ตอนที่ 114 ลูกไม่อยู่แล้ว

 

 

 

 

           เมื่อเมิ่งชิงซีปลอบใจตัวเองแบบนี้ เธอก็ยิ่งไม่ยี่หระ ลั่วเซ่าเชินไม่แน่ใจมากนัก เมื่อเห็นว่าเธอไม่ได้มีท่าทีหวาดกลัวใดๆ เมิ่งชิงซีเห็นว่าลั่วเซ่าเชินยังคงจ้องมองมาที่เธอ เธอก็ปิดหน้าและร้องไห้ทันที “เซ่าเชิน คุณไม่เชื่อฉันหรือคะ ฉันไม่ได้ทำอะไรโจวโจวจริงๆ นะ” 

 

 

           ลั่วเซ่าเชินไม่ได้ใจอ่อนเพราะเมิ่งชิงซีร้องไห้ “เมิ่งชิงซี เดี๋ยวผมจะส่งคนไปตรวจกล้องวงจรปิด เท่านี้ทุกอย่างก็ชัดเจนแล้ว” หลังจากนั้น ลั่วเซ่าเชินก็หมุนตัวเดินกลับไปที่ห้องพักผู้ป่วย พร้อมกับยกหูโทรศัพท์โทรสั่งหวังหวาให้ทำอะไรสักอย่าง 

 

 

           ในหัวของเมิ่งชิงซีได้ยินแต่เสียงดัง ตู้ม! เธอเริ่มเป็นกังวลขึ้นมาทันที ทำอย่างไรดี ทำอย่างไรดี? ที่เธอพูดออกไปอย่างมั่นอกมั่นใจขนาดนั้น ก็เพราะว่ามันไม่มีอะไรที่จะสามารถพิสูจน์ได้ว่าเธอเป็นคนทำ และความจริงแล้วถังโจวโจวก็ตกลงไปเอง เธอก็แค่คว้าเอาไว้ไม่ทันเท่านั้น 

 

 

           แต่ตอนนี้ลั่วเซ่าเชินบอกว่าจะตรวจสอบกล้องวงจรปิด ในที่สุดเมิ่งชิงซีก็เริ่มหวาดกลัว เธอจะทำอย่างไรดี เธอไม่ได้นึกถึงเรื่องของกล้องวงจรปิดเลย เกิดลั่วเซ่าเชินรู้ความจริงขึ้นมา แล้วเธอจะยังมีโอกาสเป็นคุณผู้หญิงลั่วได้อย่างไร? 

 

 

           เมิ่งชิงซีลนลานไปหมด แต่เธอก็ไม่กล้าแสดงอาการออกมา เธอต้องแสร้งทำเป็นนิ่ง แม้ความจริงแล้วอุ้งมือของเธอจะเต็มไปด้วยเหงื่อก็ตาม 

 

 

           เมิ่งชิงซีไม่อยู่ให้เสียเวลา เธอรีบกลับไปขอความช่วยเหลือจากฉินอวิ๋น ดูซิว่าคุณแม่พอจะมีหนทางช่วยเธอได้บ้างไหม ลั่วเซ่าเชินเห็นเมิ่งชิงซีรีบหนีไป ดวงตาของเขานิ่งสนิทและลึกล้ำเหมือนน้ำหมึก ดูไม่ออกว่าเขาอยู่ในอารมณ์ไหนกันแน่ 

 

 

           เมื่อลั่วเซ่าเชินกลับไปที่ห้องพักผู้ป่วย เขาเห็นหันฮุ่ยซินนั่งอยู่ทางด้านหนึ่ง แต่เขาก็ไม่ได้สนใจเธออีก ส่วนฟังหยวนและหลินเหยาก็เฝ้าอยู่ที่ข้างเตียงของถังโจวโจวทั้งสองข้าง 

 

 

           ลั่วเซ่าเชินไม่รู้จะบอกคุณพ่อคุณแม่ลั่วว่าอย่างไร ไหนจะคุณพ่อและคุณแม่ถังอีก เขาควรจะรับมืออย่างไร ลั่วเซ่าเชินอยู่ข้างหลินเหยา เมื่อหลินเหยาเห็นว่าเขากลับมาแล้ว เธอก็ถอยออกมา แม้ว่าหลินเหยาจะตำหนิลั่วเซ่าเชินอยู่ในใจ แต่เธอรู้ดีว่าตอนนี้ถังโจวโจวต้องการเขามากที่สุด 

 

 

           ลั่วเซ่าเชินไม่ปฏิเสธ เขานั่งลงตรงที่หลินเหยานั่งเมื่อครู่และค่อยๆ ลูบมือของถังโจวโจวอย่างอ่อนโยน เมื่อเขาเห็นว่าริมฝีปากของเธอแห้งผาก เขาก็หยิบแก้วน้ำจากข้างเตียงมา แล้วจุ่มคอตตอนบัดลงไปในนั้น จากนั้นก็ค่อยๆ แตะลงไปบนริมฝีปากของถังโจวโจว 

 

 

           หลินเหยาถอยออกไปจากห้องพักผู้ป่วยเงียบๆ ตอนนี้ถังโจวโจวยังไม่ฟื้น มันไม่มีประโยชน์ที่เธอจะเฝ้าอยู่ตรงนี้ นอกจากนี้ ก็ยังมีลั่วเซ่าเชินก็คอยดูแลเธออย่างใกล้ชิด เธอสามารถไว้วางใจได้ชั่วคราว 

 

 

           ฟังหยวนเห็นหลินเหยาเดินออกไป เขาก็เดินตามไปด้วย แต่ก่อนที่เขาจะไป เขามองไปยังหันฮุ่ยซินที่นั่งเงียบอยู่ เขาคิดว่าเธอคงยังจับต้นชนปลายไม่ถูก ไม่รู้ว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง เธอนั่งเหม่อลอยอยู่ตรงนั้น มองลั่วเซ่าเชินที่ดูแลถังโจวโจวอย่างอ่อนโยน 

 

 

           ฟังหยวนไม่รู้ว่าตอนนี้เธอรู้สึกอย่างไร แต่เขาทนดูต่อไปไม่ไหวแล้ว ยิ่งเขามองมากเท่าไร ชายคนนั้นก็ยังไม่ใช่เขา เขาเกลียดตัวเองที่มาช้า เขาแพ้ให้กับเวลา ไม่อย่างนั้นเขาจะยอมปล่อยให้ลั่วเซ่าเชินเป็นเจ้าของเธออยู่อย่างนี้ได้อย่างไร 

 

 

           หันฮุ่ยซินเห็นว่าทุกคนออกไปหมดแล้ว แต่ลั่วเซ่าเชินก็ยังไม่หันกลับมาคุยกับเธอ เธอรู้ว่าเธอควรจะออกไปเช่นกัน เธอเพียงอยากจะถามลั่วเซ่าเชินว่าเขาอยากให้เธอซื้ออะไรมาให้เขากินรองท้องไหม แต่เธอเห็นเขาเอาแต่มองถังโจวโจวที่นอนอยู่บนเตียง หันฮุ่ยซินก็พูดอะไรไม่ออก 

 

 

           หรือหากพูดออกไปแล้ว เขาก็อาจจะไม่ได้ยิน ฉะนั้นไม่พูดคงดีกว่า หันฮุ่ยซินเดินไปที่ประตูอย่างเงียบๆ และออกไป เมื่อไม่มีใครอยู่ในห้องแล้ว ลั่วเซ่าเชินก็กุมมือข้างที่ไม่มีสายน้ำเกลือของถังโจวโจวขึ้นมาและประทับริมฝีปากลงไปเบาๆ 

 

 

           เมื่อไม่มีใครอยู่ ลั่วเซ่าเชินก็กลั้นน้ำตาที่ทนเก็บไว้มานานต่อไปไม่ไหว เขาร้องไห้ออกมา เขามองดูถังโจวโจวที่ทนทุกข์ทรมาน แต่เขากลับมาหาเธอไม่ทัน เขานึกเสียใจว่าทำไมวันนี้เขาถึงไม่มาโรงพยาบาลเป็นเพื่อนเธอ ถ้าเป็นอย่างนั้น เรื่องนี้ก็อาจจะไม่เกิดขึ้น 

 

 

           ลั่วเซ่าเชินไม่สงสัยเลยสักนิด เรื่องนี้เมิ่งชิงซีต้องมีเอี่ยวอย่างแน่นอน เพียงแต่ตอนนี้ถังโจวโจวยังไม่ฟื้น ลั่วเซ่าเชินจึงทำอะไรเมิ่งชิงซีไม่ได้ รอให้ถังโจวโจวฟื้นก่อน แล้วเมิ่งชิงซีจะได้เห็นดีกัน 

 

 

           ถังโจวโจวรู้สึกเหมือนว่ามือของเธอถูกกุมเอาไว้ด้วยมือของใครอีกคนอยู่นาน แล้วเธอก็รู้สึกว่ามันเปียกชื้น เธอได้ยินเสียงร้องไห้เบาๆ ใครกำลังร้องไห้อยู่หรือ? 

 

 

           ถังโจวโจวเปิดตามองอย่างอ่อนแรง เธอพบว่าลั่วเซ่าเชินกุมมือเธออยู่ พอดีกับที่หยาดน้ำตาอุ่นๆ หลั่งลงมากระทบมือของเธอ ถังโจวโจวรู้สึกได้จริงๆ และเธอตกตะลึงมาก นี่เธอไม่ได้ตาฝาดไปใช่ไหม? ลั่วเซ่าเชินจะร้องไห้ได้อย่างไร? นี่มันต้องเป็นเรื่องล้อเล่นกันแน่ๆ 

 

 

           แต่สัมผัสบนมือของเธอทำให้เธอรู้ว่าเธอไม่ได้ฝันไป แล้วเธอก็มีอาการเจ็บปวดตามร่างกาย หลังจากยาชาหมดฤทธิ์ ถังโจวโจวก็รู้สึกเจ็บ ความเจ็บนี้ย้ำเตือนให้เธอรู้ว่า ลูกของเธอไม่อยู่แล้ว 

 

 

แต่เธอยังไม่อยากจะเชื่อว่าเป็นความจริง เธอมองไปที่ลั่วเซ่าเชินด้วยสายตาคาดหวัง “เซ่าเชิน ลูกของฉัน…” 

 

 

ลั่วเซ่าเชินไม่กล้าสบตาถังโจวโจว เขาควรจะพูดอย่างไรเพื่อไม่ให้ถังโจวโจวเสียใจ …ถังโจวโจวได้รับคำตอบจากความเงียบของเขา 

 

 

เสียงทุ้มต่ำของเธอดังก้องอยู่ในหูของลั่วเซ่าเชิน “…ลูกของฉัน เขาไม่อยู่แล้วใช่ไหมคะ” ก่อนที่ถังโจวโจวจะสลบไป เธอก็แน่ใจแล้ว ตกเลือดซะขนาดนั้นจะรักษาเด็กเอาไว้ได้อย่างไร 

 

 

เธอแค่อยากจะดูว่ามันพอจะมีปาฏิหาริย์บ้างไหม แต่พระเจ้ากลับไม่ช่วยเธอเลย ปาฏิหาริย์ที่เธอเฝ้ารอคงไม่มีทางมาถึงแล้ว ถังโจวโจวรู้สึกเหมือนมีมีดมากรีดที่หัวใจ เธอเจ็บเสียจนอยากจะตายไปแบบนี้เลย 

 

 

ลั่วเซ่าเชินเห็นเธอคว้าจับเสื้อตรงหน้าอก เขาดูออกว่าเธอผิดปกติไป เขาละทิ้งความเศร้าของตัวเองชั่วคราว รีบเอ่ยปลอบเธอทันที “โจวโจว หายใจเข้าลึกๆ ผมเองก็เสียใจเหมือนคุณ แต่เรื่องมันก็เกิดขึ้นไปแล้ว คุณไม่ต้องร้องไห้นะ คุณเป็นแบบนี้ผมก็ยิ่งเสียใจ” 

 

 

คำปลอบโยนของลั่วเซ่าเชินไม่ได้ผล ถังโจวโจวยิ่งมั่นใจมากขึ้นไปอีกว่าลูกของเธอไม่อยู่กับเธอแล้วแน่นอน ทำไมถึงไม่อยู่แล้วล่ะ? ทำไมถึงไม่อยู่แล้ว? ถังโจวโจวเฝ้าถามตัวเองอยู่ในใจ 

 

 

เธอนึกถึงช่วงเวลาตั้งแต่รู้เรื่องนี้ เป็นเวลาประมาณหนึ่งเดือนกว่าๆ ที่เธอเคยได้แบ่งลมหายใจ ได้ใช้ชีวิตร่วมกับลูก จู่ๆ เขาก็จากเธอไปกะทันหันแบบนี้ ถังโจวโจวไม่รู้ว่าควรจะรักษาความเจ็บปวดนี้อย่างไร 

 

 

ลั่วเซ่าเชินมองดูถังโจวโจวครางฮือในลำคอ เธอกัดริมฝีปากแน่นและไม่ส่งเสียงร้องออกมา เขากลัวว่าเธอจะทำร้ายตัวเอง เขาจึงยื่นแขนออกไปตรงหน้าถังโจวโจว “โจวโจว อย่ากัดปากตัวเอง ถ้าคุณทนไม่ไหว คุณก็กัดผม” 

 

 

ถังโจวโจวมองไปที่ลั่วเซ่าเชินด้วยน้ำตาคลอเบ้า และในที่สุดเธอก็นึกขึ้นได้ว่าผู้ชายคนนี้ก็สูญเสียลูกไปเหมือนกัน เขาก็เจ็บปวดเหมือนกับเธอ เธอโถมตัวเข้าไปหาเขาและร้องไห้ “เซ่าเชิน เซ่าเชิน ลูกไม่อยู่แล้ว ไม่อยู่แล้ว…” 

 

 

ลั่วเซ่าเชินกอดเธอไว้แน่น เขาไม่พูดอะไรอีก ตอนนี้คำพูดใดๆ ก็ไม่สามารถลดทอนความเจ็บปวดของถังโจวโจวได้ ปล่อยให้เธอร้องไห้ดีกว่า ให้เธอได้ระบายความเจ็บปวดและความอัดอั้นที่อยู่ในใจออกมา  

 

 

เมื่อพยาบาลเข้ามาตรวจและเห็นว่าถังโจวโจวร้องไห้อย่างหนัก เธอก็รีบเอ่ยเตือนว่า “ร้องไห้ไม่ได้แล้วนะคะ คุณเพิ่งแท้งลูก ไม่อย่างนั้นจะยิ่งเป็นอันตรายนะคะ” 

 

 

พอลั่วเซ่าเชินได้ยินว่าการร้องไห้ของถังโจวโจวเป็นอันตรายต่อสุขภาพของเธอเอง เขาก็รีบพูดปลอบใจ “โจวโจว หยุดร้องไห้เถอะนะ เดี๋ยวเรามีลูกด้วยกันอีกก็ได้” 

 

 

ถึงอย่างนั้นถังโจวโจวก็ยังเอาแต่ร้องไห้ “เซ่าเชิน แต่เด็กคนนี้เขาไม่กลับมาอีกแล้ว” ไม่ว่าหลังจากนี้เธอจะมีลูกอีกกี่คน แต่ก็ไม่ใช่คนนี้ ‘เขาจะโทษแม่ของเขาไหมที่ไม่ได้ปกป้องเขาให้ดี โทษฉันคนนี้ว่าเป็นแม่ที่ไม่ได้เรื่องไหม?’ 

 

 

ความคิดนับพันผุดขึ้นมาในหัวของถังโจวโจว ลั่วเซ่าเชินเห็นว่าเธอไม่ยอมฟังอะไรทั้งนั้น เขาจึงทำได้แค่เพียงประคองเธอนอนลง “โจวโจว คุณอย่าคิดมากอีกเลยนะ นอนหลับพักผ่อนให้เต็มที่ อย่างที่คุณพยาบาลบอก คุณไม่ควรร้องไห้แล้ว” 

 

 

แต่ถังโจวโจวไม่ฟัง เธอหันหน้าไปอีกด้านและมองออกไปนอกหน้าต่าง น้ำตาของเธอเปียกโชกเต็มหมอน  

 

 

ลั่วเซ่าเชินได้แต่ถอนหายใจและโทรหาหลินเหยา “โจวโจวฟื้นแล้วครับ รบกวนคุณหาซื้อโจ๊กขึ้นมาให้หน่อยนะครับ” 

 

 

จากนั้นลั่วเซ่าเชินก็โทรหาคุณแม่ลั่ว เขาขอให้เธอส่งคนขับรถไปรับลั่วอิงและพาไปส่งที่บ้านของพวกเขา คุณแม่ลั่วถามถึงเหตุผล ลั่วเซ่าเชินก็ไม่ได้เล่าเรื่องที่ถังโจวโจวประสบอุบัติเหตุ เขาบอกแค่ว่าคืนนี้เขาและถังโจวโจวจะไปร่วมงานเลี้ยงงานหนึ่ง เขากลัวว่าลั่วอิงจะไม่ปลอดภัยหากอยู่บ้านคนเดียว 

 

 

คุณแม่ลั่วหมดความสงสัยและรับคำอย่างดี เมื่อลั่วเซ่าเชินปิดโทรศัพท์ เขาก็โล่งใจไปได้ชั่วครู่ แต่เมื่อคิดถึงฝั่งคุณพ่อและคุณแม่ถัง เขาก็ปวดหัวขึ้นมาอีก เขาอยากจะบอกพวกท่านทั้งสอง แต่ก็กลัวว่าพวกท่านจะยิ่งกังวล ถ้าไม่บอกพวกท่านอาจจะมากล่าวโทษในภายหลังได้ 

 

 

ลั่วเซ่าเชินสับสนอยู่ชั่วขณะ ทันใดนั้น ถังโจวโจวก็โพล่งออกมา ซึ่งนั่นทำให้เขาตัดสินใจได้ “เซ่าเชินคะ ฉันอยากให้แม่มาอยู่เป็นเพื่อน” 

 

 

“ได้สิ เดี๋ยวผมจะโทรไปบอกคุณพ่อคุณแม่ของคุณให้” ลั่วเซ่าเชินเห็นว่าหลังจากที่เธอพูดจบ เธอก็นอนนิ่งอยู่อย่างนั้น เขาไม่รู้ว่าเธอได้ยินในสิ่งที่เขาพูดหรือเปล่า 

 

 

ลั่วเซ่าเชินโทรหาคุณแม่ถัง เขาไม่ได้บอกเรื่องที่ถังโจวโจวประสบอุบัติเหตุ เขาแค่ขอให้คุณแม่ถังมาที่โรงพยาบาลโดยเร็ว 

 

 

แต่คุณแม่ถังความรู้สึกไว เธอรู้สึกได้ว่าน่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับถังโจวโจว มันเป็นลางสังหรณ์ของเธอ เธอบอกคุณพ่อถังทันที และพวกเขาก็รีบพากันไปที่โรงพยาบาล 

 

 

หลินเหยารีบกลับมาพร้อมกับโจ๊กที่ลั่วเซ่าเชินต้องการ นอกจากนี้เธอยังซื้อมาเผื่อลั่วเซ่าเชินด้วย เมื่อเห็นว่าถังโจวโจวฟื้นแล้ว หลินเหยาก็นั่งลงข้างๆ เตียง ถังโจวโจวเห็นว่าหลินเหยามาแล้ว น้ำตาของเธอก็ไหลลงมาอีกรอบ เธอสะอึกสะอื้นเรียก “เหยาเหยา…” แค่นั้น แล้วก็ไม่พูดอะไรออกมาอีก 

 

 

หลินเหยามองดูถังโจวโจวร้องไห้อย่างเศร้าโศก เธอเองก็อดไม่ได้ที่จะร้องไห้ตาม ลั่วเซ่าเชินเห็นว่าการปรากฏตัวของหลินเหยากระตุ้นต่อมน้ำตาของถังโจวโจว เขาจึงรีบเอ่ยเตือนในทันที “โจวโจว ไม่ร้องนะ ไม่ร้อง มันไม่ดีต่อสุขภาพคุณ” 

 

 

หลินเหยาได้ยินอย่างนั้นก็เข้าใจได้ทันทีว่าเธอควรจะทำอย่างไร เธอสั่งให้ถังโจวโจวหยุดน้ำตาทันที “ใช่ โจวโจว ตอนนี้เธออยู่ในช่วงพักฟื้น ฉันฟังมาจากคนเฒ่าคนแก่ ในช่วงพักฟื้นห้ามร้องไห้เด็ดขาด มันไม่ดีต่อสุขภาพ” 

 

 

แต่ถังโจวโจวกลั้นไม่ไหว “เหยาเหยา ฉันเสียใจ…” ในขณะที่เธอร้องไห้ดังขึ้นเรื่อยๆ หลินเหยาก็ได้แต่โอบกอดเธอเอาไว้และปล่อยให้เธอร้องไห้จนพอใจ 

 

 

“อย่าเสียใจไปเลยนะ โจวโจว เดี๋ยวมันก็ผ่านไป” 

 

 

หลังจากร้องไห้ไปสักพัก ในที่สุดถังโจวโจวก็หยุดร้อง หลินเหยาใช้กระดาษทิชชูซับน้ำตาให้เธอ ถังโจวโจวราวกับคนล่องลอยก็ไม่ปาน เธอไม่สนใจทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัว หลินเหยารู้ว่าถังโจวโจวได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจ 

 

 

ถังโจวโจวเป็นคนมองโลกในแง่ดี ถ้าไม่ใช่เพราะสูญเสียลูก เธอจะเศร้าใจขนาดนี้ได้อย่างไร หลินเหยาเองก็จนปัญญาที่จะปลอบเธอ ด่านนี้เธอต้องฝ่าฟันไปด้วยตัวเองให้ได้ ไม่ว่าใครจะพูดอย่างไร ถ้าเธอไม่ฟัง มันก็ไม่มีความหมาย 

 

 

เมื่อลั่วเซ่าเชินเห็นว่าเธอสงบลงแล้วเล็กน้อย เขาก็ตักโจ๊กขึ้นมาหนึ่งช้อนและยื่นไปที่ปากของถังโจวโจว เขาพูดเสียงเบาว่า “โจวโจว กินโจ๊กหน่อยนะ ตอนนี้ร่างกายคุณต้องหิวแล้วแน่ๆ สุขภาพเป็นสิ่งสำคัญนะ” 

 

 

ถังโจวโจวไม่อยากอาหารเลยสักนิด แต่ลั่วเซ่าเชินก็ไม่ย่อท้อ เขาพูดโน้มน้าวเธอต่อไป 

 

 

“โจวโจว ฟังนะ ผมเองก็เจ็บปวดใจไม่น้อยไปกว่าคุณ แต่ชีวิตเราต้องดำเนินต่อไปนะ”