ภาคที่ 4 ตอนที่ 74 คุกเข่าบนพื้นหนึ่งเสียงแสดงความยินดี

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

เสียงกระหึ่มก้องฟ้าดังมาจากถนนเสด็จพระราชดำเนิน หวงเฉิงที่ยืนอยู่บนหอเหนือประตูวังสีหน้ายิ่งบึ้งตึงขึ้นทุกที 

 

 

ขุนนางด้านล่างประตูวังเห็นชัดว่าถูกเสียงเอะอะที่เพิ่มขึ้นมากมายอย่างชัดเจนนี้ดึงให้ถกเถียงกัน มองไปทางด้านหลัง ส่วนเหนือประตูเมืองขุนนางส่วนใหญ่ได้ทราบจากการแจ้งของทหารองครักษ์แล้ว 

 

 

ได้ยินว่าผู้อพยพแดนเหนือนับหมื่นแห่เข้ามา สีหน้าของพวกเขาก็ไม่น่าดูยิ่งนัก 

 

 

ผู้อพยพ ชาวบ้านผู้ประสบภัย ประชาชนที่ก่อความวุ่นวาย ในใจเหล่าขุนนางก็คือความหมายเดียวกัน 

 

 

นี่ก็คือสาเหตุที่เมืองมากมายไม่ยอมรับผู้อพยพ 

 

 

ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ เรื่องนี้ไม่ได้แจ้งมาก่อนสักนิด 

 

 

สีหน้าของฮ่องเต้ที่ประทับอยู่บบนบัลลังก์มังกรฟื้นกลับเป็นปกติแล้ว มองไม่เห็นความโกรธ แต่ในใจทุกคนล้วนรู้ชัดว่ายิ่งมองไม่เห็นความยินดีเช่นกัน 

 

 

ทว่าขบวนของเฉิงกั๋วกงใกล้เข้ามาทุกทีๆ แล้ว ขุนนางกรมพิธีการไม่อาจไม่ด้านหน้าก้าวเข้าไป 

 

 

“ฝ่าบาท เฉิงกั๋วกงเข้าเมืองแล้ว ฤกษ์ดีมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เขาก้มศีรษะทำท่าเชิญ 

 

 

ฮ่องเต้คล้ายเพิ่งตื่นจากฝัน บนพระพักตร์ปรากฏความตื่นเต้นอยู่บ้าง 

 

 

“อา ถึงแล้วรึ ดี ดี” พระองค์ตรัสซ้ำๆ พระหัตถ์ตบพนักแขนพระที่นั่ง คนกลับไม่ได้ลุกขึ้นยืน 

 

 

“ฝ่าบาท” หวงเฉิงพลันก้าวออกมา สีหน้าเคร่งขรึม แล้วยังไม่ปิดบังความโกรธสักนิด “เชิญฝ่าบาทเสด็จกลับวัง” 

 

 

กลับวัง? 

 

 

ขุนนางทั้งหลายที่อยู่ที่นั่นตกใจสะดุ้งโหยง 

 

 

เวลานี้กลับวังนั่นใยไม่ใช่ให้เฉิงกั๋วกงเสียหน้าหมดสิ้นต่อหน้าคนทั้งใต้หล้า? 

 

 

แน่นนอนนี่เป็นเรื่องที่หวงเฉิงอยากได้แม้กระทั่งในฝัน แต่เจ้าจะให้ฮ่องเต้ทำเช่นนี้ อย่างไรก็ต้องมีเหตุผลที่อธิบายไปได้กระมัง? 

 

 

ฮ่องเต้เห็นชัดว่าคิดถึงจุดนี้เช่นกัน สีพระพักตร์ประหลาดใจแล้วยังวิตก 

 

 

“ใต้เท้าหวงไยเอ่ยคำนี้?” พระองค์เอ่ยแล้วขมวดคิ้วลุกขึ้นยืน “เฉิงกั๋วกงกำลังจะมาแล้ว ข้าลั่นวาจาแล้วว่าจะสรรเสริญความชอบเขา ขุนนางพลเรือนทหารนับร้อยประชาชนทั้งเมืองล้วนรอคอยอยู่นะ เจ้าอย่าพูดล้อเล่น” 

 

 

พระองค์ตรัสพลางก้าวเท้าไปข้างหน้าส่งสัญญาณให้ขันที 

 

 

“เตรียมประกาศเข้าเฝ้า” 

 

 

ขันทีทั้งหลายขานรับ กำลังจะเดินไปหวงเฉิงก็คุกเข่าดังตึงลง ขวางฝีพระบาทของฮ่องเต้ไว้ 

 

 

“ฝ่าบาทเสด็จไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ” เขาเอ่ยสะอื้น ยื่นมือชี้นอกเมือง “เฉิงกั๋วกงผู้นั้นพาผู้อพยพแดนเหนือนับหมื่นเข้าเมืองหลวงมาโดยไม่ได้แจ้ง นี่อันตรายเกินไปแล้วจริงๆ ผู้อพยพแดนเหนือระหกระเหินนานปานนนี้ ตัวตนความเป็นมาน่าสงสัย หากสายลับปะปนอยู่ข้างในทำร้ายฝ่าบาท ต้าโจวของพวกเราก็จบสิ้นแล้ว” 

 

 

นี่ก็พูดมีเหตุผลเหมือนกัน 

 

 

คนนับหมื่นนี้มาอย่างน่าสงสัยเกินไปแล้วกะทันหันเกินไปแล้ว 

 

 

นั่นไม่ใช่ประชาชนเมืองหลวงบนถนนเสด็จพระราชดำเนิน จำนวนคนแม้มากแต่ก็ถูกตรวจสอบเข้มงวดมาแล้ว นอกจากนี้ไม่ต้องพูดถึงว่าที่มาและตัวตนของผู้อพยพแดนเหนือนับหมื่นยังไม่ได้ตรวจสอบ แค่พูดถึงคนนับหมื่นนี่ก่อเรื่องขึ้นมาพร้อมกัน องครักษ์เหล่านี้บนถนนพระราชดำเนินก็ไม่แน่ว่าจะขวางอยู่ 

 

 

ยิ่งหากเป็นสายลับจินหรือชาวจินปลอมตัวแต่งตัวปะปนอยู่ข้างใน… 

 

 

ชาวจินเคยบุกยึดเมืองหลวง ลักพาตัวฮ่องเต้มาก่อน 

 

 

คนที่อยู่ที่นั่นล้วนคิดถึงจุดนี้ได้ เรื่องนั้นเป็นฝันร้ายของราชวงศ์ สีพระพักตร์ของฮ่องเต้พลันกลายเป็นซีดเผือด 

 

 

แต่พระองค์ยังคงไม่หมุนพระวรกายจากไป แต่กัดฟันก้าวเท้า 

 

 

“ใต้เท้าหวงคิดมากแล้ว” พระองค์ตรัสแน่วแน่ “ข้าเชื่อในเฉิงกั๋วกง มีเขาอยู่ ไม่มีทางเกิดข้อผิดพลาดเช่นนั้น” 

 

 

พูดจบก็ก้าวเท้าลงจากกำแพงวังต่อ 

 

 

หวงเฉิงคุกเข่าเดินโขกศีรษะคำนับ ฟุบกับพื้นร้องไห้ดังลั่น 

 

 

“ฝ่าบาท ฝ่าบาทไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ” เขาตะโกน “ไม่ใช่กระหม่อมใจโฉดชั่ว เฉิงกั๋วกงคนนั้นหลังเจรจาสงบศึกแรกสุดปฏิเสธราชโองการไม่ถอยกลับ แล้วยังบุกไปเขตแดนของชาวจิน ใครจะรู้ว่าที่แท้เขากลับมาได้อย่างไร ฝ่าบาท ไม่อาจไม่ป้องกันนะพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

ขุนนางทั้งหลายรอบด้านตกใจสะดุ้งโหยง 

 

 

คำพูดนี้คือชี้ว่าเฉิงกั๋วกงเข้าข้างชาวจิน ใจชั่วทะเยอทะยานชัดๆ 

 

 

โทษนี้ช่าง… 

 

 

ฮ่องเต้เห็นชัดว่าถูกคำพูดนี้ทำให้ตกใจสะดุ้งโหยงเช่นกัน แต่พระองค์นิสัยขี้ขลาด แต่ไหนแต่ไรไม่เคยมองคนด้วยเจตนาร้าย ชั่วครู่ฟังคำพูดนี้ชั่วขณะหนึ่งถึงกับหวาดหวั่นไม่รู้ว่าควรโต้แย้งอย่างไร 

 

 

“หยุดพูดเหลวไหล หยุดพูดเหลวไหล” พระองค์เพียงโบกพระหัตถ์เอ่ยซ้ำๆ เพื่อหลีกหนีความคิดนี้ เพิ่มความเร็วฝีเท้าลงจากหอ “ข้าจะไปพบเฉิงกั๋วกงเดี๋ยวนี้ ข้าเชื่อมั่นในตัวเฉิงกั๋วกง” 

 

 

บรรดาขุนนางสีหน้ากังวลก้าวเท้าติดตาม หวงเฉิงไล่ตามมาถึงขั้นคุกเข่าเดินโถมเข้ามา โอบทีเดียวกอดขาฮ่องเต้ไว้ 

 

 

“ฝ่าบาท ต่อให้ตายกระหม่อมก็ไม่อาจให้ฝ่าบาทมุ่งไปหาอันตรายได้!” เขาตะโกน 

 

 

เวลานี้พวกเขามาถึงด้านล่างกำแพงวังแล้ว ฉากนี้ขุนนางฝ่ายพลเรือนและทหารนับร้อยล้วนมองเห็น ตกตะลึงทันที 

 

 

ขันทีตกใจสะดุ้งโหยง พวกองครักษ์เสื้อแพรก็ล้วนชักดาบออกมา 

 

 

ยังดีฮ่องเต้ห้ามไว้ทันเวลา ไม่ได้เห็นหวงเฉิงเป็นกบฏรุมฟันจนตาย 

 

 

“ใต้เท้าหวงนี่ท่านทำอะไร” พระองค์มองเส้นผมขาวโพลนของหวงเฉิงทนผลักออกไปไม่ได้ รีบหลบเท้า 

 

 

ขุนนางคนอื่นก็ล้อมเข้ามาด้วย บางคนไปยื้อยุด บางคนห้ามปราม 

 

 

หวงเฉิงเพียงนั่งอยู่บนพื้นไม่ลุก 

 

 

“ใต้เท้าหวง หากรู้สึกว่าอันตราย ไม่ให้ผู้อพยพเหล่านั้นเข้าเมืองก็ได้แล้ว” ขุนนางคนหนึ่งเอ่ยปราม 

 

 

“นั่นก็ยังอันตราย คนที่ชักนำผู้อพยพเข้าเมืองก็อันตราย ต่อให้ข้าเสียหน้าหมดสิ้น ถูกคนทั้งหมดด่าว่าเอาเรื่องส่วนรวมมาแก้แค้นส่วนตัว ต่อให้ข้าเป็นขุนนางชั่วในสายตาคนทั่วใต้หล้า ข้าก็ไม่มีทางให้ฝ่าบาทเสี่ยงอันตราย” หวงเฉิงตะโกน 

 

 

คำพูดนี้สถานการณ์นี้ทำให้บรรดาขุนนางฝ่ายพลเรือนและทหารพากันกระซิบกระซาบ ไม่นานก็ทราบต้นเหตุของเรื่อง 

 

 

หนิงอวิ๋นเจาที่ยืนอยู่ด้านหลังยิ้มแล้ว 

 

 

“นี่เป็นนอนกลิ้งเอาแต่ใจแล้ว” เขาเอ่ยท่าทางทอดถอนใจอยู่บ้าง “ใต้เท้าหวงโชคดีพบเจ้าแผ่นดินผู้เมตตา” 

 

 

ขุนนางด้านข้างไม่ทันสนใจถกเถียงเรื่องนี้ เสียงกระซิบแผ่วเบาร้อนใจอยู่บ้าง 

 

 

“ตอนนี้พวกเราจะทำอย่างไร?” เขาเอ่ยถามเสียงเบา 

 

 

เสียงของเขาจบลงก็เห็นขุนนางกว่าครึ่งคุกเข่าลงพร้อมเพรียง 

 

 

“ขอเชิญฝ่าบาทเสด็จกลับวัง” พวกเขาโขกศีรษะคำนับต่างปากเอ่ยเป็นเสียงเดียว “ฝ่าบาทไม่อาจเสี่ยงอันตรายเด็ดขาด” 

 

 

มองเห็นขุนนางคุกเข่าพรึบพรับเป็นแถบ แล้วได้ยินคำเอ่ยกล่อมตามๆ กัน หวงเฉิงที่นั่งก้มหน้าอยู่บนพื้นมุมปากพลันเผยรอยยิ้มหยันจางๆ 

 

 

เสียหน้า? เป็นขุนนางไม่เสียหน้าแทนฮ่องเต้หรือจะให้ฮ่องเต้เป็นฝ่ายจากไป เสด็จกลับวังเองรึ? 

 

 

โอรสสวรรค์วาจาหนักแน่นดั่งแผ่นดิน พูดแล้วจะกลับคำได้ย่อมต้องถูกคนบีบบังคับเท่านั้น 

 

 

ไม่ต้องเงยหน้าเขาก็รู้ นาทีต่อไปฮ่องเต้ผู้เห็นอกเห็นใจขุนนางย่อมได้แต่เสด็จกลับวังแล้ว 

 

 

เฉิงกั๋วกงจะถูกปล่อยทิ้งไว้บนถนนเสด็จพระราชดำเนิน 

 

 

เข้าเมืองแล้วอย่างไร? 

 

 

พึ่งเจตจำนงของประชาชนแล้วอย่างไร? 

 

 

สิ่งที่เจ้าต้องการก็ยังคงไม่ได้เหมือนเดิม ! 

 

 

ผ่านสามด่านก็ไม่มีเรื่องแล้วรึ? ขอแค่เขาหวงเฉิงอยู่ที่นี่หนึ่งเค่อก็ยังมีด่านที่สี่ ด่านที่ห้า จูซาน เมืองหลวงแห่งนี้กำแพงด่านชั้นแล้วชั้นเล่าประหนึ่งคุก ในเมื่อเจ้าฝ่าเข้ามาก็อย่าคิดสลัดพ้นอีกเลย 

 

 

ได้ยินเสียงห้ามเสนอความคิดวุ่นวาย บรรดาขุนนางที่ยืนอย่ข้างกายหนิงอวิ๋นเจายิ่งร้อนใจแล้ว 

 

 

“พวกเราเล่า?” เขาเอ่ยถาม 

 

 

คุกเข่าหรือไม่คุกเข่า? ห้ามหรือไม่ห้าม? 

 

 

“ย่อมต้องคุกเข่า” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ย จากนั้นสะบัดแขนเสื้อทีหนึ่ง ก้าวยาวไปข้างหน้า 

 

 

บรรดาขุนนางข้างกายไม่ทันตอบสนองตามไปโดยไม่รู้ตัว 

 

 

“กระหม่อมขอแสดงความยินดีกับฝ่าบาท ขอแสดงความยินดีกับฝ่าบาท” 

 

 

เสียงใสกังกังวานรื่นหูเสียงหนึ่งเอ่ยขึ้นดังท่ามกลางเสียงสะอื้นงึมงำต่ำวุ่นวาย ทำให้คนฟังประหนึ่งดื่มน้ำพุหวาน ความร้อนรนฉับพลันสลายหายไป 

 

 

แต่ เวลานี้บอกว่าแสดงความยินดีรึ? 

 

 

คนทั้งหมดล้วนมองไปตามเสียง ฮ่องเต้ก็ทอดพระเนตรตามไปด้วย เห็นเพียงขุนนางหนุ่มสง่างามหล่อเหลาคนหนึ่งเยื้องย่างเข้ามาใกล้ สองมือยกขึ้นสูง ค้อมกายคุกเข่าลง 

 

 

ขุนนางเจ็ดแปดคนที่ติดตามมาหลังร่างเขาก็สีหน้ามึนงงด้วย ยินดีอะไร? ยินดีที่ฝ่าบาทมีหวงเฉิงขุนนางผู้ภักดีปกป้องนายเหนือหัวเช่นนี้รึ? 

 

 

คล้ายจะไม่เหมือนที่จินตนาการไว้เท่าไร… 

 

 

แต่เรื่องมาถึงตรงนี้ก็ได้แต่คุกเข่าลงตามแล้ว 

 

 

“ขอแสดงความยินดีกับฝ่าบาท ขอแสดงความยินดีกับฝ่าบาท” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยอีกครั้ง ใบหน้าประดับรอยยิ้มมองฮ่องเต้ “ประชาชนหลายสิบหมื่นของสามเมืองกลับคืนแคว้นโจว ประชาชนนับหมื่นไม่อนาทรระหกระเหินพันลี้เดินทางมาคำนับขอบคุณพระกรุณาธิคุณ ฝ่าบาทเดิมอยากสรรเสริญความชอบแก่เฉิงกั๋วกง วันนี้ดูท่าเป็นเฉิงกั๋วกง เป็นประชาชนแดนเหนือสรรเสริญความชอบของฝ่าบาท” 

 

 

พูดจบก็คำนับอีกครั้ง 

 

 

“ครั้งนี้ฝ่าบาทไม่เพียงสยบชาวจิน ได้เครื่องบรรณาการได้ประเทศบริวาร ปลอบประโลมวิญญาณบรรพบุรุษ แล้วยังไม่ทอดทิ้งรับประชาชนหลายสิบหมื่นกลับคืน ประชาชนนับหมื่นเข้าเมืองหลวงโขกศีรษะขอบพระทัย ฝ่าบาททรงเป็นเจ้าแผ่นดินผู้ปรีชาจิตใจเมตตาฟ้าดินคุ้มครอง ก่อนหน้าไม่เคยมีมาให้หลังไม่มีผู้ใดเสมอเหมือน เหยาซุ่นก็คงไม่พ้นเข่นนี้” 

 

 

ก่อนหน้าไม่เคยมีมาให้หลังไม่มีผู้ใดเสมอเหมือน เหยาซุ่นก็คงไม่พ้นเข่นนี้ 

 

 

ขุนนางฝ่ายพลเรือนฝ่ายทหารนับร้อยได้ยินคำพูดนี้หน้าแดงหูแดง 

 

 

ความสามารถในการยกยอปอปั้นนี่ของเจ้าสิถึงก่อนหน้าไม่เคยมีมาให้หลังไม่มีผู้ใดเสมอเหมือน? 

 

 

รอยยิ้มมุมปากของหวงเฉิงสลายไปแล้ว คนก็เงยหน้าขึ้นมา มองไปทางขุนนางหนุ่มที่คุกเข่าอยู่กลางลานอย่างเหี้ยมเกรียม 

 

 

คิดไม่ถึง ที่แท้นี่ไม่ใช่กระต่ายตัวหนึ่ง แต่เป็นพยัคฆ์ตัวหนึ่งหรือ 

 

 

บนพระพักตร์ฮ่องเต้ความหวาดหวั่นกังวลวิตกสลายไปแล้ว ที่มาแทนที่คือราศีอิ่มเอิบ 

 

 

หนิงอวิ่นเจาเงยหน้าขึ้น สีหน้าจริงใจมองพระองค์ 

 

 

ใช่แล้ว ฝ่าบาทต้องการหน้าตา เรื่องเสียหน้าผู้อื่นทำ พระองค์ไม่มีทางทำ แต่ในเวลาเดียวกันเรื่องได้หน้าพระองค์ย่อมยินดีทำด้วยพระองค์เอง ไม่ใช่มอบให้ผู้อื่น 

 

 

พินิจครุ่นคิดว่าตบหน้าผู้อื่นสำคัญหรือตนเองได้หน้าสำคัญ 

 

 

สรรพสิ่งล้วนไม่พ้นผลประโยชน์ ไม่มีความแน่นอน 

 

 

“ฝ่าบาท” หนิงอวิ๋นเจาคำนับอีกครั้ง “นี่เป็นความดีความชอบยิ่งใหญ่ของฝ่าบาท ประชาราษฎร์ใต้หล้าร่วมแซ่ซ้อง กระหม่อมขอแสดงความยินดีกับฝ่าบาท ขอแสดงความยินดีกับฝ่าบาท” 

 

 

ขุนนางทั้งหลายหลังร่างเขาครานี้ไม่อึ้งอีกแล้ว โขกศีรษะคำนับตาม 

 

 

เรื่องมาถึงตอนนี้ พวกเขาตามหลังร่างหนิงอวิ๋นเจามาแล้ว ไม่ว่าเอ่ยแสดงความมยินดีหรือไม่เอ่ย ในสายตาทุกคน ในสายตาฮ่องเต้ พวกเขาก็เป็นพวกเดียวกันกับหนิงอวิ๋นเจาแล้ว 

 

 

“ขอแสดงความยินดีกับฝ่าบาท ขอแสดงความยินดีกับฝ่าบาท” พวกเขาจึงตะโกนเสียงพร้อมเพรียง 

 

 

ดีเลวอย่างไรนี่ก็เป็นคำพูดที่ดีประโยคหนึ่ง 

 

 

ไม่ผิด นี่เป็นความดีความชอบยิ่งใหญ่ของพระองค์ หากเวลานี้พระองค์หมุนตัวกลับวังหลวง ถ้าเช่นนั้นประชาชนทั้งหลายของแดนเหนือนี่ก็จะรู้จักเพียงเฉิงกั๋วกง คิดถึงเพียงเฉิงกั๋วกง 

 

 

ใต้หล้ายิ่งใหญ่ไม่พ้นแผ่นดินของจักรพรรดิ แม่ทัพนำทหารไม่พ้นขุนนางของเจ้าแผ่นดิน 

 

 

ความชอบนี้เป็นของพระองค์ พระองค์ต้องเอามา 

 

 

ฮ่องเต้ยืนตัวตรง สะบัดหวงเฉิงออก ยกพระหัตถ์ขึ้นสูง 

 

 

“ประกาศ” พระองค์ตรัสเสียงกังวาน