายาชั่งน้ำหนักในใจดี ๆ เถิดเจ้าค่ะ”
แท้จริงแล้วแม้แต่ทัวป๋าหลิวลี่ยังคาดมิถึงว่าอันหลิงเกอก็มีความสามารถเยี่ยงนี้
อันหลิงเกอเกิดความสับสนและหวั่นวิตก เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้มีแค่ตนเท่านั้นที่รู้ นางเคยเล่าเรื่องนี้ในทำนองความฝันให้มู่จวินฮานฟัง แต่หากผู้อื่นล่วงรู้ก็เกรงว่าจะนำมาซึ่งอันตราย
อันหลิงเกอมิกล้านึกถึงเหตุการณ์หลังจากนี้ เรื่องราวการเกิดใหม่ของนางจะให้ผู้อื่นล่วงรู้มิได้เด็ดขาด !
มือที่งดงามดุจหยกได้กำหมัดแน่นส่งผลให้เล็บจิกลงในเนื้อ แต่นางมิได้รู้สึกถึงความเจ็บปวดเลย อันหลิงเกอมองไปยังทัวป๋าถิงฟางที่กระตุกยิ้มมุมปากอย่างยั่วยุด้วยแววตาที่แฝงไปด้วยความอันตรายอย่างชัดเจน
“เจ้าคิดทำอันใด ? ” อันหลิงเกอเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เพียงแต่มือที่ไพล่อยู่ด้านหลังกำลังออกแรงบีบจนเนื้อกลายเป็นสีขาวซีดเล็กน้อย
“เช่นนั้นพระชายาก็คงเข้าใจคำว่าเปิดตาข้างหนึ่งหลับตาข้างหนึ่งนะเจ้าคะ” ทัวป๋าถิงฟางกระตุกยิ้มลำพองใจ
แม้อันหลิงเกอตรวจสอบได้ว่าเฉิงเอ๋อเป็นคนของนาง แต่ก็จนปัญญาที่จะทำอันใดกับนาง
“เจ้ากำลังข่มขู่ข้าหรือ ? ” อันหลิงเกอกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก
“เชี่ยเซินมิบังอาจเจ้าค่ะ” แม้ทัวป๋าถิงฟางกล่าวด้วยท่าทางนอบน้อมแต่นัยน์ตากลับยั่วยุอารมณ์ได้ดีทีเดียว
“ทัวป๋าถิงฟาง เจ้ารู้หรือไม่ว่าการใช้ชีวิตอยู่ในจวนอ๋องมู่ ยิ่งรู้เยอะเพียงใดก็ยิ่งตายเร็วขึ้นเท่านั้น เพราะมีแค่คนตายที่สามารถเก็บความลับได้” อันหลิงเกอแสยะยิ้มเยือกเย็นและมองทัวป๋าถิงฟางโดยไร้ความรู้สึกใด
พอทัวป๋าถิงฟางได้ยิน แม้รู้ว่าภายในจวนมีทั้งความโลภและความเหี้ยมโหดดั่งที่อันหลิงเกอกล่าวไว้ แต่นางมิได้เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ
อย่างไรตรงหน้าก็เป็นผู้มีอำนาจในจวนอ๋อง แต่นางได้ควบคุมจุดอ่อนของอันหลิงเกอไว้แล้ว ยังต้องเกรงกลัวสิ่งใดอีก ?
ทัวป๋าถิงฟางเอ่ยด้วยน้ำเสียงมั่นใจ “พระชายาช่างน่าขันเสียจริง ทุกคนในจวนต่างก็รู้กันหมดว่าเชี่ยเซินมายังเรือนฝูหลิง”
ความหมายคือถ้านางมิได้กลับออกไป สาเหตุก็มิต้องคิดให้มากความ
“หึ เอ่ยวาจาไร้มารยาทต่อพระชายา เหยียบย่ำศักดิ์ศรีและเกียรติของราชวงศ์ บทลงโทษจักเป็นเยี่ยงไรกัน ? ” อันหลิงเกอข่มขู่ น้ำเสียงราบเรียบแต่แทงใจดำ
ทัวป๋าถิงฟางได้ยินจึงครุ่นคิดอยู่นาน นางรู้ว่าคำพูดของอันหลิงเกอมิมีทางเอ่ยโดยไร้เหตุผล นางจึงเริ่มมิแน่ใจขึ้นมาชั่วขณะ
หลังครุ่นคิดพักใหญ่ นางก็กดเสียงให้ต่ำลงและน้ำเสียงก็ขาดความมั่นใจซึ่งแตกต่างจากก่อนหน้าโดยสิ้นเชิง นางลองพูดหยั่งเชิงออกไป “พระชายาฉลาดปราดเปรื่อง มิมีทางทำเรื่องเยี่ยงนี้หรอกเจ้าค่ะ”
ทัวป๋าถิงฟางกล่าวพลางลอบสังเกตสีหน้าของอันหลิงเกออย่างระมัดระวัง คิดอยากเห็นบางอย่างทางสีหน้าของอีกฝ่าย
“เช่นนั้นเจ้าก็คิดผิดมหันต์” อันหลิงเกอลุกขึ้นจากที่นั่งแล้วค่อย ๆ เดินไปตรงหน้าของทัวป๋าถิงฟางก่อนกระซิบข้างหูว่า “ทัวป๋าถิงฟาง ความผิดคือเจ้ามิควรมายั่วโทสะข้าและมิควรนำความลับนั้นมาข่มขู่ข้า!”
ครั้นอันหลิงเกอเห็นสีหน้าซีดเผือดของทัวป๋าถิงฟางก็พึงพอใจมาก นางยกยิ้มออกมา
พอรู้ว่านางกลับชาติมาเกิดใหม่แล้วก็ควรเข้าใจว่านางมิใช่อันหลิงเกอที่อ่อนโยนและปล่อยให้ผู้อื่นรังแกฝ่ายเดียวอีก!
“พระชายาคิดว่าข้ามีความลับที่เกี่ยวกับท่านเรื่องเดียวหรือ หากพระชายาทำอันใดก็เชื่อได้เลยว่าความลับของท่านมิอาจปกปิดได้อีกต่อไป” คำข่มขู่อย่างร้อนใจของทัวป๋าถิงฟางดั่งสำนวนที่ว่ากระต่ายเมื่อเข้าตาจนยังรู้จักกัดคน
อันหลิงเกอได้ยินก็หยุดชะงัก ในตอนที่ทัวป๋าถิงฟางคิดว่าพลิกโอกาสได้แล้วอันหลิงเกอก็ตะโกนเรียกองครักษ์ที่อยู่หน้าประตู “ทหาร ทัวป๋าถิงฟางกระทำความผิด เดิมทีเป็นความผิดครั้งแรกจึงได้แค่ตำหนิ แต่นางมิรู้จักสำนึก ข้าจึงลงโทษด้วยการตัดลิ้นนางเพื่อเป็นเยี่ยงอย่าง”
ประตูถูกเปิดออก พอได้ยินคำสั่งของอันหลิงเกอแล้วองครักษ์เหล่านั้นก็ทยอยเข้ามา
เสียง ตึง ดังขึ้น ทัวป๋าถิงฟางคุกเข่าลงพื้นอย่างสิ้นหวัง นัยน์ตาเต็มไปด้วยแววมิอยากเชื่อ
มิถูกสิ มิใช่สิ นางมีไพ่ใบสุดท้ายและยังมีแต้มต่อ! คิดได้ดังนี้ทัวป๋าถิงฟางก็แกล้งพูดกับอันหลิงเกอด้วยท่าทีสงบ “ข้ารู้ความลับของพระชายา ท่านทำเยี่ยงนี้กับข้ามิได้ ท่านมิกลัวว่า…”
“มัวยืนตะลึงอันใดกัน ยังมิรีบลากตัวออกไปอีก” อันหลิงเกอตัดบทสนทนาของทัวป๋าถิงฟางแล้วตำหนิองครักษ์
เหล่าองครักษ์น้อมรับคำสั่งและคุมตัวของทัวป๋าถิงฟางออกไปทันที พวกเขาช่วยกันจับตัวนางไว้เพื่อมิให้หลบหนี
“ช่างเถิด ส่งนางกลับไป” อันหลิงเกอครุ่นคิดสักพัก สุดท้ายนางก็มิสามารถทำได้ลง
นางเป็นดั่งที่มู่จวินฮานกล่าวไว้จริง มีหลายคราที่นางยังมิเด็ดขาดพอ
เรื่องนี้นางยังต้องปรึกษากับมู่จวินฮานอีกครั้งก่อน
“เกอเอ๋อ ความหมายของเจ้าก็คือเจ้าเคยมีประสบการณ์นั้นจริงหรือ ? ” ครั้นมู่จวินฮานได้ยินก็เอ่ยถามข้อสรุป
“เจ้าค่ะ” อันหลิงเกอพยักหน้า ตอนนี้นางได้พูดไปหมดแล้ว มิได้ปิดบังอันใดอีก
“หึ…” มู่จวินฮานยิ้มเล็กน้อยจากนั้นก็ลูบศีรษะของนางด้วยความอ่อนโยน แววตาเต็มไปด้วยความรักใคร่