ภาคที่ 4 ตอนที่ 75 เรื่องจบคนที่จากไปกลับมา

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

หวงเฉิงมองฮ่องเต้เสด็จไปข้างหน้า ขุนนางฝ่ายพลเรือนฝ่ายทหารรอบด้านเดินเรียงแถวติดตาม 

 

 

บัญชาของฮ่องเต้ถ่ายทอดออกไปแล้ว เสียงกลองดนตรีประโคม กองทหารเกียรติยศเป็นระเบียบพร้อมเพรียง ปวงชนบนถนนเสด็จพระราชดำเนินพากันคุกเข่า เป็นทิวแถวสีสันละลานตา 

 

 

ในทิวแถวสีสันละลานตานี้ สีหน้าของหวงเฉิงไม่น่าดูยิ่ง เขาก็ไม่ปิดบังสักนิด 

 

 

“ใต้เท้า ลุกขึ้นเถอะขอรับ” ขันทีสองคนกล่อมอย่างระมัดระวัง 

 

 

“ข้าไม่ลุก”หวงเฉิงเอ่ย “ข้ากลัวอะไร วาจาภักดีไม่รื่นหู เสนอความเห็นถูกปฏิเสธมีอะไรน่าขายหน้ากัน? นี่เป็นความรับผิดชอบของขุนนาง 

 

 

เขาพูดพลางก็นั่งลงทันที ท่าทางไม่ลุกขึ้นท่าเดียว 

 

 

เด็กน้อยเอาแต่ใจ ตีสักทีก็ได้แล้ว ผู้เฒ่าเอาแต่ใจ หมดหนทางจริงๆ ตีก็ตีไม่ได้ 

 

 

ฮ่องเต้กลับไม่สนพระทัยเช่นกัน พวกขันทีสบตากันส่ายศีรษะถอยออกไปแล้ว 

 

 

เสียงกีบเท้าม้าย่ำกลบเสียงโห่ร้องของประชาชน 

 

 

เมื่อกองทัพอาภรณ์ผ้านั่นปรากฏในสายพระเนตรของฮ่องเต้ ท่ามกลางการห้อมล้อมของผู้อพยพเสื้อผ้าขาดวิ่นรอบด้าน แม้ไม่น่าเกรงขามเท่าทหารและแม่ทัพชุดเกราะแวววาว แต่กลับมีความเข้มแข็งที่ต่างออกไป 

 

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นฮ่องเต้ปรากฏตัว เฉิงกั๋วกงพลันขึ้นมาข้างหน้าตะโกนเสียงดังว่ากระหม่อมผิดต่องานใหญ่ที่ฝ่าบาทไหว้วาน เหล่าทหารลงม้าคุกเข่าข้างหนึ่งทำความเคารพอย่างนอบน้อม ชาวบ้านผู้อพยพนับหมื่นของแดนเหนือก็โขกศีรษะคำนับร่ำไห้โหยหวนอย่างซาบซึ้ง บรรยากาศหน้าพระราชวังทั้งหมดโศกเศร้าอลังการทั้งยังฮึกเหิม 

 

 

ฮ่องเต้ไม่ลังเลอีกต่อไป ก้าวเข้าไปจับมือเฉิงกั๋วกงหลั่งน้ำพระเนตรไม่หยุด แล้วยังปลอบผู้อพยพทั้งหลายที่ซาบซึ้งอยู่ด้วย ขุนนางนับร้อยคุกเข่าพร้อมเพรียง ประชาชนร้องทรงพระเจริญกึกก้อง ทั้งเมืองหลวงล้วนสั่นสะเทือนเพราะเหตุนี้ 

 

 

หน้าพระราชวังกลายเป็นจุดศูนย์กลางของความครึกครึ้น ถนนที่ผู้อพยพแดนเหนือกับกองทัพของเฉิงกั๋วกงเดินผ่านเมื่อครู่ก็เงียบสงบลง ความเงียบสงบนี้ย่อมหมายถึงเมื่อเปรียบเทียบกัน ชาวบ้านบนถนนยังคงพูดคุยกันอย่างตื่นเต้นกับสิ่งที่เห็นเมื่อครู่ แต่คนมากกว่านั้นแห่ไปทางพระราชวัง 

 

 

เสียนอ๋องที่ยืนอยู่ริมหน้าต่างเหลาสุราริมถนน ส่งเสียงจิ๊ปากสองที 

 

 

“ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยมจริงๆ รัศมีของเฉิงกั๋วกงไม่มีใครบดบังได้จริงๆ” เขารู้สึกทอดถอนใจ คิดถึงอะไรได้ก็มองไปด้านหลังอีก “คนล้วนพูดว่าสีครามมาจากต้นครามแต่เข้มยิ่งกว่าต้นคราม แต่เจ้าลูกชายคนนี้สู้บิดาเจ้าไม่ได้จริงๆ บิดาเจ้าปรากฏตัวบนถนนคนต้อนรับนับหมื่นจนตรอกซอกซอยว่างเปล่า เจ้าปรากฏตัวบนถนนนกบินหนีสุนัขวิ่งกระเจิง” 

 

 

นี่เป็นห้องใหญ่หรูหราห้องหนึ่ง เวลานี้ด้านในตรงหน้าอาหารงามประณีตเต็มโต๊ะกลับมีคนเพียงคนเดียวนั่งอยู่ 

 

 

คนผู้นี้สวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบ ผมเผ้ายุ่งเหยิง หนวดเครารกรุกรังกำลังนั่งขัดสมาธิมือหนึ่งคว้าไหเหล้า มือหนึ่งคว้าไก่ย่างครึ่งตัวขึ้นกัด 

 

 

สภาพเช่นนี้เหมือนผู้อพยพจากแดนเหนือที่ผ่านถนนไปเมื่อครู่ ไม่เข้ากับสภาพในห้องนี้จริงๆ 

 

 

“นี่เจ้าอิจฉาล่ะสิ” เขาว่าพลางดึงหนวดลงมา เผยใบหน้าหล่อเหลาสะอาดสะอ้าน แล้วถือโอกาสใช้มือลูบศีรษะทีหนึ่งเงยหน้าขึ้น “ตอนไหนข้าปรากฏตัวบนถนนไม่ใช่คนนับหมื่นต้อนรับตรอกซอกซอยว่างเปล่า?” 

 

 

พูดพลางยื่นมือชี้นิ้วไปด้านนอก 

 

 

“เจ้าเชื่อหรือไม่ตอนนี้ข้าปรากฏตัวให้เจ้าดูทีหนึ่ง? ถ้าแพ้เจ้าให้ข้าเท่าไร?” 

 

 

เสียนอ๋องหัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว 

 

 

“ระหว่างพวกเราพูดถึงเงินอะไร พูดถึงเงินทำร้ายความรู้สึกนัก” เขาว่า 

 

 

คล้ายรู้อยู่แล้วว่าอยู่ต่อหน้าจูจั้นหาความได้เปรียบจากวาจาไม่ได้ จึงไม่ต่อหัวข้อสนททนานี้อีก ยื่นมือชี้ด้านนอก 

 

 

“คนเหล่านั้นครั้งนี้โกรธตายแล้วจริงๆ แผนการนานปานนี้ใช้เงินมากปานนี้สร้างสถานการณ์ใหญ่โตเช่นนี้ ผลสุดท้ายกระทั่งหน้าเฉิงกั๋วกงยังไม่ได้พบก็ถูกสลายไปแล้ว” 

 

 

จูจั้นหัวเราะหยันทีหนึ่ง แหงนหน้ากรอกสุราในไหสุราเข้าปาก 

 

 

“สาสมกับพวกเขาแล้ว” เขาเอ่ย “พวกตัวตลกโลดเต้นมีสมองไร้มโนธรรมเอาเงินไปแล้วฝูงหนึ่ง” 

 

 

เสียนอ๋องส่ายศีรษะ 

 

 

“แต่ก็เป็นตัวตลกกลุ่มนี้ทำให้คนเป็นตัวตลกได้” เขาเอ่ย “หากไม่ใช่ผู้อพยพแดนเหนือมา บิดาของเจ้าอย่างไรก็ต้องออกมาพบคนเหล่านี้” 

 

 

“ไม่มีหาก” จูจั้นเอ่ยเด็ดขาด 

 

 

เสียนอ๋องส่งเสียงจิ๊ปากสองที 

 

 

“ดูท่าทางได้ใจของเจ้าสิ ไม่ใช่ภรรยาของเจ้าร้ายกาจรึ” เขาเอ่ย 

 

 

จูจั้นถลึงตา 

 

 

“ภรรยาเจ้าสิ!” เขาเอ่ย 

 

 

“ภรรยาข้าอยู่ที่บ้านหรอก มีหลายคนนัก เจ้าหาคนไหนเล่า?” เสียนอ๋องถลึงตาเอ่ยบ้าง 

 

 

จูจั้นสบถคำหนึ่ง 

 

 

“ไม่ต้องถลึงแล้ว ถลึงอีกเท่าใดก็ไม่ใหญ่” เขาเอ่ย ยื่นมือถือตะเกียบกินอาหารอีกคำ 

 

 

เสียนอ๋องนั่งลงติดกับเขา 

 

 

“โถโถ ภรรยาเจ้าเล่า? ละครฉากใหญ่นี่เล่นจบแล้ว นางยังไม่ออกโรงรึ?” เขาเอ่ยถามอย่างสงสัยใคร่รู้ 

 

 

จูจั้นแขนเดียวผลักเขาออก 

 

 

“พูดจาระวังหน่อย อย่าคำก็ภรรยาสองคำก็ภรรยา ข้ายังเป็นคนหนุ่มบริสุทธิ์ผุดผ่องคนหนึ่งนะ” เขาเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ 

 

 

เสียนอ๋องสบถ 

 

 

“เจ้าบริสุทธิ์จริงนะ!” เขาหัวเราะฮ่าฮ่าพลางถือสุราแหงนหน้ากรอกลงไปอย่างสาแก่ใจ 

 

 

ในห้องแม้มีเพียงสองคน แต่บรรยากาศสุขสันต์ครึกครื้น สอดรับกับความครึกครื้นของพระราชวังไม่ไกล 

 

 

ไกลออกไปอีกตรงหน้าประตูเมืองฝูงชนที่ออกันอยู่เมื่อครู่ไม่อยู่แล้ว มีเพียงเหล่าทหารในหน้าที่ยืนคุยเรื่องเมื่อครู่อยู่ ฝูงชนนอกเมืองเดินเข้ามา ทหารทั้งหลายเห็นคนกลุ่มนี้ก็อดไม่ได้ส่งสายตากันให้ ยืนยืดตัวตรง 

 

 

นี่เป็นคนที่สวมชุดบัณฑิตกับหมวกสี่เหลี่ยมกลุ่มหนึ่ง เพียงแต่เทียบกับความทรงภูมิสง่างามก่อนหน้านี้ พวกเขาดูไปแล้วอนาถอยู่บ้าง บางทีอาจเพราะเสื้อผ้าหลุดลุ่ยเปื้อนฝุ่นดินหรืออาจเพราะสีหน้าหดหู่บนใบหน้า 

 

 

ส่วนเหล่าทหารรักษาเมืองที่ก่อนหน้านี้มองบัณฑิตกับนักเรียนเหล่านี้ด้วยความเคารพอย่างสูงก็ไม่ได้เคารพมากอย่างเช่นก่อนหน้าอีกแล้ว สีหน้าไม่ปิดบังแววถากถางสักนิด 

 

 

“ความดีความชอบของเขาก็ส่วนความดีความชอบ พวกเราก็ไม่ได้ปฏิเสธความดีความชอบของเขาสักหน่อย” นักเรียนคนหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างติดจะอับอาย “เขาอ้างความชอบเอารางวัลก็ไม่ถูก” 

 

 

คนข้างกายยังไม่ทันตอบเขา ด้านข้างเสียงหัวเราะดูแคลนเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น 

 

 

นักเรียนคนนี้หันหน้ามองไป เห็นว่าเป็นทหารเฝ้าประตูเมือง 

 

 

“ถ้าตามหลักที่ท่านซิ่วไฉว่า พวกเราคนเหล่านี้กระทั่งเงินก็เอาไม่ได้สินะ?” เขาเอ่ยคล้ายยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม 

 

 

นักเรียนสีหน้ายิ่งอับอายหงุดหงิด เพราะคำพูดของตนถูกทหารต่ำช้าคนหนึ่งโต้แย้ง 

 

 

“ควรได้ย่อมควรได้ ไม่ควรย่อมไม่ควร” เขาว่า “พวกเจ้าอย่าเข้าใจเจตนาของพวกเราสับสน ถูกเฉิงกั๋วกงปลุกปั่น 

 

 

นายทหารจะพูดอะไรก็มีเสียงเหอะหนักๆ ดังมาก่อนก้าวหนึ่งพร้อมกับเสียงฝีเท้าสับสนวุ่นวาย ผู้คนมองตามเสียงไปก็เห็นในเมืองบัณฑิตอีกกลุ่มหนึ่งเดินมา 

 

 

นายทหารอดไม่ได้ในใจหวาดกลัว พูดถึงที่สุดก็ยังไม่กล้างัดกับบัณฑิต เขากำลังจะถอยหลังไปก้าวหนึ่ง พลันเห็นผู้อาวุโสที่เป็นหัวหน้าของกลุ่มบัณฑิตที่มาจากในเมืองนั่นหยุดเท้า ถ่มน้ำลายหนักหน่วงใส่นักเรียนและบัณฑิตด้านนี้ 

 

 

“บัณฑิตซ่ง พวกท่านทำบัณฑิตขายหน้าสิ้นแล้วจริงๆ” เขาคำรามเสียงเกรี้ยวกราด 

 

 

โอ้? ถึงกับเป็น…สีหน้านายทหารพลันเปลี่ยน สายตาหมุนไปมาบนร่างบัณฑิตทั้งสองฝั่ง 

 

 

บัณฑิตที่มาจากนอกเมืองเหล่านี้สีหน้าพลันเปลี่ยนไปเช่นกัน 

 

 

“บัณฑิตโจว” บัณฑิตคนหนึ่งก้าวออกมา “พวกเราทำเช่นนี้ก็เพื่อบัณฑิตต้าโจว เฉิงกั๋วกงแม่ทัพทหารคนหนึ่ง โอหังเหิมเกริมเกินไปแล้ว ตั้งแต่โบราณมาซ้ายทหารขวาพลเรือน ไหนเลยเคยมีเรื่องที่ขุนนางฝ่ายพลเรือนต้องยกเบี้ยหวัดให้แม่ทัพทหาร” 

 

 

“ไม่ผิด บัณฑิตโจว ไม่อาจยอมให้แม่ทัพทหารเหิมเกริมเช่นนี้ได้เด็ดขาด ไม่เช่นนั้นสังคมย่อมโกลาหล” คนไม่น้อยด้านหลังร่างเขาก็พากันเอ่ยตามด้วย 

 

 

ผู้อาวุโสที่ถูกเรียกขานว่าบัณฑิตโจวมองพวกเขาแล้วหัวเราะหยันอีกครั้ง 

 

 

“ในสายตาข้ามองไม่เห็นขุนนางฝ่ายพลเรือนแม่ทัพฝ่ายทหารอันใด ข้าเห็นเพียงคน” เขาเอ่ย “ส่วนพวกเจ้า ไม่ต้องพูดถึงบัณฑิตเลย กระทั่งคนก็นับไม่ได้” 

 

 

คำพูดนี้หนักนัก บัณฑิตเหล่านี้สีหน้าเดี๋ยวแดงเดี๋ยวขาว ขณะที่กำลังจะแก้ตัว บัณฑิตโจวก็ยื่นมือชี้คนหนึ่งในนั้น 

 

 

“คังเลี่ยงเฉิน” เขาเอ่ยเสียเย็นชา “เจ้ารับเงินคนมาเท่าไร? จวนในตรอกเม่าเอ่อร์ได้มาอย่างไร?” 

 

 

คำนี้เอ่ยออกมาคนไม่น้อยสีหน้าตะลึงงันพากันมองไปทางคนผู้หนึ่ง 

 

 

นี่คือบุรุษวัยกลางคนท้วมนิดๆ คนหนึ่งที่ยืนอยู่ในหมู่บัณฑิตกลุ่มนั้น เวลานี้เขาสีหน้าหวาดผวา ถอยหลังโดยไม่ทันรู้ตัว 

 

 

“ข้า ข้าเปล่า” เขาเอ่ยติดๆ ขัดๆ 

 

 

บัณฑิตโจวไม่ตั้งคำถามอีก สายตาเย็นชากวาดผ่านพวกเขา 

 

 

“พวกเจ้าหลังจากนี้อย่าได้คิดใส่ชุดบัณฑิตชุดนี้ที่เมืองหลวงอีก กั๋วจื่อเจี้ยนไม่มีนักเรียนเช่นนี้อย่างพวกเจ้า” เขาเอ่ยเสียงเย็นชา สะบัดแขนเสื้อหมุนตัวก้าวยาวจากไป 

 

 

นักเรียนและบัณฑิตมากมายที่ติดตามเขาก็มองคนเหล่านี้แล้วส่ายศีรษะ สีหน้าดูแคลน 

 

 

“ทำให้บัณฑิตอับอาย” 

 

 

“เป็นความเน่าเฟะของบัณฑิตจริงๆ” 

 

 

พวกเขาพากันเอ่ยแล้วสะบัดแขนเสื้อจากไป 

 

 

บัณฑิตด้านนี้ตกสู่ความสับสน คนไม่น้อยก้าวเข้าไปขยุ้มคอเสื้อบุรุษที่ถูกเรียกชื่อคนนั้นโวยวาย 

 

 

นายทหารทั้งหลายที่รักษาเมืองสนุกแล้ว 

 

 

“โถโถ” พวกเขากอดอก ยิ้มยิ้มชมดูเรื่องสนุก “พวกเจ้าว่าไหม พูดไม่ชนะผู้อื่น ไม่สู้ตีกันสักยกเสียเลย” 

 

 

“โถโถ ลงมือได้ก็ไม่ต้องขยับปาก” 

 

 

บนเหลาสุราใกล้ประตูเมืองก็มีเสียงประสานขึ้นมาด้วย 

 

 

เฉินชีมองดูบัณฑิตที่ปิดหน้าวิ่งหนีใต้กำแพงเมืองแล้วตบหน้าต่างหัวเราะ 

 

 

“ก่อนอื่นเสียหน้าแล้วตอนนี้ยังถูกบัณฑิตโจวขับไล่อีก เมืองหลวงแห่งนี้ไม่มีที่ให้พวกเขาเหยียบยืนแล้ว” เขาเอ่ย จากนั้นถ่มน้ำลายอย่างชิงชัง “ตรากตรำร่ำเรียนสิบปีถึงตอนนี้เสียเปล่า สมน้ำหน้า” 

 

 

ทำสิ่งใดก็เป็นเช่นนี้ ผลลัพธ์ไม่แน่นอน หากครั้งนี้พวกเขาทำสำเร็จ คนที่ถูกสมน้ำหน้าก็คือเฉิงกั๋วกงแล้ว“ ฟางจิ่นซิ่วเอ่ย 

 

 

เฉินชีมองนางแล้วยิ้ม 

 

 

“เจ้าไม่ได้เห็น การขวางทางสองครั้งนอกเมืองหลวงนั่นอันตรายจริงๆ” เขาเอ่ยโม้ “ข้าให้เจ้าไปนอกเมืองกับข้า เจ้าดันไม่ไป” 

 

 

“อย่างไรก็ยังเข้าเมืองได้ ข้าดูผลลัพธ์ก็พอ” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ย 

 

 

เฉีนชีหัวเราะฮิฮิแล้ว 

 

 

“เจ้ามั่นใจปานนี้เชียว?” เขาเอ่ยถาม 

 

 

ฟางจิ่นซิ่วพ่นลมออกจมูกกลับไม่เอ่ยวาจา 

 

 

เฉินชียิ้มพลางตบมือ 

 

 

“เอาล่ะ วันนี้ผลลัพธ์แน่นอนแล้ว พวกเราก็กลับเถอะ” เขาเอ่ยพลางเดินไปข้างนอก ฟางจิ่นซิ่วกลับนั่งอยู่ริมหน้าต่างไม่ขยับ 

 

 

“ทำไมหรือ?” เฉินชีเอ่ย “ไม่มีเรื่องสนุกให้ดูแล้ว ไปเถอะ” 

 

 

ฟางจิ่นซิ่วฟังเสียงเอะอะที่ดังมาจากวังหลวงไกลออกไปด้านนั้น จากนั้นมองความเงียบสงบนอกประตูเมือง มือที่กำถ้วยชากำแน่นอยู่บ้าง 

 

 

นางเล่า? 

 

 

และในห้องข้างๆ หนิงเหยียนก็กำลังส่ายศีรษะออกจากด้านหน้าหน้าต่าง 

 

 

“บัณฑิตตกต่ำ” เขาเอ่ย 

 

 

หนิงสืออีก้าวไวๆ เข้ามาจากนอกประตู 

 

 

“ท่านพ่อ เฉิงกั๋วกงเข้าวังแล้ว วันนี้ฝ่าบาทจัดงานเลี้ยงพระราชทานรางวัล พวกผู้อพยพแดนเหนือฝ่าบาทก็ทรงให้กรมต่างๆ จัดการให้เหมาะสม ย้ายเข้าไปในเมืองต่างๆ” เขาเอ่ย 

 

 

“ยังดีฝ่าบาทไม่ได้ถูกขุนนางชั่วปลุกปั่นต่อ” หนิงเหยียนพยักหน้าเอ่ย สองพ่อลูกลงจากอาคาร 

 

 

หนิงสืออีได้ยินคำพูดนี้ก็หัวเราะแล้ว 

 

 

“ท่านพ่อ ที่จริงฝ่าบาททำเช่นนี้ก็ถูกปลุกปั่นเหมือนกันนะขอรับ” เขาเอ่ย “ตอนนั้นฝ่าบาทถูกหวงเฉิงกอดขาไว้ กำลังจะหลบกลับเข้าวังแล้ว” 

 

 

เท้าหนิงเหยียนหยุดแล้วมองไปหาเขา 

 

 

“พี่สิบก้าวออกมาขอให้ฝ่าบาทรั้งอยู่” หนิงสืออีอดไม่ได้หัวเราะเอ่ย 

 

 

อวิ๋นเจารึ 

 

 

หนิงเหยียนคาดไม่ถึงเล็กน้อยแต่ก็รู้สึกว่าไม่มีอะไรคาดไม่ถึง 

 

 

หลานชายของเขาคนนี้ ฉลาดปานนี้ จะยินยอมเป็นไม้ประดับธรรมดาไม่ทำอะไรคนหนึ่งจริงๆ ได้อย่างไรเล่า 

 

 

………………………………………. 

 

 

“อวิ๋นเจาเอ๋ย ครั้งนี้ทำพวกเราตกใจแทบตายแล้วจริงๆ” 

 

 

ความครึกครื้นบนถนนเสด็จพระราชดำเนินยังดำเนินต่อ กองทหารเกียรติยศหน้าพระราชวังสลายไปแล้ว คนทั้งหมดล้วนเดินเข้าไปในพระราชวัง 

 

 

หนิงอวิ๋นเจาที่อยู่ด้านหลังตามลำดับถูกสหายขุนนางหลายคนล้อมไว้เอ่ยเสียงเบา 

 

 

หนิงอวิ๋นเจาอมยิ้มสายตามองด้านหน้า 

 

 

“ถ้าอย่างนั้นตอนนี้พวกเจ้ารู้สึกว่าตายแล้วหรือยังไม่ชีวิตเล่า?” เขาเอ่ยถาม 

 

 

ตอนนี้รึ….ขุนนางหลายคนก็มองไปทางด้านหน้าบ้าง ฮ่องเต้นั่งอยู่บนเกี้ยว ข้างกายมีเฉิงกั๋วกงจูซานเดินเคียงข้าง 

 

 

ฉากนี้วันนี้ฮ่องเต้พอพระทัยยิ่งนัก เทียบกับคำกล่อมให้กลับวัง คำแสดงความยินดีเหล่านี้ของพวกเขาย่อมมีความชอบไม่มีใครเกินด้วย 

 

 

ครั้งนี้ทิ้งความประทับในสายพระเนตรฮ่องเต้ไว้แล้ว 

 

 

“ตายไปแล้วฟื้นกลับมา” ขุนนางคนหนึ่งเอ่ย 

 

 

หลายคนล้วนหัวเราะ กำลังคุยเล่นหัวเราะอยู่ ด้านหน้าก็มีขันทีเดินมาอย่างรีบร้อน ยิ้มตาหยีคำนับให้หนิงอวิ๋นเจา 

 

 

“ใต้เท้าน้อยหนิง โปรดตามข้าน้อยมา” เขาเอ่ย 

 

 

นี่คือฮ่องเต้ต้องการพูดกับเขาหรือ? 

 

 

ขุนนางทั้งหลายบนหน้าเผยความยินดี หนิงอวิ๋นเจาสีหน้านิ่งสงบ ยิ้มจางๆ คำนับตอบรับ 

 

 

ขันทีเดินไปก่อนก้าวหนึ่ง แต่หนิงอวิ๋นเจาไม่ได้ก้าวตามไปทันที ท่ามกลางสายตาแสดงความยินดีของเหล่าสหายขุนนาง เขากลับหยุดเท้ามองไปข้างหลังทีหนึ่งคล้ายรอคอยบางอย่าง 

 

 

มองอะไร? 

 

 

รออะไร? 

 

 

บรรดาสหายขุนนางมองไปข้างหลังโดยไม่รู้ตัว 

 

 

“เรื่องสนุก” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ย 

 

 

เรื่องสนุกรึ? 

 

 

บนถนนนเสด็จพระราชดำเนินเวลานี้ประชาชนยังไม่สลายตัวไป ครึกครื้นดังเดิม แต่ก็แค่นี้ มองอยู่ครึ่งวันก็เบื่อแล้ว 

 

 

“ไม่ต้องดูแล้ว ไม่มีเรื่องสนุกแล้ว” สหายขุนนางคนหนึ่งยิ้มเอ่ยเสียงเบา 

 

 

หนิงอวิ๋นเจายิ้ม ไม่เอ่ยต่อ รั้งสายตากลับ ประสานมือคารวะทุกคน ก้าวช้าๆ ตามขันทีผู้นั้นไปข้างหน้า 

 

 

บรรดาสหายขุนนางมองแผ่นหลังของเขาสีหน้ายินดี 

 

 

“ชุดขุนนางเหมือนกัน ทำไมใต้เท้าน้อยหนิงสวมดูแล้วน่าดูเช่นนี้นะ?” สหายขุนนางคนหนึ่งเอ่ยอย่างชื่นมื่น 

 

 

คำพูดนี้ถูกเหล่าสหายยิ้มล้อพักหนึ่ง เพราะครึกครื้นเกินไปจึงชักนำให้ผู้ตรวจการด้านข้างถลึงตาเตือนอย่างไม่พอใจ ทุกคนจึงรีบเก็บสีหน้าท่าทางให้ดี เดินเรียงแถวเรียบร้อยไปข้างหน้า 

 

 

“ทำตามใต้เท้าน้อยหนิงไม่มีทางผิดจริงๆ” ขุนนางคนหนึ่งพลันพึมพำหนึ่งประโยคระหว่างที่เดิน ทั้งทอดถอนใจทั้งยินดี 

 

 

………………………………………. 

 

 

หนิงเหยียนเดินลงจากเหลาสุรา เสียงเอะอะหน้าประตูเมืองสลายไปแล้วหลังการจากไปของเหล่าบัณฑิต บนถนนไม่มีชาวบ้านเบียดเสียดแล้ว แลดูสงบอย่างยิ่ง 

 

 

“คนน้อยแล้วก็ไม่ขวางทาง พวกเราก็ถึงบ้านเร็วยิ่งแล้ว” หนิงสืออียิ้มเอ่ย มองข้ารับใช้ในตระกูลที่ขับรถม้ามา ถ้อยคำเพิ่งจบพลันมีคนวิ่งออกมาจากในตึก 

 

 

“มาแล้ว มาแล้ว” 

 

 

มีคนตะโกนและแล่นผ่านข้างตัวหนิงสืออีไปประหนึ่งสายลม หนิงสืออีเกือบถูกชนล้ม 

 

 

“ทำอะไรน่ะ?” หนิงสืออีตะโกนอย่างไม่สบอารมณ์ “ใครมาแล้ว? รีบอะไรเช่นนี้? รับพระโพธิสัตว์รึ?” 

 

 

คนผู้นั้นไม่ได้สนใจเขา วิ่งตรงไปยังประตูเมือง 

 

 

หนิงสืออีไม่ทันรู้ตัวมองตามไป เห็นบนถนนใหญ่นอกเมือง มีขบวนคนม้าขบวนหนึ่งมา 

 

 

เห็นใบหน้าไม่ชัด แต่เห็นรูปร่างบอบบาง ทั้งร่างอาภรณ์แดงประหนึ่งเปลวเพลิง แต่ก็เพราะท่วงท่าอ้อนแอ้นจึงไม่แลดูบีบคั้นบังคับคน ท่วงท่าอ่อนโยนสง่าและองอาจผสมกัน ดึงดูดสายตาแต่ก็ไม่โอ้อวด 

 

 

นี่ใครกัน? 

 

 

“คุณหนูจวิน!” 

 

 

เฉินชีชูมือสูงตะโกนเสียงดัง 

 

 

คุณหนูจวิน? 

 

 

คุณหนูจวินคนนั้น? 

 

 

เสียงตะโกนนี้ทำให้คนเดินเท้าไม่มากบนถนนหยุดฝีเท้า ทำให้ทหารเฝ้าประตูเมืองยืนตัวตรง สายตาทั้งหมดล้วนมองไป 

 

 

ผู้หญิงคนนั้นใกล้เข้ามาทุกที มาถึงหน้าประตูเมืองแล้ว ตาข่ายปิดหน้าบดบังลมฝุ่นสายแดดแรงหลุดร่วงปลิวอยู่หน้าร่าง เผยดวงหน้างดงาม 

 

 

บนถนนใหญ่คล้ายชะงักนิ่งไปวูบหนึ่งจากนั้นเสียงตะโกนก็ระเบิดก้อง 

 

 

“คุณหนูจวิน!” 

 

 

“คุณหนูจวินกลับมาแล้ว!” 

 

 

“หมอเทวดาแห่งโรงหมอจิ่วหลิงกลับมาแล้ว!” 

 

 

พร้อมกับเสียงตะโกนนี่ คนมากมายฉับพลันแห่ออกมา คล้ายผุดขึ้นมาจากใต้ดิน มีคนในเหลาสุราร้านน้ำชาภัตตาคารมากกว่าเดิมแห่แหนออกมาด้วย ฉับพลันเบียดเต็มถนนแล้ว 

 

 

หนิงสืออีถูกเบียดจนเซซ้ายเซขวา ปกป้องหนิงเหยียนอย่างระวัง 

 

 

“นี่รับพระโพธิสัตว์จริงๆ นะ” เขาเอ่ย มองดูท้องถนนที่ผู้คนเบียดเต็ม ย่ำเท้าหงุดหงิดอย่างจนปัญญา “จบกัน ทางถูกขวางอีกแล้ว ชั่วยามครึ่งวันออกไปไม่ได้แล้ว” 

 

 

บนถนนใหญ่ความครึกครื้นครั้งใหม่จุดขึ้นมา ความครึกครื้นหน้าถนนเสด็จพระราชดำเนินกำลังจะสลาย ข่าวคราวกระจายออกไป คนมากมายจึงแห่มาจากด้านนั้นด้วย สถานการณ์ไม่แพ้ต้อนรับเฉิงกั๋วกงเข้าเมือง 

 

 

“คนนที่ไม่รู้ยังคิดว่าเฉิงกั๋วกงยังไม่เข้าเมืองหลวงแน่ะ” หัวหน้ากองพันเจียงเอ่ย 

 

 

เวลานี้พวกเขายืนอยู่ในห้องเล็กมืดทะมึนใต้ประตูเมือง หลบหลีกแสงตะวันแล้วก็หลบหลีกสายตาผู้คน 

 

 

หัวหน้ากองพันเจียงมองลู่อวิ๋นฉีที่เอามือไพล่หลังมองไปข้างนอกอยู่ข้างกาย 

 

 

“เป็นอย่างที่ใต้เท้าคิดไว้จริงๆ คุณหนูจวินมาถึงวันนี้จริงๆ” เขาเอ่ยประจบ 

 

 

ลู่อวิ๋นฉีสีหน้าไร้อารมณ์ก้าวข้ามธรณีประตู แต่ไม่ได้ก้าวเข้าไปใต้แสงตะวัน ยังคงอยู่ใต้ร่มเงามุมกำแพงเมือง จนถึงขั้นชาวบ้านที่แห่แหนมาซึ่งสนใจมองเพียงคุณหนูจวินไม่ค้นพบเขา 

 

 

แต่มีสายตาคู่หนึ่งมองมาในเวลาเดียวกับที่เขาก้าวออกมา 

 

 

เพราะขี่อยู่บนม้าจึงมองจากที่สูงลงมา 

 

 

ลู่อวิ๋นฉีเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย สบตาอย่างนิ่งเฉย 

 

 

สตรีชุดแดงคนนั้นในสายตาเคาะแส้ม้าในมือเบาๆ มุมปากยิ้มนิดๆ ขยับริมฝีปากอย่างไร้เสียง 

 

 

ข้ากลับมาแล้ว 

 

 

ลู่อวิ๋นฉีเข้าใจคำพูดที่เอ่ยออกมาอย่างไร้เสียงของนาง 

 

 

ข้ากลับมาแล้ว 

 

 

ลู่อวิ๋นฉีเพียงรู้สึกว่าแสงตะวันฉับพลันกลายเป็นแสบตา หัวใจพริบตาหยุดเต้น 

 

 

ไม่ใช่เพราะคำพูดของนาง แต่เพราะท่าทางของนาง 

 

 

นางกลับมาแล้ว 

 

 

นางของเขา ไม่ใช่คนอื่น นี่คือนางของเขา กลับมาแล้ว