ตอนที่ 110 นายเป็นคนของคุณชาย

 

 

           ซือเหยี่ยนเลิกคิ้ว “หมายความว่าไง”

 

 

           “นายอย่ามาทำไขสือ เมื่อกี้นายทำสงครามเย็นกับฉันใช่ไหม ฉันจะบอกนายนะซือเหยี่ยน มีอะไรไม่ชอบใจก็บอกกับฉันตรงๆ นายอย่าเก็บเอาไว้ซ่อนเอาไว้เลย”

 

 

           ซือเหยี่ยนมองเขา แล้วยกมุมปากขึ้น “คุณอยากให้ผมพูดอะไร”

 

 

           “นายอยากพูดอะไรก็พูดอันนั้นแหละ”

 

 

           “งั้นก็คือ ตอนนี้คุณอยากจะทะเลาะกับผมเหรอ”

 

 

           เจียงมู่เฉินโมโหแล้ว “ใครแม่งไม่มีอะไรทำแล้วอยากทะเลาะกับนาย” เขามาหาเรื่องทะเลาะหรือไง เขามาแก้ปัญหาเคลียร์ใจต่างหาก!

 

 

         “อ่อ” ซือเหยี่ยนเอ่ยรับ เอนพิงโต๊ะมองดูเขา “งั้นคุณก็มาขอโทษเหรอ”

 

 

           เจียงมู่เฉินผู้ถูกพูดความในใจออกมา หูแดงขึ้นทันที รีบโต้แย้งกลับไป “ฉันจะมาขอโทษอะไรนาย ฉันมีอะไรต้องมาขอโทษนายหรือไง”

 

 

           “งั้นผมก็ไม่มีอะไรอยากจะพูด” ซือเหยี่ยนหันหลังใส่เขา

 

 

           เจียงมู่เฉินจ้องมองแผ่นหลังของเขา ไฟในใจลุกโชนขึ้นมาในทันใด เขาคุมตัวซือเหยี่ยนไว้ “นายไม่มีอะไรจะพูด แต่ฉันมี”

 

 

           ซือเหยี่ยนเลิกคิ้วมองเขา

 

 

           เจียงมู่เฉินรั้นจะถลึงตาใส่เขาอย่างเอาแต่ใจ “ซือเหยี่ยน แม่งเอ๊ย นายฟังฉันดีๆ นะ นายเป็นคนของคุณชาย คนของฉัน คนของฉันสนใจใส่ใจได้แค่ฉันเท่านั้น ต่อไปถ้ายังจะให้ฉันรู้อีก หลินเหวินฮุ่ยอะไรนั่น จางเหวินฮุ่ยอะไรนั่น คุณชายอย่างฉันจะลงทัณฑ์นายเดี๋ยวนั้นเลย”

 

 

           ‘แม่งเอ๊ย จะเป็นแฟนผู้แสนดีอ่อนโยนอะไร เขาเจียงมู่เฉินไม่ใช่คนแบบนั้นสักหน่อย’

 

 

           แต่เล็กจนโต เขาก็ไม่รู้ว่าคำว่า ‘อ่อนโยน’ สองคำนี้เขียนอย่างไร

 

 

           ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ซือเหยี่ยนยกมุมปากขึ้น แล้วมองดูเขา ไม่พูดอะไรสักคำ

 

 

           เจียงมู่เฉินขมวดคิ้ว “คำที่ฉันพูดไป นายได้ยินไหม”

 

 

           “อืม ได้ยินแจ่มแจ้งชัดเจน”

 

 

           “นายไม่รู้จักแสดงท่าทีอะไรตอบกลับหรือไง”

 

 

           ซือเหยี่ยนยกยิ้มเบาๆ “ต้องการท่าทีตอบสนอง? ได้แน่นอนอยู่แล้ว”

 

 

           เสียงพูดของเขาเพิ่งจะหยุดลง เจียงมู่เฉินรู้สึกแค่ว่าโดนจับพลิกไปทั้งตัว กว่าจะรู้ตัวเห็นอะไรชัดเจน ตัวเองก็โดนซือเหยี่ยน พลิกจับมากดไว้แล้ว

 

 

           หัวเจียงมู่เฉินชักจะเริ่มชาๆ นี่ซือเหยี่ยนคงจะไม่ได้ยินอะไรไม่เข้าหูจนเตรียมจะใช้ความรุนแรงในครอบครัวหรอกใช่ไหม

 

 

           เขารีบเอามือยันซือเหยี่ยนเอาไว้ “นี่ พูดจากันดีๆ สิ นายอย่าลงไม้ลงมือนะ”

 

 

           ซือเหยี่ยนโน้มตัวเข้าใกล้เขา “เพื่อจะไม่ให้คุณลงทัณฑ์ผม แน่นอนว่าต้องฝากความคิดไว้ที่คุณ”

 

 

           เจียงมู่เฉินเบิกตากว้างมองเขา คำตอบนี้ต่างกับไม่ตอบอยู่เหรอ

 

 

         “เมื่อเช้าคำที่ผมพูดไปยังรักษาไว้อยู่นะ” ซือเหยี่ยนเอ่ยเสียงต่ำ

 

 

           เจียงมู่เฉินเลิกคิ้ว คิดทบทวนอย่างจริงจัง ว่าเมื่อเช้าพูดอะไรไป ในหัวขีดเส้นคำพูดที่ซือเหยี่ยนพูดอยู่ในห้องน้ำเมื่อเช้านี้

 

 

           แววตาเจียงมู่เฉินเปล่งประกายขึ้นมาชั่วพริบตา เขายกมือขึ้นโอบคอซือเหยี่ยน “จู่ๆ ฉันก็รู้สึกว่าฉันควรจะทำตามสัญญาสักหน่อย”

 

 

           ซือเหยี่ยนคลายมือลง เพิ่มระยะห่างเอนพิงโต๊ะครึ่งตัวเล็กน้อย

 

 

           “อืม ผมเตรียมพร้อมแล้ว คุณเริ่มได้เลย”

 

 

           เจียงมู่เฉินพินิจมองใบหน้าของซือเหยี่ยน ไล่ตั้งแต่ใบหน้าไปจนถึงกล้ามท้องกระชับแน่นของเขา ทันทีที่คิดว่าคืนนี้ตัวเองจะเปลี่ยนมาเป็นรุกได้ เพียงเสี้ยวเวลาอารมณ์ก็มาเป็นระลอกคลื่น

 

 

           เขายื่นมือกดซือเหยี่ยนเอาไว้ “วางใจเถอะ คุณชายจะทำให้นายได้สบายแน่นอน”

 

 

           ซือเหยี่ยนยกมุมปากขึ้น รู้สึกว่าเจียงมู่เฉินในตอนนี้ เหมือนเติ้งถูจื่อ[1]ในสมัยโบราณที่ฉุดหญิงสาวมาขืนใจจริงๆ

 

 

           “ไม่ไปห้องนอน?” ซือเหยี่ยนเอนพิงอยู่ตรงนั้น ยอมให้เขาเล่นลวดลาย

 

 

           ‘ในห้องหนังสือเร้าใจจะตาย จะไปห้องนอนทำไม เปลี่ยนกลับเป็นรุกครั้งแรกต้องหาสถานที่เร้าใจหน่อยไม่ใช่เหรอ’

 

 

           เจียงมู่เฉินรีบส่ายหัว “อย่าเลย ไปห้องนอนอะไร ฉันว่าห้องหนังสือก็ดีมากนะ”

 

 

           เมื่อคิดภาพซือเหยี่ยนนอนอยู่บนโต๊ะในห้องหนังสือ…เจียงมู่เฉินรู้สึกว่าตัวเองเริ่มจะเตรียมพร้อมที่จะลงมือบุกแล้ว

 

 

           เขาจ้องมองซือเหยี่ยน หน้าผากร้อนผ่าว มือไม้สะเปะสะปะไม่หมด

 

 

           ซือเหยี่ยนมองเจียงมู่เฉินแล้วถอนหายใจอย่างเสียไม่ได้ “ผมว่า ไม่งั้นผมเองดีกว่า”

 

 

           เจียงมู่เฉินจ้องเขม็ง “นายนอนลงดีๆ อย่าขยับสะเปะสะปะ”

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นท่าทางดื้อรั้นเอาแต่ใจของเขา แล้วรู้สึกได้ใจขึ้นชั่ววูบ เอนกายนอนไม่สนใจเขา

 

 

           ครึ่งชั่วโมงผ่านไป…

 

 

           เจียงมู่เฉินร้องไห้แล้ว…

 

 

           “แม่งเอ๊ย นายบอกว่าให้ฉันเป็นฝ่ายทำไม่ใช่เหรอ”

 

 

           ซือเหยี่ยนหัวเราะเบาๆ “ผมตกลงจะโดนคุณกดทับไง นี่ไม่ใช่การกดทับในแนวตั้งหรอกเหรอ”

 

 

           …เจียงมู่เฉินในใจขื่นขม ที่เขาบอกว่ากดไม่ใช่กดแบบนี้โอเคไหม

 

 

           ‘แม่งเอ๊ย คุยกันแล้วว่าจะให้ซือเหยี่ยนขยับเอง ตอนนี้กลายเป็นตัวเองขยับเองจนได้ เจียงมู่เฉินรู้สึกว่าการซื้อขายครั้งนี้ไม่คุ้มค่าเป็นที่สุด’

 

 

           ‘แล้วก็นะ ในห้องหนังสือไม่ดีเลยสักนิด’

 

 

 

 

[1] เติ้งถูจื่อ ขุนนางจอมกังฉินที่จักรพรรดิฉู่ตัดสินว่าเป็นคนที่มักมากในกาม ต่อมาในภายหลังเติ้งถู่จื่อจึงกลายเป็นคำสรรพนามใช้เรียกผู้ที่มักมากในกาม

 

 

 

 

ตอนที่ 111 มุขชวนคุยเก่าไปแล้ว

 

 

           เวลาสองทุ่ม ในหลานเยี่ยกำลังเป็นเวลาช่วงคึกคัก ไป๋จิ่งเอนกายพิงพนัก  ดื่มเหล้าฆ่าเวลาไปพลางๆ เขาอยากจะฉวยโอกาสหาความบันเทิงเริงใจสักหน่อยก่อนจะโดนเนรเทศไปแอฟริกา

 

 

           ไม่เช่นนั้นครึ่งเดือนที่เหลือ เขาจะเบื่อจนตายเอาได้

 

 

           ไป๋จิ่งใช้สายตาชอบจับผิดสังเกตมองไปรอบๆ รสนิยมเขาช่างเลือก คนเข้าตาจึงมีน้อยมาก

 

 

           มีเงาสะท้อนจากร่างร่างหนึ่งเดินผ่านเข้ามาในหลานเยี่ย แววตาไป๋จิ่งเปล่งประกายขึ้นมาแวบหนึ่ง ผิวกายขาวผ่อง เรือนร่างเพรียวบาง ดวงตากลมโต ที่สำคัญไปกว่านั้นทั้งร่างเขายังแฝงด้วยความถือตัว เหินห่าง ไม่ไยดีอีกด้วย

 

 

           กระต่ายน้อยหล่นลงมาโลกมนุษย์ ทั้งยังเป็นกระต่ายตัวหนึ่งที่เข้าใกล้ได้ยากเสียด้วย

 

 

           ในใจไป๋จิ่งมีความรู้สึกอยากเอาชนะกระต่ายน้อยเพิ่มขึ้นมาทันทีทันใด

 

 

           กระต่ายน้อยเดินเข้ามาหลานเยี่ยก็ตรงเข้าไปที่เคาน์เตอร์บาร์สั่งเหล้ามาแก้วหนึ่ง เขาก้มหน้าลงเล็กน้อย ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ใบหน้าด้านข้างดูเหมือนจะแฝงไปด้วยความเหงาและอ้างว้าง

 

 

           ความคิดของไป๋จิ่งหมุนวนอย่างรวดเร็วในหัว ตัดสินใจคว้าโอกาส ให้ตัวเองและกระต่ายน้อยได้โอกาสบังเอิญพบกัน

 

 

           มั่วไป๋อยู่ที่คอนโดมินียมสักพักหนึ่ง ก็รู้สึกว่าคอนโดมินียมใหญ่โตเช่นนี้เงียบจนน่าตกใจ เขาอยู่ต่อไม่ได้แล้วจึงมาที่หลานเยี่ย

 

 

           เมื่อก่อนเวลาอยู่กับเจียงมู่เฉิน บางครั้งเขาก็จะลากตนมาหลานเยี่ยด้วย แต่เขาชอบความเงียบสงบ น้อยครั้งมากที่เขาจะมาด้วยกันกับเจียงมู่เฉิน

 

 

           ตอนนี้ความเคยชินกลับเปลี่ยนไป เงียบงันเกินไปกลับทำให้เขารู้สึกกลัวอยู่ไม่น้อย

 

 

           มั่วไป๋อยากได้เหล้าแก้วหนึ่ง นั่งอยู่เคาน์เตอร์บาร์ดื่มเหล้าตามสบายตามใจของตัวเอง คิดจะดื่มสักแก้วสองแก้วแล้วค่อยกลับบ้าน

 

 

           เขาตัวคนเดียว นอกจากทำแบบนี้ก็ไม่มีวิธีฆ่าเวลาอย่างอื่นแล้ว

 

 

           ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ด้านหลังเขามีเสียงโต้เถียงกันดังออกมา เสียงนั้นยิ่งเข้าใกล้เขามาเรื่อยๆ มั่วไป๋เพิ่งจะเตรียมตัวหันกลับไปมอง ก็เห็นขวดเหล้าลอยพุ่งมาใส่ตัวเอง

 

 

           จิตใต้สำนึกสั่งให้เขาเตรียมหลบ แต่ร่างกายกลับถูกฉุดรั้งให้เข้ามาอยู่ในอ้อมอกอบอุ่น

 

 

           มั่วไป๋ตะลึงงัน อยากต่อต้านอยู่เต็มอก ยื่นมือเตรียมจะผลักอีกคนออกไป

 

 

           “คุณไม่เป็นไรใช่ไหม” เสียงทุ้มต่ำตกกระทบลงข้างหูของมั่วไป๋

 

 

           “ไม่เป็นไร ขอบใจ…” เขาพูดไป พลางเงยหน้าขึ้น ยามเห็นใบหน้าของคนที่กอดเขาไว้แล้วกลับเมินเฉยเสียอย่างนั้น

 

 

           สีหน้าดูถือตัวเหินห่าง เพียงพริบตาเดียวก็ฉายความสับสน เขาใช้มือผลักคนคนนั้นออกห่าง เอ่ยอย่างเย็นชา “ขอบใจ”

 

 

           ไป๋จิ่งจ้องมองดูคนตรงหน้า กว่าจะเป็นวีรบุรุษช่วยคนงามได้ไม่ใช่ง่ายๆ แต่ดูเหมือนจะทำให้อีกคนเกลียดแทนเสียแล้ว

 

 

           ไป๋จิ่งลูบจมูกป้อยๆ หน้าตาท่าทางเขาดูเป็นคนเลวร้ายมากเลยใช่ไหม

 

 

         “ไม่เป็นไร ผมเองก็เห็นพอดี อ้อใช่ คุณเป็นไรไหม”

 

 

           มั่วไป๋ส่ายหัว “ไม่เป็นไรครับ ปกติดีมาก”

 

 

           “ผมชื่อไป๋จิ่ง คุณล่ะ” ไป๋จิ่งเป็นพวกหนังหน้าหนา ถึงแม้จะดูออกว่ามั่วไป๋มีท่าทีค่อนข้างจะต่อต้านเขา แต่ก็ยังแนะนำตัวเองให้เขารู้จักได้อย่างหน้าไม่อาย

 

 

           ‘ไป๋จิ่ง’ สองคำนี้ทำให้สีหน้าของมั่วไป๋ขาวซีดลง ใต้แสงมืดสลัวไม่ค่อยปรากฏให้เห็นชัดเจนเท่าไหร่

 

 

           ข้างหลังยังคงมีเสียงโต้เถียงกันอยู่ เหมือนว่าจะเป็นคู่รักคู่หนึ่งกำลังทะเลาะกัน ท่ามกลางเสียงโหวกเหวกโวยวายนั้นมีเสียงพนักงานของหลานเยี่ยปะปนเข้าไปด้วย

 

 

           “มั่วไป๋” เขาเอ่ยเสียงต่ำ

 

 

           ไป๋จิ่งนึกทวนชื่อเขารอบหนึ่ง รู้สึกค่อนข้างคุ้นหู เหมือนกับว่าเคยได้ยินจากที่ไหนสักที่อย่างไรอย่างนั้น

 

 

           “เมื่อก่อนพวกเราเคยเจอกันหรือเปล่า” ไป๋จิ่งเอ่ยถามไปอย่างไม่ตั้งใจ

 

 

           แววตามั่วไป๋แฝงความตื่นตระหนก แต่ครู่เดียวเขาก็สะกดมันลงไป ยังรักษามาดถือตัวดูห่างเหินไว้เช่นเดิม “เพิ่งเจอกันครั้งแรก”

 

 

           “เหรอครับ” ไป๋จิ่งยกมุมปากขึ้น โปรยเสน่ห์ของตัวเองเล็กน้อย

 

 

           “อืม นายหน้าตาหล่อขนาดนี้ ถ้าฉันเคยเห็นนาย ต้องไม่ลืมนายอยู่แล้ว” มั่วไป๋ตอบแบบขอไปที

 

 

           “ผมช่วยคุณ คุณไม่คิดจะชวนผมดื่มสักแก้วเหรอ” ไป๋จิ่งเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย

 

 

           มั่วไป๋หัวเราะ ความเย็นยะเยือกเข้าปกคลุม “คุณไป๋ วิธีชวนคุยของนายแบบนี้ ออกจะโบราณไปหน่อยนะ”

 

 

            รอยยิ้มบนใบหน้าไป๋จิ่งแข็งค้างขึ้นมา

 

 

           “อีกอย่าง นายแก่ไปหน่อย ไม่เหมาะกับรสนิยมความงามของฉันหรอก”

 

 

           หลังจากมั่วไป๋พูดทิ้งทวนอย่างเย็นชาจบประโยคก็หันหลังเดินออกจากหลานเยี่ยทันที

 

 

           ไป๋จิ่งมองตามแผ่นหลังของเขาไป มุมปากอดกระตุกขึ้นมาไม่ได้ หลายปีมานี้ เป็นครั้งแรกที่เขาโดนคนว่าแก่!

 

 

           ไป๋จิ่งมองตัวเองที่อยู่ตรงข้ามในกระจก เขาดูแก่มากเลย?