หากจะให้นั่งดูบรรยากาศงานเลี้ยงที่ค่อยๆ ไหลไปตามกระแสของอาเรียอยู่เฉยๆ ก็คงจะไม่ใช่มิเอลเสียแล้ว คนพวกนี้เป็นคนที่ตนเชิญมาตั้งแต่แรกแท้ๆ เหตุใดทุกคนถึงได้หลงใหลไปกับคำพูดของนางมารร้ายชั้นต่ำแบบนั้นกัน
“ช่าง…เป็นของที่ดูไม่เหมือนใครเลยนะคะ”
แต่สิ่งที่มิเอลพูดได้ก็มีเพียงเท่านี้ เพราะเธอไม่รู้ถึงรายละเอียดของเรื่องที่คุยกัน การที่ต้องมาฟังพวกคุณหญิงและอาเรียคุยกัน จึงไม่ต่างไปจากการฟังภาษานอกโลก
แต่ถึงอย่างไรเธอก็ยังมีเอ็มม่าพันธมิตรที่ไว้ใจได้เสมอ
เมื่อเห็นสายตาของมิเอล เอ็มม่าก็นำของที่เตรียมไว้ออกมา มันคือชิ้นงานซึ่งทำจากคริสตัลที่ไม่ว่าขุนนางหรือสามัญชนต่างก็พากันชื่นชอบ
สาวใช้ของมิเอลแจกจ่ายสิ่งนั้นให้กับเหล่าคุณหญิงตามคำสั่งของเอ็มม่า และเพราะเหตุนั้นบรรยากาศที่อบอวลด้วยความอบอุ่นและปรองดองของอาเรียและเหล่าคุณหญิงจึงถูกทำลายลง มิเอลจึงได้กลับมากุมกระแสอีกครั้ง
“ตายแล้ว นี่มันอะไรกันคะ”
คุณหญิงตาโตเมื่อได้เห็นเข็มกลัดคริสตัลรูปดอกกุหลาบ
เพียงแค่มองแวบเดียวก็รู้ได้ว่านั่นไม่ใช่ของดาษดื่นทั่วไป แถมยังเป็นรูปดอกกุหลาบเสียด้วย แต่เพราะไม่รู้ว่ามิเอลนำมันออกมาด้วยจุดประสงค์อะไร พวกคุณหญิงจึงถามเธอขึ้นมา
“อ๋อ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกค่ะ แค่ของขวัญเล็กๆ น้อยๆ ค่ะ ที่จริงดิฉันตั้งใจจะให้ก่อนหน้านี้แล้ว แต่ดูเหมือนจะให้ช้าไปหน่อยเสียแล้วค่ะ”
“…หมายถึงจะให้เข็มกลัดนี้กับพวกเรางั้นหรือคะ”
“คิดว่าเป็นที่ระลึกสำหรับการมาเยี่ยมเยียนในครั้งนี้แล้วกันค่ะ”
มันดูมีค่ามากเกินกว่าจะเรียกว่าของขวัญที่ระลึกเสียด้วยซ้ำ ถึงกับให้คริสตัลเลยทีเดียว แม้ขนาดของมันจะเล็ก แต่คุณค่าของมันเกินกว่าจะเอาไปเทียบกับเพชรทั่วๆ ไปได้
เหล่าคุณหญิงชำเลืองมองมิเอลด้วยใบหน้าที่ดูฝืนใจเล็กน้อย เพราะเริ่มรู้สึกว่านี่คงไม่ใช่ของขวัญที่ระลึกธรรมดาตามที่พูดแน่นอน
อาเรียที่อ่านสีหน้าของพวกคุณหญิงออกก็กลั้นขำเอาไว้ คิดจะใช้เข็มกลัดเป็นอุบายเพื่อซื้อใจอย่างนั้นหรือ ทั้งที่ในอดีตมิเอลไม่เคยทำแบบนี้แลยสักครั้ง หรือเป็นเพราะทำเลียนแบบฉันกันนะ
‘แถมยังเป็นรูปดอกกุหลาบเสียด้วย’
ยังไม่ทันไรบุตรสาวของท่านเคานต์ก็เอาสัญลักษณ์รูปดอกกุหลาบมาใช้แล้วอย่างนั้นหรือ แม้จะได้สัญญากันไว้ก็ตาม แต่กว่าจะได้แต่งงานกับออสการ์ก็ยังต้องรอเวลาอีกตั้งสามปี และในตอนนี้เธอยังไม่ได้เป็นนายหญิงแห่งตระกูลเฟรดเดอริกเลยด้วยซ้ำ
‘คิดว่านั่นมันจะใช้ได้ผลจริงๆ เหรอะ’
พวกคุณหญิงกล่าวเป็นนัยออกมากแล้วว่าจะไม่ยอมร่วมมือด้วย พวกเธอเต็มใจจะช่วยธุรกิจของสามีมากกว่าเส้นสายที่เอาไว้โอ้อวดเชิดหน้าชูตาในสังคม ผู้หญิงแบบนั้นไม่มีทางตกหลุมพรางง่ายๆ เพียงเพราะเข็มกลัดคริสตัลนั่นหรอก
เพราะนั่นเป็นสิ่งที่ตัวเธอคิด เลยเข้าใจไปว่าทุกคนในโลกนี้ก็ต้องคิดแบบเดียวกับตนเอง แม้แต่กบในกะลายังฉลาดกว่าคนแบบนี้เสียอีก
“ขอบคุณสำหรับน้ำใจอันดีงามนะคะ แต่ของขวัญนี้มันมากเกินไปสำหรับดิฉันค่ะ คนธรรมดาอย่างดิฉันจะกล้าดีทำตัวเสมอคนชนชั้นสูงได้อย่างไรล่ะคะ”
ในตอนนั้นเอง คุณหญิงที่นั่งอยู่ในมุมหนึ่งก็ได้พูดออกมาพร้อมกับวางคริสตัลไว้บนโต๊ะ
และจากนั้นคุณหญิงที่นั่งถัดๆ มาต่างก็พากันวางคริสตัลลงบนโต๊ะ
“ขอโทษด้วยนะคะ ดิฉันก็คงรับไว้ไม่ได้เหมือนกันค่ะ ถ้าดิฉันติดเข็มกลัดนี้แล้วล่ะก็ มีแต่จะทำให้เลดี้มิเอลผู้สูงส่งต้องอับอายเสียเปล่าๆ ค่ะ”
ต่อจากนั้นเหล่าคุณหญิงก็ค่อยๆ ทยอยวางเข็มกลัดลง จนมิเอลหน้าซีดขึ้นมา แม้จะมีบางคนรับคริสตัลนั้นไปอย่างเงียบๆ ก็ตาม แต่ส่วนใหญ่แล้วต่างแสดงให้เห็นว่าไม่สามารถรับมันได้
‘เธอน่าจะปล่อยพวกคุณหญิงไปโดยดีตั้งแต่ตอนถูกปฏิเสธครั้งแรกแล้วนะมิเอล’
หากยึดติดมากเกินไป ก็รังแต่จะทำให้ดูน่าขยะแขยงเท่านั้น
สภาพของมิเอลในตอนนี้มันช่างน่าขันเสียจริง คนที่จะได้กลายเป็นดัชเชสอย่างเธอ ยังไม่ทันไรก็เสียคะแนนนิยมจากสามัญชนไปเสียแล้ว
นั่นสินะ บางทีนี่อาจจะเป็นความสามารถทั้งหมดที่มิเอลมีก็ได้ หากไม่มีตระกูลโรสเซนต์ของท่านเคานต์ช่วยแบกไว้ ก็เป็นได้แค่เด็กคนหนึ่งที่ทำอะไรไม่ได้เลย สิ่งที่เธอทำได้ก็คงมีแค่การสวมหน้ากาก แสร้งทำตัวสูงส่งเลิศเลอเท่านั้น
การตระหนักได้ถึงความจริงที่ว่ามิเอลก็เป็นได้เพียงเท่านี้ไม่ได้วิเศษวิโสอะไรเลย ทำให้อาเรียรู้สึกโมโห ในอดีตเธอช่างโง่เขลานักที่ต้องมาจบชีวิตด้วยน้ำมือของคนแบบมิเอล
แต่แน่นอนว่าในวันข้างหน้าการดูถูกเหยียดหยามที่เธอได้รับมาทั้งหมดนั้น มิเอลก็จะต้องได้รับมันเหมือนกัน
อาเรียที่กลายเป็นผู้ชนะในวันนี้ หุบพัดลงแล้วยื่นมันให้กับแอนนี่และเอ่ยขึ้นมา สีหน้าที่ดูย่ามใจนั้นแสดงถึงความอิ่มอกอิ่มใจอย่างเต็มที่
“มิเอล พี่ว่ามันถึงเวลาที่งานเลี้ยงต้องเลิกราแล้วล่ะนะ เวลาก็ล่วงเลยมาขนาดนี้แล้ว อีกอย่างคุณหญิงต่างก็ยุ่งกับธุรกิจที่กำลังเติบโต จะรั้งให้อยู่นานๆ แบบนี้ มันจะไม่เป็นการเสียมารยาทหรอกหรือ”
ราวกับว่ารอให้อาเรียพูดประโยคนี้อยู่ คุณหญิงทั้งหลายต่างแกล้งดูเวลาและทำสีหน้าพะว้าพะวัง
ไม่ว่าจะยื่นข้อเสนอให้เข้ามาเป็นพรรคพวกอย่างไร ก็ถูกปฏิเสธเสียหมด เพราะเหตุนั้นจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องร่วมโต๊ะดื่มน้ำชากับพวกคุณหญิงเหล่านั้นอีกต่อไป
“…ก็ดีเหมือนกันค่ะ”
ทันทีที่มิเอลพูดจบเหล่าคุณหญิงก็รีบเตรียมตัวกลับบ้าน พวกเธอขยับตัวอย่างเร่งรีบเหมือนกับรอให้มิเอลพูดคำนั้นอยู่อย่างไรอย่างนั้น
แต่ทว่ามิเอลที่ถูกคุณหญิงทั้งหลายสบประมาทซึ่งๆ หน้า กลับไม่ได้ส่งยิ้มแสนงดงามแบบเมื่อครู่ให้กับพวกเธอ
มิเอลทำหน้าเย็นชาราวกับว่าไม่เคยส่งยิ้มให้กับพวกคุณหญิงมาก่อน พร้อมกับพูดคำเตือนให้กับคุณหญิงที่กำลังจะกลับไป
“งานเลี้ยงคงจะจบลงแค่วันนี้ล่ะนะคะ ที่ผ่านมาดิฉันสนุกมาก หากเจอกันครั้งหน้าไม่รู้ว่าจะสามารถนั่งคุยกันกระหนุงกระหนิงแบบนี้ได้อีกหรือเปล่าค่ะ”
คำพูดนั้นฟังดูเหมือนเธอกำลังส่งคำเตือนให้กับพวกชนชั้นต่ำที่กล้าดูถูกเธอ เป็นคำขู่ที่บอกว่าจะไม่ยอมปล่อยไว้เฉยๆ อย่างเด็ดขาด
‘มิเอลกำลังเผยธาตุแท้ออกมาให้เห็นหรือนี่’
นี่เธอใช่ผู้หญิงที่มักจะทำตัวสง่างามและยิ้มแย้มอยู่ตลอดจริงๆ น่ะหรือ
อาเรียไม่เคยรู้ถึงธาตุของมิเอลเลยจนกระทั่งวินาทีที่จะถูกตัดคอ เพราะมิเอลซ่อนมันไว้อย่างมิดชิด แต่ในตอนนี้เธอกลับเผยนิสัยนั้นออกมาด้วยเรื่องเล็กน้อยแบบนี้เสียได้
ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นเพราะตอนนี้ต่างไปจากอดีตที่ทุกอย่างมักจะเดินไปตามเกมของเธออย่างราบรื่น พอต้องเจอกับเรื่องที่ไม่ได้ดั่งใจเข้ามากๆ ก็เลยระเบิดมันออกมาอย่างช่วยไม่ได้ บางทีเธออาจจะไม่สามารถเก็บซ่อนจิตใจอันเน่าเฟะเอาไว้ได้ตั้งแต่แรกแล้วก็ได้
‘อุตส่าห์ถอดหน้ากากแม่พระออกมาทั้งที เป็นเรื่องที่น่ายินดีอะไรเช่นนี้’
เมื่อได้ยินคำเตือนของมิเอล เหล่าคุณหญิงต่างก็มีสีหน้าเป็นกังวล เพราะคิดไม่ถึงว่ามิเอลที่คนเล่าลือกันว่าเป็นคนมีเมตตา จะทำกิริยาแบบนั้นออกมาได้ และเพราะมิเอลให้การต้อนรับพวกเธอด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยน บางทีในตอนนี้พวกเธออาจจะกำลังรู้สึกผิดหวังที่เห็นมิเอลปลดปล่อยความรู้สึกที่แท้จริงออกมาก็เป็นได้
และผู้ที่ขจัดความกังวลของพวกเธอออกไปก็คืออาเรีย แม้ว่ายังต้องปกปิดตัวตนเอาไว้ แต่คนเหล่านั้นคือคนที่เธอรวบรวมเอาไว้ จึงถือว่าเป็นคนของเธอนั่นเอง
ราวกับว่าอาเรียได้ขโมยสีหน้าอบอุ่นอ่อนโยนที่หายไปจากใบหน้าของมิเอลเอาไว้ เธอยิ้มอย่างมีเมตตา และกล่าวอำลาต่อเหล่าคุณหญิง
“ถ้าอย่างนั้นงานเลี้ยงน้ำชาครั้งหน้าขอให้ดิฉันเป็นคนจัดจะได้ไหมคะ จะปล่อยให้ความสัมพันธ์ที่มีค่าจบลงไปแบบนี้ได้อย่างไรล่ะคะ”
คำพูดของอาเรียให้ความรู้สึกราวกับว่าเธอจะโอบกอดพวกคุณหญิงที่ถูกมิเอลข่มขู่เอาไว้เอง ภายนอกแล้วเธอคืออาเรียที่ไม่สามารถเทียบกับมิเอลได้ไม่ว่าด้านไหนก็ตาม แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็เป็นบุตรสาวของโตของตระกูลโรสเซนต์ จึงทำให้เหล่าคุณหญิงรู้สึกโล่งใจขึ้นมาได้มาก
“…อ่อ ถ้างั้น ดิฉันขอลากลับก่อนนะคะ ขอบคุณที่ชวนนะคะ”
“ขอให้อนาคตของเลดี้มิเอลเต็มไปด้วยความสุขนะคะ”
มิเอลตอบรับคำลาของพวกคุณหญิงด้วยรอยยิ้มที่ดูแข็งกระด้างและเดินออกไปจากสวนก่อนเป็นคนแรก เบื้องหลังของเธอดูเย็นชาไร้เยื่อใย เอ็มม่าที่เดินตามหลังเธอไปนั้นชำเลืองมองอาเรียด้วยหางตาอย่างเกลียดชังโดยที่อาเรียไม่ทันสังเกต
“ถ้าอย่างนั้นแล้วขอให้เดินทางกลับโดยสวัสดิภาพนะคะ”
ในเมื่อทุกอย่างเป็นไปตามที่หวัง อาเรียจึงลุกออกจากเก้าอี้ เธอคิดว่าจะต้องระวังไม่ให้พวกคุณหญิงคิดโลภอยากได้ยศถาบรรดาศักดิ์ที่สูงส่งอีกต่อไป
“เลดี้อาเรีย! “
อาเรียที่ตั้งใจจะออกจากที่นั่งไปแบบนั้น ก็ถูกบารอนเนสคลีนเรียกชื่อเธอไว้ เมื่อหันไปสบตาก็พบว่าบารอนเนสพูดออกมาด้วยสีหน้าที่ดูตื่นเต้นเป็นอย่างมาก
“หากเลดี้สะดวกแล้วล่ะก็ สนใจที่จะเข้าร่วมงานประชุมของพวกดิฉันในครั้งถัดไปไหมคะ จริงๆ มันก็ไม่ใช่งานประชุมของพวกดิฉันหรอกค่ะ แต่เป็นงานประชุมของผู้ที่ได้รับการสนับสนุนจากนักลงทุนค่ะ… ดิฉันหวังว่าหากเลดี้เข้าร่วมแล้วช่วยให้คำแนะนำก็คงจะดีน่ะค่ะ”
เมื่อเห็นเหล่าคุณหญิงที่อยู่รอบๆ พากันพยักหน้าด้วยหน้าตาสดใสแล้ว ก็ดูเหมือนว่าพวกเธอเห็นชอบกับเรื่องนั้นได้ในระยะเวลาสั้นๆ
และนั่นก็ทำให้อาเรียยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจและพูดออกมาว่า
“ตายจริง คนอย่างดิฉันจะเหมาะสมกับงานประชุมแบบนั้นหรือคะ”
“พูดอะไรอย่างนั้นกันค่ะ! เลดี้อาเรียถือเป็นคนที่มีความรู้มากกว่าใครในที่นี้เลยนะคะ นอกจากนั้นยังมีส่วนที่น่าจะเข้ากันได้ดีกับนักลงทุนด้วย ดิฉันคิดว่าคำแนะนำของเลดี้จะเป็นประโยชน์ต่อคนอื่นๆ แน่นอนค่ะ”
“ถูกต้องแล้วค่ะ ผู้สนับสนุนเองก็เคยกล่าวว่ายินดีต้อนรับบุคคลใหม่ๆ เสมอเลยนะคะ”
หากได้รู้ว่านักลงทุนคนนั้นก็คือตัวฉันเอง พวกเธอจะตกใจมากขนาดไหนกันนะ อาเรียนึกภาพที่น่าขบขันนั่นและพยักหน้าตกลง
ความจริงแล้วที่ผ่านมาอาเรียอยากเข้าร่วมงานประชุมมาโดยตลอด แต่เพราะยังไม่สามารถเปิดเผยตัวตนได้ เธอจึงได้แต่ผลัดมันมาตลอด ดังนั้นหากเธอทำตัวเนียนเข้าร่วมงานประชุมแล้วสอดส่องว่าพวกเขาเป็นอย่างไรบ้าง ก็ดูจะเป็นความคิดที่ไม่เลวเลย
“ขอบคุณนะคะ ถ้าอย่างนั้นดิฉันก็จะพยายามเต็มที่ค่ะ”
พวกเธอดีใจที่ได้ยินอาเรียตอบตกลงพร้อมกับปรบมือเบาๆ อาเรียกล่าวลาอย่างนอบน้อมและออกจากสวนไป
อาเรียยิ้มขึ้นมาพร้อมกับจินตนาการว่าหากบารอนเวอร์บูมและแอนดรูว์ที่ต้องลำบากเพราะคอยปกปิดตัวตนของเธอมาตลอด ได้มาเห็นเธอในงานประชุมเข้าจะไม่ถึงกับควันออกหูจนสลบไปเลยรึอย่างไร
***
“ท่านอัสเทอโรพีครับ กระผมมีเรื่องจะทูลเกี่ยวกับกระแสอิทธิพลซึ่งมีบารอนเวอร์บูมเป็นจุดศูนย์กลางที่เคยได้แจ้งให้ฟังไปเมื่อคราวที่แล้วครับ”
หน้าตาของอาซดูอิดโรย เขาวางเอกสารลงและพยักหน้าตอบกลับไป ในตอนนี้เขาไม่ได้อยู่ในเขตเมืองหลวงแต่มาอาศัยอยู่ที่เมืองเล็กๆ เมืองหนึ่ง เพราะเล่ห์เหลี่ยมของฝ่ายขุนนางชั้นสูง ทำให้เขาต้องไปๆ มาๆ ตามแถบพื้นที่ชายแดน
เมื่ออาซอนุญาต เรนก็รีบพูดขึ้นมา
“คือ…ที่จริงแล้วดูเหมือนว่าญาติของกระผมคนหนึ่งจะรับข้อเสนอทางนั้นไปครับ”
เรนเกาแก้มของตัวเองพร้อมพูดออกมา หน้าตาของเขาดูลำบากใจเป็นอย่างมาก
อาซถามกลับ
“ญาติของนายหรือ”
“ครับ ทั้งที่ปกติเป็นคนที่ชอบหมกตัวอยู่แต่ในห้องและเอาแต่เพ้อฝันคิดไร้สาระไปวันๆ แท้ๆ…ไม่รู้ว่าไปทำอย่างไรถึงได้รับข้อเสนอนั้นมาได้”
“ดูเหมือนจะเป็นคนไม่ค่อยยุ่งเกี่ยวกับใคร แต่ก็คงจะมีความสามารถอะไรดีๆ อยู่ละนะ”
อาซพูดเสริมขึ้นมาว่าถึงแม้จะมีอำนาจเทียบไม่ได้กับฝ่ายขุนนางชั้นสูง แต่ก็ถือเป็นกลุ่มที่มีอิทธิขยายตัวมากขึ้นเรื่อยๆ จนไม่สามารถเพิกเฉยได้ คงไม่มีทางยื่นข้อเสนอให้ใครซี้ซั้วเป็นแน่
“ฮื้มมม กระผมก็ได้แต่หวังว่าคงจะไม่ได้ไปแล้วร้องไห้กลับมาเท่านั้นละครับ”
คำชมของอาซทำให้เรนรู้สึกอาย เขาลูบลำคอตัวเองและตอบออกไป และเพราะเรนเอาแต่พูดเรื่องไร้สาระไม่ยอมเข้าเนื้อหาหลักเสียที อาซจึงส่งสายตาดุดันให้เขา
“แล้วไง เรื่องที่จะพูดไม่ใช่แค่นั้นใช่ไหม”
“อ่อ ครับ คือว่าญาติของกระผมได้รับคำข้อเสนอให้เข้าร่วมงานประชุมเผื่อจะได้เข้าใจบรรยากาศมากขึ้นน่ะครับ ดังนั้นกระผมเลยคิดว่าหากให้ท่านอาซลองเข้าร่วมงานประชุมแทนญาติของผมจะดีหรือไม่น่ะครับ”
“อ่อ อย่างนั้นนี่เอง”
นั่นถือเป็นกลุ่มซึ่งมีกระแสอิทธิพลที่ได้รับความสนใจมาโดยตลอด ทั้งที่มันถูกสร้างขึ้นมาด้วยน้ำมือของบารอนธรรมดาคนหนึ่งแท้ๆ แต่มันกลับขยายตัวมากขึ้นเรื่อยๆ และเงินทุนที่ช่วยสนับสนุนธุรกิจของนักธุรกิจอายุน้อยก็เป็นวงเงินจำนวนมหาศาลเลยทีเดียว เห็นได้ชัดว่าจะต้องมีผู้มีอำนาจที่ยิ่งใหญ่อยู่เบื้องหลังแน่นอน และอาซเองก็ตั้งใจจะขุดคุ้ยเบื้องหลังเรื่องนี้อยู่พอดี หากว่าคนคนนั้นไม่ได้ฝักใฝ่ฝ่ายใดอยู่ละก็ จะต้องดึงมาเป็นพรรคพวกของฝั่งตนให้จงได้
อย่างไรเสียงานของเขาก็ใกล้จะเสร็จสิ้นลงแล้ว วันที่จะได้กลับเข้าไปในเมืองหลวงก็อยู่ไม่ไกลนัก ถือเป็นโอกาสอันดีที่จะได้เข้าไปสืบเสาะในระยะที่ใกล้ขึ้น
“เอาสิ ดีเหมือนกัน”
“อะ แล้วท่านดยุกก็กำลังกดดันมากเป็นพิเศษครับ ดูเหมือนว่าจะถึงเวลาที่เราต้องปล่อยสินค้าฟุ่มเฟือยออกมาแล้วละครับ ฝ่าบาทเองก็ทรงทนต่อไปไม่ไหว ทรงกริ้วเป็นอย่างมากพร้อมกับสั่งให้นำตัวท่านอาซกลับไปน่ะครับ”
การโต้กลับเริ่มขึ้นเร็วกว่าที่คิด สาเหตุอาจะจะเป็นเรื่องที่ข้าวของขึ้นราคาอย่างรวดเร็วก็เป็นได้ อาซไม่ได้คาดการณ์ไว้เลยว่าข้าวของจะขึ้นราคาอย่างฉับพลันแบบนี้ ถ้าจะให้เดาก็คงเป็นเพราะในช่วงแรกมีใครสักคนกักตุนน้ำตาลเอาไว้ก่อนจะปล่อยขายในราคาสูงนั่นเอง
“มีกี่ตระกูลที่ล้มละลายลงไปนะ คนที่ต้องออกไปจากเมืองหลวงน่ะ”
“มีตระกูลล้มละลายไปประมาณสิบสามตระกูลครับ ในจำนวนนั้นมีห้าตระกูลที่ออกไปจากเมืองหลวงแล้วครับ อย่างไรเสียเส้นทางการค้าก็ถูกปิดกั้นลง อีกแปดตระกูลที่เหลือก็ไม่มีทางฟื้นตัวได้แน่ๆ คงจะต้องออกไปจากเมืองหลวงในเร็วๆ นี้ครับ”
“ดี ถ้าอย่างนั้นก็ปล่อยสินค้าออกมาซะ ยังไงก็ยังเหลือปลาตัวใหญ่ให้จับอยู่ดี ของที่ไม่ได้สำคัญอะไรปล่อยมันไปก็ไม่เสียหายอยู่แล้วนี่”
“เข้าใจแล้วครับ ท่านไวเคานต์วิเกต์ดูจะเสียสติไปแล้วจริงๆ นะครับ ถึงจะมีพระชายาคอยหนุนหลังให้ก็ตามแต่เต้นผางกระฟัดกระเฟียดไม่ต่างจากอันธพาลแบบนั้นเนี่ยดูไม่ได้เลยจริงๆ หากพวกเขามีความเกี่ยวข้องกันเป็นจำนวนมาก เราอาจจะทำให้พวกเขาพ้นจากตำแหน่งได้อีกหลายคนนะครับ”
“ว่าที่พระชายาคงยังไม่รู้น่ะสิ ถ้ารู้เรื่องเข้าคงไม่มีทางอยู่เฉยๆ แน่”
ทั้งหมดทั้งมวลนี้ถือเป็นความดีความชอบของอาเรีย เพราะก่อนที่เธอจะบอกให้ขายคาสิโนทิ้ง เขาไม่เคยคิดถึงวิธีนี้มาก่อนเลย
แน่นอนว่าเพราะทำตามที่เธอบอก เขาจึงโดนคำสบประมาทว่าไร้ความสามารถมาบ้าง แต่ท้ายที่สุดเขาก็ตกปลาตัวใหญ่มาได้นับเป็นอะไรที่มีค่ามาก
ดูเหมือนว่าเขาคิดจะเอาวิกฤตที่พวกขุนนางเจอมาใช้เป็นโอกาส เขาคิดว่าตนเองเป็นฝ่ายได้เปรียบ โดยที่ไม่รู้เลยว่าคนที่แนะนำคาสิโนให้เขาจะเป็นศัตรูต่อตัวเอง และเพื่อปั่นป่วนอำนาจของฝ่ายขุนนางเหล่านั้น นั่นก็เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดแล้ว
“จะว่าไปแล้ว เลดี้อาเรียช่างมีสายตาที่ว่องไวเสียจริงนะครับ เพราะหลังจากที่เราทนคำสบประมาทเพียงไม่นาน ก็ตกได้ปลาตัวใหญ่มาในที่สุดไงล่ะครับ”
เรนเองก็คิดเช่นนั้น เขาพูดชื่ออาเรียออกมาพร้อมกล่าวชื่นชมเธอ และอาซเองก็รู้สึกเช่นเดียวกันจึงพยักหน้านิ่งๆ และหันสายตาไปทางเอกสารที่ยังเหลืออยู่
มุมปากของเขาขยับขึ้นเล็กน้อย พอได้ยินชื่อของอาเรียก็พลันนึกถึงใบหน้าของสาวเจ้าขึ้นมา
………………………………………………………………