นานแล้วที่ไม่ได้เห็นอาซอารมณ์ดีแบบนี้ เรนจึงทำตัวเกินจริงและเอาแต่พูดไร้สาระ แม้จะไม่รู้สาเหตุแต่ทุกครั้งที่มีเรื่องของอาเรียเข้ามาเกี่ยวข้อง อาซก็มักจะทำหน้าตาเบิกบานมีความสุขเสมอ
“ฉะนั้นแล้วทำจิตใจให้ร่มเข้าไว้แล้วไปพบเลดี้สักครั้งดีไหมครับ”
“…หา”
“เป็นเพราะเลดี้อาเรียเรื่องต่างๆ จึงคลี่คลายลงได้ อีกอย่างงานทุกอย่างก็ใกล้จะเสร็จสมบูรณ์แล้วด้วย ผมเลยคิดว่าไปพบเลดี้สักแป๊บหนึ่งคงไม่เสียหายอะไรน่ะครับ แถมยังใช้เวลาไม่นานด้วยครับ”
ปกติแล้วการเดินทางไปยังเมืองหลวงโดยรถม้าจะใช้เวลาประมาณสิบกว่าวัน ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติสำหรับคนทั่วไป แต่ไม่ใช่กับอาซ
อาซกลอกตาไปมาและใช้เวลาคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหน้ามา
“ไม่ละ ถึงจะใช้เวลาไม่นาน แต่ระยะทางก็ถือว่าไกลพอสมควร ฉันไม่มั่นใจว่าจะทนรับมรสุมที่ตามมาหลังจากนั้นได้รึเปล่า”
ในตอนนั้นเองเรนก็นึกถึงเหตุการณ์หลังจากที่อาซใช้แรงกายที่มีทั้งหมดไป เขาก็ป่วยและเจ็บออดๆ แอดๆ ถึงขั้นที่เคลื่อนไหวร่างกายได้อย่างยากลำบาก เรนจึงรีบก้มหัวขอโทษที่ตนเองเอาแต่พูดเรื่องไร้สาระ เพราะช่วงนี้ไม่ได้มีเรื่องให้ต้องเดินทางไกล เรนจึงลืมนึกถึงความเหน็ดเหนื่อยที่อาซต้องเผชิญ
“ยังไงก็ใกล้จะได้กลับไปแล้ว ค่อยพบหลังจากกลับไปก็ได้”
แต่โดยสรุปแล้วผลก็คือแม้จะช้าไปสักหน่อยเขาก็ยังจะไปพบอาเรียอยู่ดี
และนั่นก็ทำให้เรนแอบหัวเราะออกมาโดยที่อาซไม่รู้ตัว เพราะอาซได้รับการศึกษาเล่าเรียนในฐานะองค์รัชทายาทมาตั้งแต่ยังเด็ก เขาจึงไม่มีด้านที่ดูเป็นเด็กสมกับอายุเลยแม้แต่น้อย แต่ในตอนนี้ต้องขอบคุณอาเรียที่ทำให้ได้เห็นด้านนั้นของเขาขึ้นมา
“ถ้าเช่นนั้นกระผมจะใช้กำลังทั้งหมดที่มี ทำงานให้เสร็จสิ้นโดยเร็วนะครับ ไม่แน่ว่าคืนนี้อาจจะได้โต้รุ่งก็เป็นได้ครับ”
“…อย่าบอกนะว่าที่ผ่านมานายเอาแต่หลับสบายมาตลอด”
“ไม่ ไม่ใช่อย่างนั้นแน่นอนครับ! ที่ผ่านมากระผมตั้งใจทำงานและใช้ชีวิตมาอย่างยากลำบากตลอดครับ! “
เรนพูดเสริมเข้าไปอีกว่าตัวเขาต้องทนทำงานหนัก จนใบหน้าหล่อๆ ของตนดูยับเยินเพราะความเหนื่อยสะสม ในตอนนี้หากเขาพูดอะไรมากไปแม้แต่คำเดียวแล้วละก็ อาจจะได้รับงานของคนอื่นมาทำเพิ่มก็เป็นได้ จะปล่อยให้คุณงามความดีจากเรื่องของอาเรียถูกพังทลายลงไปไม่ได้
“อะแฮ่ม ถ้าอย่างนั้น กระผมจะรีบจัดการให้โดยเร็วครับ”
หลังจากนั้นเรนก็รีบจัดการเรื่องปล่อยสินค้าฟุ่มเฟือยสู่ท้องตลาดอย่างรวดเร็วตามที่ได้รายงานให้กับอาซ และเพื่อไม่ให้ตัวตนของผู้จัดหาสินค้าฟุ่มเฟือยถูกเปิดเผยออกมา เรนจึงช่วยให้เขาถอดตัวออกจากเรื่องนี้ได้อย่างรอบคอบ และบอกให้เขาไปพักผ่อนที่ต่างประเทศสักระยะหนึ่ง
ในที่สุดสินค้าฟุ่มเฟือยใหม่ๆ ที่ถูกกักไว้ ก็ผ่านการอนุมัติจากศุลกากร และก็มีเสียงเล่าลือเยาะเย้ยองค์รัชทายาทว่าพ่ายแพ้ให้กับฝ่ายขุนนาง
ฝ่ายขุนนางต่างได้ใจและพากันสบประมาทเขา และฝ่ายที่เป็นกลางกับฝ่ายองค์รัชทายาทบางส่วนต่างก็กังวลว่านี่จะทำให้เกิดภาวะการแข่งขันระหว่างพวกเขาหรือไม่
แต่นั่นก็เป็นเวลาเพียงไม่นาน เพราะไม่สามารถทำอะไรได้กับราคาสินค้าฟุ่มเฟือยที่ลดลงอย่างรวดเร็ว เป็นผลมาจากการซื้อสินค้าฟุ่มเฟือยมากเกินเหตุนั่นเอง
อีกอย่างในตอนนี้สินค้าต่างๆ ก็หาซื้อได้ตามท้องตลาด โดยไม่เกิดภาวะขาดแคลนสินค้า พวกเขาจึงไม่สามารถผูกขาดสินค้าได้อีกต่อไป ทำให้ไม่มีวิธีใดที่ฝ่ายขุนนางจะใช้ควบคุมราคาสินค้าได้ตามใจชอบอีกแล้ว อาซส่งต่อเรื่องเส้นทางการค้าที่เขาขโมยมาจากฝ่ายขุนนางให้กับมาร์ควิสวินเซนต์ ขุนนางผู้ถือตัวเป็นกลางไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดมาหลายชั่วอายุคน
เขายังพูดอีกว่า‘ตัวผมเองก็ยุ่งอยู่แล้ว อย่าโยนงานที่น่ารำคาญแบบนี้มาให้ผมอีก’ แม้จะไม่พอใจกับการเอาตนเองเป็นที่ตั้งของฝ่ายขุนนาง แต่มาร์ควิสวินเซนต์ก็ยอมรับมาอย่างช่วยไม่ได้
“ท่านมาร์ควิสครับ มีจดหมายจากท่านปิโนต์ นัวร์ส่งมาครับ”
มาร์ควิสวินเซนต์เขม้นมองคนรับใช้ที่ถือจดหมายมาให้ ก่อนจะถอนหายใจออกมา เขารับงานนั้นมาโดยที่ไม่ชอบใจกับการทำตามอำเภอใจของฝ่ายขุนนาง และคิดว่าเดิมทีตัวเองก็งานยุ่งอยู่แล้ว นี่เขากำลังรับเรื่องเส้นทางการค้ามาทำให้ตัวเองยุ่งมากขึ้นโดยเปล่าประโยชน์อยู่รึเปล่า
ยิ่งกว่านั้นมีครั้งไหนที่เขาจะได้ทำตามใจตัวเองบ้าง…ในเมื่อมีแต่เรื่องที่ทำให้ต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวขนาดนี้
“เอามานี้”
จดหมายที่ส่งมามีเนื้อหาที่สั้นกระชับมาก
[ทำให้ราคาสินค้าฟุ่มเฟือยลดลงไปมากกว่าครึ่ง]
และเนื้อหาก็ดูเย่อหยิ่งเสียด้วย เพราะแบบนั้นแรงในมือจึงเพิ่มขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งตัว เขาบ่นพึมพำกับตัวเองว่าคนที่ส่งมาจดหมายไม่ใช่ปิโนต์นัวร์ แต่เป็นองค์รัชทายาท พร้อมกับอดกลั้นเอาไว้อย่างยากเย็น
เขารู้สึกว่าตนเองพอจะเข้าใจถึงจุดประสงค์ขององค์รัชทายาท แม้จะบอกให้ลดราคาสินค้าฟุ่มเฟือยลงมากกว่าครึ่งของราคาปัจจุบัน แต่เดิมทีมันก็เป็นของที่มีราคาสูงอยู่แล้ว จึงมีแต่ขุนนางเท่านั้นที่ซื้อได้
ไม่ว่าสินค้าฟุ่มเฟือยจะราคาตกลงมาอย่างไร สำหรับคนธรรมดาทั่วไปแล้วก็ยังถือว่าเป็นราคาแพงเกินที่พวกเขาจะเอื้อมถึงอยู่ดี เพราะฉะนั้นถึงจะทำให้มูลค่าสินค้าเกิดความผันแปรสักเท่าไร ก็ไม่ส่งผลต่อความเป็นอยู่ของสามัญชนแน่นอน
‘ทรงคิดจะไม่ปล่อยฝ่ายขุนนางไว้เฉยๆ สินะ’
ทั้งระงับสินค้าฟุ่มเฟือยที่เหล่าขุนนางผูกขาดเอาไว้ และทำให้ขั้นตอนตรวจสอบเกิดความล่าช้าด้วยการอ้างเหตุนั่นนี่และไม่ลงคำสั่งอนุมัติออกมา จนทำให้หลายตระกูลล้มละลายยังไม่พอ ตอนนี้ยังจะให้มูลค่าสินค้าลดลงอย่างฮวบฮาบอีกต่างหาก
บางทีการที่พวกเขาซื้อสินค้ามามากเกินเหตุ ก็อาจจะเป็นเพราะได้ติดต่อทำการซื้อขายกับลูกค้าเอาไว้แล้ว หากมูลค่าสินค้าลดลงก็จะไม่สามารถทำกำไรได้ บางทีพวกเขาอาจได้ตกลงค้าขายกันในราคาที่แพงกว่าเส้นทางการค้าที่องค์รัชทายาทปิดกั้นหลายเท่าตัว
‘แต่ถ้าหากฉันทำให้มูลค่าสินค้าลดลงไปแล้วละก็…’
ที่ผ่านมาเหล่าขุนนางที่ยอมเสียเงินซื้อสินค้าฟุ่มเฟือยในราคามหาศาล จะต้องหันมาซื้อสินค้าที่มีราคาถูกกว่า แม้ภายนอกจะแสดงออกว่าไม่สะทกสะท้านอะไร แต่อย่างไรพวกเขาจะต้องหันมาซื้อสินค้าที่ราคาถูกกว่าแน่นอน และหากว่าเป็นเช่นนั้นฝ่ายขุนนางที่ขายสินค้าก็จะต้องลดราคาสินค้าของตนให้มีราคาถูกเท่ากับเจ้าอื่น จนสุดท้ายก็จะขาดทุนเท่ากับที่ขายได้อยู่ดี
‘หากขายในราคาที่เหมาะสมก็จะขายไม่ออก แต่ถึงจะขายในราคาที่ถูกลงก็ไม่ได้กำไรอยู่ดี ไม่ว่าจะเลือกทางไหนก็มีแต่เสียกับเสีย จะล้มละลายลงเมื่อไหร่ก็เป็นเรื่องของเวลาเท่านั้น’
ทั้งที่คิดว่าองค์รัชทายาทถูกฝ่ายขุนนางกดดันมาตลอด แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่แบบนั้นเลยนี่นา คงเป็นเพราะใกล้จะถึงวัยบรรลุนิติภาวะแล้วด้วย จึงรุกฝ่ายตรงข้ามได้อย่างไม่มีความลังเลใดๆ
และฝ่ายที่จะเสียหายก็มีแต่ฝ่ายขุนนางเท่านั้น หลังจากเรียบเรียงความคิดได้เช่นนั้น ก็ถูกใจกับการกระทำขององค์รัชทายาทไม่น้อย
วินเซนต์ยกยิ้มมุมปาก
“เห็นทีจะต้องเขียนจดหมายเสียแล้ว ช่วยเอาปากกากับกระดาษมาให้ทีนะ”
มือที่เขียนจดหมายตอบกลับไม่มีความลังเลใดๆ จดหมายที่เขียนอย่างลื่นไหลมีทั้งหมดสองฉบับ ฉบับหนึ่งนั้นเป็นจดหมายตอบกลับปิโนต์นัวร์ เรน ส่วนอีกฉบับเป็นจดหมายที่จะส่งให้กับคนรับใช้ของผู้ควบคุมสินค้าฟุ่มเฟือย
มาร์ควิสน้อมรับคำสั่งขององค์รัชทายาท และทำให้ราคาของสินค้าฟุ่มเฟือยลดลง เพราะเหตุนั้นขุนนางบางตระกูลจากฝ่ายขุนนางจึงต้องพบกับประสบกับความล้มเหลวอีกครั้งอย่างเลี่ยงไม่ได้
***
“ตายแล้ว…! เลดี้ค่ะ ได้ยินข่าวนั้นหรือยังคะ”
แอนนี่ลนลานเข้ามาพร้อมกับเรียกอาเรียซึ่งกำลังอ่านหนังสือพิมพ์อยู่พอดี จึงรู้ในทันทีว่าแอนนี้ตั้งใจจะพูดเรื่องอะไร
“หมายถึงเรื่องคาสิโนใช่ไหม”
“ใช่แล้วค่ะ! ทำไมถึงเกิดเรื่องทุจริตขึ้นในคาสิโนอีกแล้วล่ะคะ นี่มันเป็นคำสาปหรือเปล่าคะเนี่ย อย่างกับเป็นอาถรรพ์ที่เกิดกับคนที่เข้ามาบริหารคาสิโนเลยค่ะ”
จินตนาการที่ดูไม่เข้ากับอายุของแอนนี่ ทำให้อาเรียยิ้มมุมปากขึ้นมา เพราะเหตุนี้แอนนี่จึงหน้าแดงและรีบแก้ตัวทันควัน
“อ่อ ไม่ใช่นะคะ คือ…คือ คนเขาก็ลือกันมาแบบนั้นค่ะ จะไปมีคำสาปแบบนั้นจริงๆ ได้ยังไงล่ะคะ”
“อาจจะมีจริงๆ ก็ได้นะ”
ถ้าเป็นคำสาปละก็ อาจจะเป็นเรื่องจริงก็ได้ คำสาปขององค์รัชทายาทอย่างไรเล่า
ในเมื่อไวเคานต์ทั้งสองคนที่เคยบริหารคาสิโน ต่างก็ได้รับการลงโทษจากองค์รัชทายาททั้งคู่ รายแรกนั้นก่อเรื่องเลวร้ายขึ้นมาด้วยตนเอง ส่วนรายหลังนั้นจะใช่จริงๆ รึเปล่า ยังน่าสงสัยว่าบางทีเขาอาจจะหลงเข้าไปในกับดักขององค์รัชทายาทก็เป็นได้
“ดูยังไงก็เป็นฝ่ายขุนนางนั่นแหละที่โง่เง่าไปซื้อคาสิโนขององค์รัชทายาทมาบริหารตั้งแต่แรก”
“พูดอีกก็ถูกอีกค่ะ! ดูเหมือนจะได้รับโอนกิจการมาโดยที่ไม่ได้ตรวจเช็คอะไรให้รอบคอบนะคะ ทั้งๆ ที่มันไม่ใช่เงินจำนวนน้อยๆ เลยแท้ๆ และเหมือนว่าจะมีผู้เกี่ยวข้องกันเป็นทอดๆ ด้วยค่ะ โง่เง่าจริงๆ นี่พวกเขาใช่ขุนนางกันจริงๆ รึเปล่าคะเนี่ย! ”
สำหรับคนทั่วไป หากมีการถ่ายโอนกรรมสิทธิ์ร้านค้าให้กัน ก็มักจะไม่ทำการซื้อขายกันในระยะเวลาสั้นๆ แต่กรณีของไวเคานต์วิเกต์ถือว่าตกลงซื้อขายกันในระยะเวลาที่สั้นมาก จนอดสงสัยไม่ได้ว่า เขาได้ตรวจสอบเอกสารเกี่ยวกับคาสิโนก่อนจะซื้อหรือไม่
“เอาเถอะ ไม่ว่าจะยังไงก็ถือเป็นเรื่องที่ดีละนะ”
“คะ เรื่องที่ดีงั้นหรือคะ! เพราะเกิดเรื่องนั้นขึ้นมา ถึงทำให้ท่านเคานต์ต้องคิดหนักเลยนะคะ! ”
หากฝ่ายขุนนางล้มละลายลงได้เท่าไรก็ยิ่งดี เพราะถ้าเป็นแบบนั้น มิเอลผู้โง่เขลาก็จะต้องพบเจอกับความวอดวายไปในที่สุด
ถ้าผิดพลาดอะไรขึ้นมา ถึงขนาดที่ท่านเคานต์โรสเซนต์ต้องล้มละลายลง ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับอาเรีย ไม่สิ หากว่าล้มละลายลงจริงๆ ว่าที่พระชายาไอซิสก็คงไม่คิดจะไยดีกับมิเอลอีกต่อไปแน่
อย่างไรท่านเคานต์โรสเซนต์ก็ไม่ให้ความช่วยเหลือแก่อาเรียอยู่แล้ว นอกจากนั้นในตอนนี้ยศถาหรือนามตระกูลที่มีแต่เปลือกนอกแบบนั้นก็ไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป
เพราะในตอนนี้เหล่านักธุรกิจอายุน้อยทั้งหลายต่างก็สาบานว่าจะจงรักภักดีต่อฉันมิใช่หรือ แถมยังได้ยินมาอีกว่ามีคนจำนวนไม่น้อยที่ชอบเข้าไปป้วนเปี้ยน ในงานประชุมที่นักลงทุน A เป็นก่อตั้งขึ้นมา เพียงเพราะหวังว่าตัวเองจะเป็นที่จดจำได้บ้าง
เช่นนั้นแล้วจะเป็นการดีกว่าหากฉันได้เห็นท่านเคานต์ร้องห่มร้องไห้เพราะตระกูลโรสเซนต์ต้องล่มจมลง เพราะนั่นถือเป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับฉัน โดยเฉพาะการจะได้เห็นมิเอลต้องใส่เสื้อผ้าเก่าๆ และกล้ำกลืนน้ำตาระหกระเหินอยู่ข้างถนน…
อาเรียยิ้มแล้วตอบออกมา
“นั่นสินะ ฉันพูดผิดไปน่ะ กังวลจัง คุณพ่อจะรู้สึกไม่สบายใจอยู่รึเปล่านะ”
คำพูดที่ไม่มีแม้แต่ความจริงใจปะปนอยู่ ทำให้แอนนี่และเจสซี่เอียงคอฉงนใจ อาเรียไม่สนใจอะไร เธอยังคงยิ้มและจิบน้ำชาต่อไป
“น้ำชานี่รสชาติไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย ทำยังไงมันถึงได้ขมและเผ็ดร้อนแบบนี้กัน หือ แพร์รี่”
และเช่นเคย ในวันนี้ลูกศรแห่งความซวยก็ได้วกกลับมาที่แพร์รี่อย่างไม่ต้องสงสัย เธอตัวสั่นอย่างกับต้นหลิวลู่ลม ทั้งที่ไม่ได้ลงไม้ลงมืออะไรแท้ๆ กลับกลัวได้ถึงขนาดนั้น ช่างน่ารักน่าชังเสียจริง
“นั่นสิคะ ฝีมือแบบนั้นไม่รู้ว่าเข้ามาทำงานในคฤหาสน์ท่านเคานต์ได้อย่างไร จนถึงตอนนี้ดิฉันก็ยังไม่เข้าใจเลยค่ะ”
หลังจากแอนนี่พูดประจบเสร็จแล้ว แพร์รี่ก็หน้าเปลี่ยนสีขึ้นมา ดูเหมือนเธอพยายามระงับความโกรธเอาไว้
และเพราะแบบนั้นแอนนี่จึงเอาพัดแตะไปที่แขนแพร์รี่เป็นการเตือน
“เธอคงไม่ได้กำลังโกรธอยู่หรอกใช่ไหม มันไม่ใช่เรื่องที่เธอจะโกรธได้ตั้งแต่แรกอยู่แล้วนี่”
“ปละ เปล่าค่ะ…”
แม้จะตอบออกมาแบบนั้น แต่สีหน้าของแพร์รี่ดูเสียความมั่นใจเป็นอย่างมาก
ทั้งที่ในตอนนี้มันถึงเวลาที่เธอควรจะชินได้แล้ว ทำไมถึงยังทะนงตัวได้อยู่นะ อาเรียไม่ชอบใจท่าทางแบบนั้นของแพร์รี่เอาเสียเลย จึงทำแก้วชาหล่นลงพื้น
เพล้ง!
แก้วชาคริสตัลอันหรูหราที่ทำโดยช่างฝีมือตกลงบนพื้นก่อนจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ แอนนี่และเจสซี่กะพริบตาด้วยความตกใจพลางจ้องมองไปที่เศษซากคริสตัลบนพื้น
“เก็บกวาดซะ แล้วรินมาอีกรอบ ภายในห้านาทีนะ ฉันคอแห้ง”
คำขอที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย แต่แพร์รี่ก็ไม่สามารถแย้งอะไรได้ เพราะไม่ว่าจะมีต้นกำเนิดอย่างไร สิ่งที่สำคัญก็คือความแตกต่างระหว่างสถานะทางสังคม
แพร์รี่หลับตาปี้ก่อนจะลืมตาขึ้นมา เธอรีบเก็บกวาดเศษแก้วโดยไม่คำนึงถึงบาดแผลที่ฝ่ามือ แล้วรีบออกไปจากห้อง
“เลดี้คะ ตอนนี้ก็ใกล้จะได้เวลาอาหารเย็นแล้วนะคะ คิดจะดื่มชาที่รินมาใหม่จริงๆ หรือคะ”
“ไม่หรอก ตอนนี้ได้เวลาอาหารเย็นแล้วไม่ใช่หรือ ส่วนเรื่องน้ำชาก็ออกจะน่าเสียดาย…ค่อยให้แพร์รี่ดื่มให้หมดน่าจะดีกว่า”
หากเทียบกับสิ่งที่อาเรียได้พบเจอในอดีตแล้ว นี่เป็นการแกล้งที่ถือว่าเล็กน้อยยิ่งกว่าเศษฝุ่นเสียอีก อย่างน้อยก็ยังมีชีวิตอยู่ไม่ใช่หรือไง หากเรื่องแค่นี้ยังทนไม่ได้ แล้วทำไมตอนนั้นถึงได้ประณามคนคนหนึ่งได้อย่างโหดร้ายขนาดนั้นกัน
ห้านาทีผ่านไปก็แล้ว จนถึงตอนนี้เวลาก็ล่วงเลยไปสิบนาทีแล้วแพร์รี่จึงปรากฏตัวขึ้นมา สีหน้าของเธอดูตื่นกลัวเป็นอย่างมากราวกับกำลังคิดถึงโทษที่จะได้รับในไม่ช้านี้
“เลดี้คะ…ดิฉันรินชามาให้ใหม่แล้วค่ะ…”
มือที่สั่นระริกมองดูน่าเวทนาเป็นยิ่งนัก
“งั้นเหรอ เอาไงดีล่ะ ในเมื่อมันเกินห้านาทีไปแล้ว และตอนนี้ฉันก็ต้องไปทานอาหารเย็นแล้วด้วย เสียดายจัง เธอดื่มมันให้หมดก็แล้วกัน”
อาเรียลุกจากที่นั่ง แล้วเดินออกจากไปอย่างสง่าผ่าเผย แอนนี่และเจสซี่เดินตามหลังเธอออกไป ภายในห้องจึงเหลือแค่แพร์รี่อยู่เพียงลำพังเท่านั้น
“กำพืดต่ำทรามแท้ๆ กล้าดียังไงกัน…”
ในตอนนี้แพร์รี่ตัวสั่นไปทั้งตัวด้วยความเคียดแค้นหาใช่ความกลัวไม่ เต็มไปด้วยความชั่วร้ายเหมือนกับเหตุการณ์ในอดีตที่เธอวิ่งโร่เอาความผิดทุกๆ เรื่องของอาเรียไปป่าวประกาศ
………………………………………………………….