ตอนที่ 539 ความลับเปิดเผย

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 539 ความลับเปิดเผย

“ท่านมิเชื่อหรือ? ที่ข้ากล่าวเป็นความจริงเจ้าค่ะ” อันหลิงเกอขมวดคิ้วเพราะได้ครุ่นคิดอย่างหนักและสับสนอยู่นานมาก กว่าที่นางจะรวบรวมความกล้ามาบอกความจริงกับมู่จวินฮานได้มิใช่เรื่องง่าย แต่เขามิเชื่อเสียอย่างนั้น!

“ข้าเชื่อ” มู่จวินฮานเอ่ยอย่างหนักแน่น

อันหลิงเกอพูดมิออก “…”

“เด็กโง่ มิว่าเจ้าเคยผ่านประสบการณ์ใดมาเจ้าก็ยังเป็นพระชายาของมู่จวินฮาน ตั้งแต่บัดนี้ไปข้ามิมีวันยอมให้เจ้าได้รับความมิเป็นธรรมเยี่ยงนั้นอีก” น้ำเสียงของมู่จวินฮานเต็มไปด้วยการตักเตือนพลางเอ่ยถึงเรื่องของทัวป๋าถิงฟาง “เมื่อนางเป็นภัยเงียบสำหรับเจ้า มิสู้กำจัดทิ้งเสียดีกว่า”

“มิต้องหรอกเจ้าค่ะ” เมื่อได้ยินคำพูดของมู่จวินฮาน อันหลิงเกอก็ขัดทันที

“เพราะเหตุใด ? ” มู่จวินฮานมองอันหลิงเกอด้วยความมิเข้าใจ

อันหลิงเกอคลี่ยิ้มอย่างมีความสุข “นอกจากท่านแล้ว ข้าก็มิสนใจผู้ใดอีกเจ้าค่ะ”

มิสนใจว่าผู้อื่นมองนางเยี่ยงไรและมิสนใจว่าความลับของตนจะถูกเปิดเผยเมื่อไร

พอเป็นเยี่ยงนี้แล้วเหตุใดต้องทำลายชีวิตผู้อื่นด้วย ?

เพียงแต่วันนั้นตอนที่เหล่าหวางเฟยโดนวางยาพิษ ความจริงแล้วตอนนางกำลังหั่นสมุนไพรก็มิทันระวังจนมีดบาดมือและทำเลือดหยดลงไปจึงช่วยชีวิตของเหล่าหวางเฟยกลับมาได้

วันนั้นจ้าวหลานหยู่อยากได้เลือดของตน อันหลิงเกอจึงเข้าใจว่าที่แท้ร่างกายก็มีความลับเยี่ยงนี้เอง

มิเพียงเรื่องที่นางสามารถกลับชาติมาเกิดใหม่ กระทั่งโลหิตก็ยังมีความพิสดารมากด้วย

เช่นนั้นคำตอบนี้ฟางหลิงซู่อาจรู้แล้วก็ได้

หอพิษกู่น่าจะรู้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับร่างกายของนางแล้ว การปกป้องคุ้มกันของหนานกงหลิงเยว่รวมทั้งเลือดที่ฟางหลิงซู่เอ่ยขอก่อนหน้านั้นล้วนสัมพันธ์กัน

เรื่องราวแปลกประหลาดมากมายเกิดขึ้นบนร่างกายของตน ในที่สุดอันหลิงเกอก็เพิ่งตระหนักได้ถึงความซับซ้อนของเรื่องนี้

บางทีการสิ้นลมของมารดาอาจมีความซับซ้อนกว่านั้นก็ได้

“เจ้าก็รู้ว่าตนกับมารดามาจากเผ่าลึกลับเหมือนกัน”

นางจำได้ว่าตอนที่เมามายอยู่กับฟางหลิงซู่นั้น จู่ ๆ ฟางหลิงซู่ก็เอ่ยประโยคหนึ่งออกมาโดยมิได้ตั้งใจ เผ่าลึกลับ ?

แต่ในแผ่นดินนี้มีเพียงเผ่าที่อยู่ในเขตแดนแคว้นชิงเยว่และต้าโจว อย่างเช่น เผ่าหมานอี๋และปิงชวน หรือว่านางเป็นคนของเผ่าโม่ ?

บัดนี้อันหลิงเกอยังหาคำตอบมิได้ นางทำได้เพียงรอพบกับหนานกงหลิงเยว่ครั้งต่อไปเท่านั้น เพื่อที่จะได้ถามเรื่องของตนให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย

อันหลิงเกอมิรู้ว่าในยามนี้หอพิษกู่กำลังเกิดเรื่อง ฟางหลิงซู่และคนอื่นที่ถือโอกาสหลบหนีไปในยามราตรีกำลังหวั่นวิตกอย่างเห็นได้ชัด

“คุณชาย พักสักครู่เถิด นี่ก็นานแล้วน่าจะมิเกิดข้อผิดพลาดอันใดขึ้นแล้วขอรับ”

ระหว่างที่กำลังเดินทางอยู่ในเขตกวานจง เหล่าผู้อารักขาที่ร่วมเดินทางก็ช่วยกันโน้มน้าวฟางหลิงซู่ เพราะสีหน้าของเขาซีดเผือดมากเนื่องจากการเดินทางที่แสนยาวนาน

บ่าวข้างกายได้ยินดังนั้นก็เริ่มแสดงท่าทีคล้อยตาม เพียงแต่เนื่องจากมิได้ยินคำสั่งจากฟางหลิงซู่จึงมิกล้าเอื้อนเอ่ยคำใด

ฟางหลิงซู่มักใช้ชีวิตอย่างสุขสบายมาตลอด เมื่อการเดินทางในครานี้ได้รับความลำบากมิน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของพวกเขาจึงทำได้เพียงพยักหน้าเห็นด้วย

“เรียนคุณชาย ด้านหน้ามีเสียงการต่อสู้กันขอรับ” หลังนั่งลงได้มินาน คนที่ฟางหลิงซู่สั่งให้ลาดตระเวนอยู่รอบด้านก็กลับมารายงาน

คนเหล่านี้คงเป็นคนที่ราชสำนักส่งมาบุกโจมตีหอพิษกู่ในยามวิกาล แม้แต่ฟางหลิงซู่และหนานกงหลิงเยว่ก็คาดมิถึง

เพื่อให้น้องสาวได้หลบหนี ฟางหลิงซู่จึงพาคนกลุ่มหนึ่งออกมาเพียงลำพังโดยพยายามเบี่ยงเบนความสนใจของผู้ล่า

“เฮ้ คุณชายจะไปที่ใดหรือขอรับ มิต้องการหอพิษกู่แล้วหรือ ? ” จู่ ๆ ก็มีคนกลุ่มหนึ่งปรากฎขึ้นตรงหน้าของฟางหลิงซู่ คนที่เอ่ยปากได้แสดงสีหน้าดูถูกอย่างชัดเจน

คนเหล่านี้ล้วนเป็นชายฉกรรจ์ ฟางหลิงซู่จึงรู้สึกว่าหัวใจเต้นเร็วเล็กน้อย ก่อนทอดถอนใจให้แก่ความโชคร้ายของตน

“พวกเจ้าเป็นผู้ใด ? ” หากในวันปกติเขาก็คงคุยเล่นได้ แต่การถูกโจมตีอย่างฉับพลันเยี่ยงนี้หอพิษกู่คิดใช้ยาพิษก็คงมิได้ผลมากนัก

“เรื่องของอันหลิงเกอ เจ้ารู้มากเพียงใด ? ” คนที่ดูเหมือนเป็นผู้นำมิได้ตอบคำถามของฟางหลิงซู่แต่ย้อนถามกลับมา

สีหน้าของฟางหลิงซู่เปลี่ยนไปเล็กน้อยและเขายังมิทันได้เอ่ยออกไป บ่าวและผู้อารักขาที่อยู่ข้างกายล้วนเอ่ยปากอ้อนวอนขอชีวิต

“พวกเรามิรู้เรื่องใดทั้งนั้น ขอพวกท่านโปรดเข้าใจเราด้วย” ครั้นตกอยู่ใต้สถานการณ์ที่โดนคุกคามย่อมมีคนมิอาจนิ่งสงบได้จึงพากันทยอยเอ่ยปากอ้อนวอน

อย่างไรคนในหอพิษกู่จำนวนมากก็ถูกจับไปหมดแล้ว เหลืออีกมิกี่คนเท่านั้นที่คอยคุ้มกันความปลอดภัยให้แก่ฟางหลิงซู่

คนผู้นั้นยกยิ้ม มิได้สนใจกับคำพูดของคนเหล่านี้แต่ไม่ได้เมินเฉยต่อสีหน้าที่เปลี่ยนไปของฟางหลิงซู่

เขาเห็นคนกลุ่มนี้เหมือนเป็นคนที่ตายไปแล้วในสายตา จู่ ๆ นัยน์ตาของเขาก็ฉายแววโหดเหี้ยมและสั่งการลูกน้องให้เริ่มสังหารทันที !

กลิ่นคาวเลือดลอยอบอวลไปทั่วอากาศ หลังจากมั่นใจว่ามิมีผู้ใดเหลือรอดแล้วจึงจากไป

ฟางหลิงซู่รู้ว่าถึงคราวเคราะห์ที่ยากหนีพ้นกลับถือโอกาสตอนที่พวกเขามิทันสังเกตกลืนยาเม็ดหนึ่งลงไปแล้วแสร้งนอนตาย

คนเหล่านี้พุ่งเป้าหมายไปที่อันหลิงเกอ น่าจะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับจ้าวหลานหยู่เป็นแน่

ในขณะที่พวกเขากำลังจากไปนั้นก็มีชายผู้หนึ่งสะดุดร่างของฟางหลิงซู่

ชายผู้นั้นจึงสบถด่าและเตะไปที่ร่างของฟางหลิงซู่อย่างหยาบคาย เสียง ‘พลั่ก’ ดังขึ้น จากนั้นบันทึกเล่มเล็กก็หลุดร่วงลงจากกระเป๋าเสื้อของฟางหลิงซู่

เขาจึงหยิบบันทึกเล่มนั้นขึ้นมาเปิดดูสองสามหน้า พอเปิดได้มินานและเตรียมโยนทิ้งก็เห็นบันทึกอันน่าเหลือเชื่อในนั้นจึงอดเงยหน้าและส่งเสียงหัวเราะออกมามิได้ “ฮ่าฮ่า สวรรค์เข้าข้างเราแล้ว”

“เกิดเรื่องใดขึ้น ? ”

ชายผู้นั้นยื่นบันทึกในมือออกไป บันทึกที่อยู่ภายในมิได้บอกความลับของอันหลิงเกอเท่านั้น ทั้งยังบอกวิธีการสร้างพิษหนอนกู่ด้วย

หากสร้างพิษหนอนกู่สำเร็จก็สามารถใช้พิษนี้ครอบครองเขตกวานจง รวมทั้งสถานที่โดยรอบของกวานจงได้ด้วย

หากเป็นเช่นนี้ วันที่เขาจะได้เป็นหนึ่งเดียวกับเจียงอ๋องก็อีกมิไกล

ทุกคนต่างพากันคิดตามจึงอดหัวเราะออกมาด้วยความดีใจมิได้และพากันกลับค่าย

หลังกลับค่ายแล้วคนเหล่านี้ก็หลอมรวมพิษกู่ตามคำสั่งของจ้าวหลานหยู่โดยอ้างอิงจากบันทึกและใช้วิชามารสร้างโรคระบาดให้คนในกวานจง

นอกเมืองหลวงต้าโจว

รถม้าอันหรูหราที่มิค่อยปรากฏสู่ที่สาธารณะคันหนึ่งได้เคลื่อนตัวไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ มีทหารม้าสองสามนายคอยคุ้มกันอยู่ด้านข้างและติดตามอันหลิงเกอกับมู่จวินฮานไปยังสถานที่ไร้ความเจริญ

“ทิวทัศน์ระหว่างทางช่างเปิดโลกได้ดีจริงเชียว” อันหลิงเกอเอนกายพิงอยู่ในอ้อมกอดของมู่จวินฮานอย่างเกียจคร้าน จากนั้นก็หลับตาลงแล้วเพลิดเพลินกับความสงบที่มิค่อยได้สัมผัสกันสักเท่าไร

มนุษย์ยังต้องออกไปเปิดโลกทัศน์ด้านนอก มิมีทางยอมกักขังอยู่ในจวนขนาดเล็กตลอดไป

“ออกมาเดินเล่นข้างนอกบ่อย ๆ ก็ทำให้ผ่อนคลายและเบิกบานใจ ยิ่งไปกว่านั้นยังได้มากับสตรีที่ข้ารักสุดดวงใจด้วย” มู่จวินฮานมองอันหลิงเกอที่อยู่ในอ้อมกอดด้วยแววตารักใคร่

เขาช่างพูดช่างจาเยี่ยงนี้ตั้งแต่เมื่อใด ?

ในขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกันอย่างสนิทสนม จู่ ๆ ความวุ่นวายด้านนอกก็ขัดขวางความงดงามจนสิ้น

“ปี้จู หมิงซิน ด้านนอกเกิดเรื่องอันใดขึ้น ? ” อันหลิงเกอเปิดม่านออกและเอ่ยถาม แต่หลังจากที่มืองดงามดุจหยกจับผ้าม่านได้มินานก็ต้องตกใจอย่างฉับพลัน

ด้านนอกมีคนจำนวนหนึ่งถืออาวุธหลากหลายอยู่ในมือ พวกเขาคือกลุ่มโจรใช่หรือไม่ ?

แต่ดูท่าท่างน่าจะเป็นผู้ลี้ภัยเร่ร่อนต่างหาก

เพียงแต่บัดนี้ต้าโจวอยู่กันอย่างสงบสุข กอปรกับที่ศึกสงครามระหว่างแคว้นชิงเยว่ได้ยุติลงแล้ว ผู้ลี้ภัยมากมายเยี่ยงนี้มาจากที่แห่งใดกัน ?