DC บทที่ 277: ภารกิจช่วยเหลือ

 

หลังจากเข้าสู่เขตอัมพรวิญญาณ ปราณหยางที่เข้มข้นอยู่แล้วของซูหยางยิ่งทวีความเข้มข้นมากยิ่งขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นเพราะว่าความแข็งแกร่งที่มากล้นของปราณหยางทำให้น้องชายของซูหยางปลดปล่อยกระแสพลังอันลึกล้ำที่จะเพิ่มความสุขให้กับคู่ของเขาระหว่างการฝึกวิชาคู่อย่างเป็นธรรมชาติ

 

กล่าวอีกนัยหนึ่ง แม้กระทั่งซูหยางไม่ทำอะไรเลย คู่ของเขาก็ยังจะรู้สึกมีความสุขเพียงแค่มีแก่นของเขาอยู่ในร่างกายของพวกเธอ

 

“อาาา”

 

“อาาาาาาา”

 

“อาาาาาาาาาาาา”

 

ทั้งร่างของฟางซีหลานสั่นสะท้านก่อนที่จะปล่อยปราณหยินจากร่างกายส่วนล่าง

 

“อีกแล้ว…เขาทำให้ข้าหลั่งอีกแล้ว…”

 

หลังจากที่ฝึกวิชาร่วมกับซูหยางได้ครึ่งชั่วโมง ฟางซีหลานก็จำไม่ได้แล้วว่าตนเองหลั่งปราณหยินออกไปแล้วกี่ครั้ง

 

นับตั้งแต่เธอเริ่มเส้นทางการฝึกฝนแบบนี้ ฟางซีหลานก็ไม่เคยรู้สึกถึงความพึงพอใจและสุขสมเช่นนี้มาก่อนจากการร่วมฝึกคู่

 

รู้สึกเหมือนกับกบในบ่อ ฟางซีหลานจึงอ้าแขนรับทุกสิ่งที่ซูหยางฝากไว้บนกายเธอ

 

หลังจากผ่านไปอีกครึ่งชั่วโมงเมื่อร่างของฟางซีหลานไม่อาจรองรับสถานการณ์ได้อีกต่อไป ซูหยางก็หลั่งปราณหยางเข้าสู่ฟางซีหลาน

 

“อาาาาา”

 

ฟางซีหลานร้องครางเสียงยาวเมื่อเธอรู้สึกว่ามีบางสิ่งที่อบอุ่นพุ่งเข้าไปเติมเต็มในช่องของเธออย่างรวดเร็ว

 

ไม่นานหลังจากนั้นเมื่อฟางซีหลานรู้สึกถึงคุณภาพของปราณหยางในร่างเธอ เธอก็จ้องมองซูหยางด้วยดวงตาเบิกกว้าง

 

“น-น-นี่…เขตอัมพรวิญญาณ”

 

“เจ้าบอกได้ด้วยรึ” ซูหยางยิ้ม

 

แม้ว่าเธอจะตะลึง ฟางซีหลานก็ยังสามารถพยักหน้าตอบรับได้

 

“ตราบเท่าที่เจ้าร่วมฝึกคู่กับข้าอย่างต่อเนื่อง เจ้าก็จักเข้าถึงเขตปฐพีวิญญาณก่อนถึงการแข่งขันระดับภูมิภาค”

 

ฟางซีหลานไม่ได้สงสัยในคำพูดของเขาแม้แต่น้อย

 

ตามจริงเธอควรจะไปถึงระดับที่สี่เขตปฐพีวิญญาณได้เลยในเวลาที่การแข่งขันระดับภูมิภาคเริ่มต้นถ้าเธอฝึกร่วมกับซูหยางอย่างต่อเนื่อง

 

ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากผ่านไปเพียงแค่อาทิตย์เดียว ศิษย์นอกทั้งเจ็ดที่ต้องการเข้าร่วมการแข่งขันระดับภูมิภาคแต่ยังคงอยู่แค่ระดับปฐมวิญญาณก็ได้เข้าสู่เขตคัมภีร์วิญญาณไปนานแล้วหลังจากที่ฝึกร่วมกับซูหยางและพวกเธอทั้งหมดก็คาดหวังว่าจะเข้าสู่เขตสัมมาวิญญาณก่อนที่จะถึงการแข่งขันระดับภูมิภาค

 

หลังจากที่ฝึกร่วมกับฟางซีหลานแล้วซูหยางก็กลับไปยังที่พักของตนเองเพืี่อที่จะได้ฝึกฝนร่วมกับบรรดาศิษย์ในวันถัดไป

 

 

 

 

ระหว่างช่วงเวลานี้นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็ยังคงเงียบเชียบและอยู่แต่ภายในพื้นที่ของตนเอง

 

ส่วนสำหรับนิกายดอกบัวเพลิง พวกเขาก็ไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยให้กับโลกภายนอกและเพียงพูดถึงประสบการณ์ของตนเองกับผู้นำนิกายเท่านั้น ในเมื่อนี่เป็นคำแนะนำของผู้นำนิกายด้วยตนเอง

 

“ซูหยาง”

 

ขณะที่เขาอยู่ในระหว่างการฝึกคู่ หยกสื่อสารของซูหยางพลันสั่นและเสียงของโหลวหลานจีก็ดังขึ้นในหัวของเขา

 

“มาที่ศาลาหยินหยางเดี๋ยวนี้ มีเรื่องด่วน”

 

“…”

 

“มีอะไรผิดไปรึ ศิษย์พี่ชาย”

 

คู่ฝึกของซูหยางถามเขาหลังจากที่เขาพลันหยุดเคลื่อนไหว

 

“ใช่ ผู้นำนิกายเพิ่งเรียกหาข้า และฟังดูเหมือนว่าเธอค่อนข้างรีบร้อน คงมีอะไรเกิดขึ้นบางอย่าง”

 

“ไปเถอะ ศิษย์พี่ชาย เราสามารถเสร็จเรื่องนี้ต่อวันหน้า”

 

ซูหยางส่ายหน้าและกล่าวว่า “หนึ่งนาที”

 

หลังจากที่พูดคำพูดเหล่านั้นแล้ว ซูหยางก็ฝึกคู่ต่อไป

 

หนึ่งนาทีหลังจากนั้นซูหยางก็ปลดปล่อยปราณหยางของเขาเข้าสู่ร่างเธอและหญิงสาวก็พอใจมากกับกิจกรรมนี้

 

หลังจากนั้นไม่นาน ซูหยางก็เปลี่ยนเสื้อผ้าและตรงไปยังศาลาหยินหยาง

 

เมื่อไปถึงโหลวหลานจีและคนอีกสามคนที่นั่นก็หันไปมองดูเขา

 

“เจ้าใช้เวลานานพอสมควร” ผู้อาวุโสซุนแค่นเสียงเมื่อเห็นเขา

 

“ข้าอยู่ในระหว่างการฝึกวิชา” เขาตอบผ่านๆ

 

“อย่างไรก็ตามทำไมเราจึงมาที่นี่กัน”

 

ซูหยางหันไปมองดูโหลวหลานจีซึ่งมีท่าทางกระวนกระวายบนใบหน้า

 

โหลวหลานจีพยักหน้าและเริ่มอธิบายสถานการณ์ “ข้าได้ลืมเรื่องนี้ไปเพราะว่าสถานการณ์ของนิกายล้านอสรพิษ แต่ศิษย์น้องของเราได้ฝึกฝนอยู่ข้างนอกและข้าเพิ่งได้รับการเรียกหาด่วนจากผู้อาวุโสนิกายที่นำพวกเขาบอกว่าพวกเขาตอนนี้ตกอยู่ในอันตรายและต้องการกองหนุน อีกนัยหนึ่งมันเป็นภารกิจช่วยเหลือและข้าต้องการพวกท่านสี่คนไป”

 

“ศิษย์รุ่นเยาว์รึ”

 

ซูหยางเลิกคิ้ว แม้ว่าเขาจะยังไม่รู้จักคำนี้ได้ในทันที แต่เขาก็ค้นหาพบในความทรงจำอย่างรวดเร็ว

 

พูดง่ายๆศิษย์รุ่นเยาว์คือศิษย์ที่อายุต่ำกว่าเกณฑ์ และนี่ก็เป็นตำแหน่งพิเศษที่มีเฉพาะในนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเนื่องมาจากวิธีการฝึกวิชาที่พิเศษเฉพาะ ยิ่งไปกว่านั้นศิษย์รุ่นเยาว์ก็จะถูกห้ามเข้าร่วมการฝึกคู่ก่อนที่จะมีอายุถึง 16 เมื่อพวกเขาจะได้เป็นผู้ใหญ่อย่างเต็มตัว ซึ่งใครๆก็สามารถจินตนาการถึงความชั่วร้ายของนิกายได้หากพวกเขาได้รับการยินยอมให้ร่วมฝึกคู่ก่อนนั้น

 

“พวกเขาอยู่ที่ไหนกัน” ฟางซีหลานซึ่งอยู่ที่นั่นได้ถามโหลวหลานจี

 

“พวกเขาตอนนี้อยู่ที่รอยต่อระหว่างเขตตะวันออกและเขตใต้”

 

“ท่านรู้หรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา” ซุนจิงจิงสมาชิกคนสุดท้ายที่นั่นถาม

 

โหลวหลานจีส่ายหน้า “ข้ามิได้รับข้อความอะไรโดยตรง มีเพียงสัญญาณหลังจากที่พวกเขาทำลายยันต์ขอความช่วยเหลือที่ข้าให้ไว้ อย่างไรก็ตามเพราะว่าเรามิรู้สถานการณ์ดังนั้นอย่าประมาทในเมื่อมันเป็นสิ่งที่แม้กระทั่งผู้อาวุโสนิกายที่นั่นมิอาจรับมือได้”

 

“ไกลแค่ไหนจากรอยต่อกับที่นี่” ซูหยางถาม

 

“ถ้าพวกเจ้ารีบวิ่งไปตอนนี้ นั่นคงใช้เวลาเพียงแค่สองสามวัน”

 

“สามวัน นั่นไกลเกินไป…และเวลาที่พวกเราไปถึงที่นั่น…ข้าเกรงว่านั่นคงจะสายเกินไป…” ซุนจิงจิงขมวดคิ้ว

 

โหลวหลานจีถอนหายใจและกล่าวว่า “ถึงแม้ว่าเราอาจจะไปไม่ทันเวลา เรามิอาจทำเพียงเพิกเฉยพวกเขา ในเมื่อนั่นก็เหมือนทอดทิ้งพวกเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมันเกิดขึ้นกับพวกเราไม่นานเกินไป”

 

“เราเพียงแค่ไปช่วยเหลือพวกเขาใช่ไหม”

 

ซูหยางพลันนำเอาเรือลำน้อยออกมาและโยนมันไปกลางอากาศ

 

เวลาถัดไปเรือไม้ก็ขยายขนาดขึ้นจนมีขนาดเท่ากับเรือไม้ขนาดจริง

 

“น-นั่นอะไร มันสามารถลอยกลางอากาศได้ด้วย” ซุนจิงจิงถามเขาด้วยความสนใจที่พุ่งพรวด

 

“มันเป็นยานบิน ด้วยสิ่งนี้เราจะไปถึงเป้าหมายของเราได้เร็วยิ่งขึ้น”

 

“ยานบิน…”

 

ทั้งโหลวหลานจีและผู้อาวุโสซุนจ้องมองเรือไม้ด้วยดวงตาเบิกกว้างเต็มไปด้วยความตระหนก ซูหยางได้สมบัติเช่นนี้มาจากไหนกัน

 

ซูหยางกระโดดขึ้นไปบนเรือและหันไปมองคนอื่นและกล่าวว่า “พวกเจ้ารออะไรกัน เรากำลังรีบอยู่มิใช่รึ ขึ้นมาเร็ว”