ตอนที่ 401 – ความโกรธมาเยือน
หลังจากยืนยันสิ่งต่าง ๆ แล้ว สีหน้าของเจี้ยนเฉินก็มืดครึ้มลงมาก จิตสังหารที่มีแต่เดิมภายในโรงเตี๊ยมนั้นก็ได้ระเบิดออกไปข้างนอกทันทีและปกคลุมไปทั่วทั้งถนน ทำให้แม้แต่ผู้ที่อยู่ด้านนอกก็ยังพบว่าหายใจได้ลำบาก มันเกือบจะเหมือนกับว่าอุณหภูมิในบริเวณใกล้เคียงทั้งหมดลดลงหลายองศาและจุ่มพวกเขาลงในสระน้ำเย็น ผลกระทบนี้มีผลต่อพวกเขาอย่างถึงสุดขีดจนทำให้วิญญาณของพวกเขาสั่นไหว
ที่ปรึกษาจักรพรรดิทั้งห้าต่างก็ให้ความสนใจ พวกเขาไม่เคยเห็นจิตสังหารจำนวนมากเช่นนี้จากเจี้ยนเฉินมาก่อนและไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไร
“พี่ใหญ่..” ดวงตาของเจี้ยนเฉินเริ่มมีสีแดงราวกับเลือดกำลังเริ่มรวมตัวอยู่ภายใน ด้วยเสียงคำราม เขาเหวี่ยงชายคนนั้นออกไปและบินออกจากโรงเตี๊ยมทันที ด้วยธาตุลมในโลกที่ได้เร่งความเร็วของเขาให้ห่างออกไปจากสถานที่แห่งนั้น ขณะที่เขาบินขึ้นไปบนท้องฟ้า แสงสีฟ้าก็ปรากฏขึ้นรอบตัวเขาและพาเขาพุ่งไปข้างหน้าก่อนที่จะหายตัวไปจากสายตา
“ผู้พิทักษ์จักรพรรดิ ! ” ที่ปรึกษาจักรพรรดิทั้งห้าร้องออกมา แต่ละคนกระโดดขึ้นจากเก้าอี้ของพวกเขาด้วยใบหน้าที่เป็นกังวล เมื่อเห็นปฏิกิริยาของเจี้ยนเฉินที่มีต่อคนที่พูดถึงก่อนหน้านี้ พวกเขาแต่ละคนสามารถคาดเดาได้ว่ามีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกันระหว่างเจี้ยนเฉินกับชายที่ถูกตัดแขนขาของเขา
“เจ้าห้าคนไปช่วยอาณาจักรเกอซุน เพื่อต่อสู้กับสี่พันธมิตร ! ปกป้องทุกคนที่มาจากตระกูลเจียงหยาง ! ” ทันทีที่ชายทั้งห้าได้ยินเสียงอันเยือกเย็นของเจี้ยนเฉินซึ่งกำลังร้องบอกพวกเขา
การประกาศของเจี้ยนเฉินทำให้พวกเขาหมดคำพูด ได้แต่มองหน้าซึ่งกันและกันอย่างช่วยไม่ได้ เซียวเทียนพูดออกมาว่า “ไปที่อาณาจักรเกอซุนกันเถอะ”
“โฮก..โฮก..” การจากไปของเจี้ยนเฉินทำให้ลูกเสือขาวเจ็บปวด มันไม่สามารถกินเนื้อย่างบนโต๊ะได้อีกต่อไป ลูกเสือขาวกระโดดลงมาจากโต๊ะแล้วพุ่งไปที่ประตู ดวงตาทั้งสองข้างของมันเริ่มน้ำตาคลอเพราะร้องไห้ออกมาอย่างเดียวดาย ฉากนี้เหมือนมารดาทิ้งบุตร ทำให้ทุกคนรู้สึกสงสารอย่างเหลือเกิน
เมื่อเห็นว่าลูกเสือขาวนั้นน่าสงสารเพียงใด ที่ปรึกษาของจักรพรรดิทั้งห้าก็มองด้วยท่าทางที่ไม่สบายใจ เซียวเทียนเดินเข้ามาหามัน เขากอดลูกเสือขาวไว้ที่หน้าอกของเขา ก่อนที่จะหันกลับมามองคนอื่น ๆ ” พวกเราไปกันเถอะ”
หลังจากที่เดินออกจากโรงเตี๊ยม ที่ปรึกษาจักรพรรดิทั้งห้าก็บินขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้วลอยออกไปจากโรงเตี๊ยม
เจี้ยนเฉินห่อหุ้มตัวเองด้วยชั้นของลมทำให้ร่างกายของเขาบินออกไปด้วยความเร็วแสงที่มองเห็นได้ง่ายแม้ในเวลากลางวัน ตอนนี้ความเร็วในการเดินทางของเขาสูงขึ้นตลอดเวลา ในขณะที่เขาบินไปยังป้อมปราการของอาณาจักรปิงหยาง
ในใจของเจี้ยนเฉิน เขาอดไม่ได้ที่จะคิดถึงพี่ใหญ่ของเขา เจียงหยางหู่ พี่ชายแบบนั้นเป็นคนที่น่าจดจำอย่างแน่นอน ในขณะที่เจี้ยนเฉินไม่ได้ช่วยเจียงหยางหู่เลยในขณะที่อยู่ที่สำนักคากัต พี่ใหญ่ของเขาออกไปช่วยเขาทุกครั้งที่มีโอกาส นี่เป็นข้อพิสูจน์ที่พิสูจน์ได้ว่าเจียงหยางหู่ห่วงใยเขามากแค่ไหน นอกเหนือจากพ่อแม่และพี่สาวคนรองของเขา เจียงหยางหมิงเยว่, เจียงหยางหู่เป็นบุคคลที่สี่ที่มีความสำคัญต่อเขา แม้ว่าเจี้ยนเฉินได้ออกจากบ้านของเขาไปเดินทางเป็นเวลาหลายปี ในที่สุดเขาก็ยังคงเป็นเจี้ยนเฉินอยู่ดี บุคลิกของเขาไม่มีการเปลี่ยนแปลงและผู้คนที่เขาใส่ใจก็ยังเป็นคนที่ใกล้ชิดกับเขา
“พี่ใหญ่ จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับท่านอย่างแน่นอน ! ข้า เจี้ยนเฉินขอปฏิญาณว่าจะทำลายอาณาจักรปิงหยางลงเสีย ถ้าท่านได้รับอันตรายแม้แต่เส้นผม ข้าจะให้อาณาจักรทั้งสี่ตอบแทนอย่างสาสม ! ” ดวงตาของเจี้ยนเฉินเปล่งประกายด้วยความกระหายเลือดและจิตสังหารจำนวนมากขณะที่เขาบินไปข้างหน้า
มี 6 อาณาจักรที่ล้อมรอบอาณาจักรเกอซุน; อาณาจักรฉินกาน, อาณาจักรปิงหยาง และ อาณาจักรเกอซุนเชื่อมต่อถึงกันเหมือนรูปสามเหลี่ยม เขาข้ามป้อมปราการของอาณาจักรฉินกานและบินอีก 3,000 กิโลเมตรไปยังป้อมปราการของอาณาจักรปิงหยาง
ในระยะทางนี้ เจี้ยนเฉินมองเห็นป้อมปราการของอาณาจักรปิงหยาง บนกำแพงที่สูง 80 เมตรนั้นมีศิลาจำนวนมหาศาลหันหน้าไปทางทหาร มีทหารประมาณ 2 ล้านนายประจำการอยู่ในที่มั่นและเมื่อมองจากท้องฟ้า กระโจมก็แผ่ขยายไปทั่วพื้นที่อย่างต่อเนื่องราวกับผ้าห่ม มีทหารสวมชุดเกราะจำนวนมากที่ลาดตระเวนรอบป้อมปราการ
มีทหารมากกว่าล้านนายมารวมตัวกันที่นอกเขตป้อมปราการเกอซุนทางเหนือแล้ว ในขณะที่มีทหารจำนวนมากพร้อมสำหรับการโจมตีเต็มรูปแบบ ยังคงมีทหาร 2 ล้านนายที่เหลือเป็นกำลังเสริมในกรณีที่มีความต้องการ
ลอยอยู่ในอากาศหลายกิโลเมตรห่างจากอาณาจักรปิงหยาง ในแววตาของเขามีความเศร้าโศก ในขณะที่ร่างกายของเขาเริ่มสั่นเทิ้มอย่างรุนแรง
ห่างออกไปเพียง 15 กิโลเมตร สามารถมองเห็นร่างที่ไร้แขนขาและโชกเลือดที่เชื่อมติดกับกำแพงที่มั่น เสื้อผ้าของเขาย้อมด้วยเลือดสีแดง และแม้แต่ผมของเขาก็กลายเป็นสีแดงพร้อมกับเชือกที่มัดร่างกายของเขา
แม้จะอยู่เกินกว่าสิบกิโลเมตร แต่ด้วยความสามารถของเจี้ยนเฉินก็เพียงพอที่จะทำให้เขามองเห็นสิ่งนี้ แม้จะผ่านไปหลายปี เจียงหยางหู่ก็ยังคงดูเหมือนเดิมเหมือนเมื่อครั้งเจี้ยนเฉินจากไป ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือใบหน้าของเขาซีดเหมือนกระดาษและดวงตาของเขาปิด เขาจะมีชีวิตอยู่หรือไม่ เจี้ยนเฉินไม่รู้
เมื่อเห็นว่าเจียงหยางหู่ได้รับความทุกข์ทรมานอย่างไร ดวงตาของเจียนเฉินก็เริ่มเบิกกว้างความโกรธแค้นและกระหายเลือด ร่างที่ลอยอยู่ของเขาเริ่มสั่นเทิ้มอย่างรุนแรงยิ่งขึ้นรู้สึกราวกับว่าเขากำลังจะตกลงมาจากท้องฟ้าในเวลาใดก็ได้
ในอดีตเจี้ยนเฉินมีความปรารถนากับตัวเองหลายครั้งว่าเขาจะได้เห็นสมาชิกครอบครัวของเขาอีกครั้ง ในเวลานั้นมันจะให้ความสุขและความหวัง
ในอดีต เขาเคยคิดที่จะกลับไปที่สำนักคากัตและให้พี่ชายของเขาได้เห็นความแข็งแกร่งของเขา เขาไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะกลับมาบ้านเกิดและครอบครัวของเขาจะได้พบกับโศกนาฏกรรมที่ทำให้จิตใจของเขาไม่สามารถทนรับได้
พี่ใหญ่ ! เจี้ยนเฉินคำรามด้วยความโศกเศร้าก่อนที่ดวงตาของเขาจะทอประกายสีแดงและจิตสังหารจำนวนมากก็เริ่มส่งออกมาในคลื่นอารมณ์ราวกับเมฆหมอก อากาศรอบ ๆ เจี้ยนเฉินเปลี่ยนเป็นสีฟ้าก่อนที่เขาจะบินไปยังกำแพงป้อมปราการทันที
ทหาร 2 ล้านคนที่ยืนเฝ้าป้อมปราการสะดุ้งด้วยความประหลาดใจ ทหารทั้งหมดในกระโจมพุ่งออกมาทันทีและจ้องไปที่ร่างที่ลอยเข้าของเจี้ยนเฉิน
“ตูม ตูม ตูม ตูม ตูม ..” สามารถได้ยินเสียงกลองจากภายในป้อมปราการหลายแห่งซึ่งบ่งบอกว่าศัตรูกำลังบุกเข้ามาและป้อมปราการทั้งหมดควรเตรียมพร้อม
ด้านบนของกำแพงเมือง ชายวัยกลางคนที่สวมเกราะเดินออกจากอาคารใกล้เคียง เมื่อเห็นร่างที่บินของเจี้ยนเฉิน สีหน้าของเขาซีดอยู่สักครู่ ก่อนที่จะคำรามออกคำสั่ง ปล่อยลูกธนู !
ตามคำสั่ง เสียงหวีดหวิวหลายครั้งที่สามารถได้ยินได้ในอากาศเนื่องจากมีการยิงธนูขนาดใหญ่หลายดอกจากป้อมปราการ
ดวงตาของเจี้ยนเฉินเปล่งประกายด้วยแสงสีม่วงเมื่อเขาเริ่มควบคุมโลก ลูกศรที่พุ่งไปที่เขาห่างไปหลายกิโลเมตรเริ่มที่จะชะลอความเร็วลงอย่างเห็นได้ชัด หลังจากนั้นไม่นาน ลูกศรก็ลอยนิ่งอยู่กลางอากาศ – ทหารที่เฝ้าดูอยู่รู้สึกตกใจ ลูกศรทุกอันเริ่มหมุนก่อนที่แสงสีฟ้าและสีม่วงจะคลุมพวกมันไว้ ในวินาทีต่อมาพวกมันถูกส่งกลับไปที่ป้อมปราการด้วยความเร็วที่เร็วกว่าตอนที่พวกมันถูกยิงออกมาครั้งแรก
ทหารที่เฝ้ามองจากกำแพงร้องออกมาด้วยความตกใจ ก่อนที่ผู้บังคับบัญชาจะคำรามออกคำสั่งอย่างอื่น ลูกศรก็เจาะเข้าไปในกำแพงป้อมปราการ
” ปัง ปัง ปัง ปัง ..”
หลังจากการระเบิดแบบต่อเนื่อง กำแพงของป้อมปราการก็สามารถมองเห็นหลุมได้หลายหลุมและมีควันเบาบางลอยออกมา ทหารที่โชคร้ายหลายคนถูกยิงเข้าที่หน้าอกด้วยลูกธนูและฐานรากโครงสร้างของอาคารหลายแห่งได้ถูกโจมตี
จากจุดนี้ เจี้ยนเฉินได้มาถึงด้านข้างของเจียงหยางหู่แล้ว ด้วยความเศร้าโศกจนน้ำตาไหล เจี้ยนเฉินก็ตัดเชือกที่มัดพี่ชายของเขาออก มันเจ็บปวดมากเมื่อเขากอดเจียงหยางหู่ไว้ที่อก
พี่ใหญ่ ! เมื่อเห็นว่าเจียงหยางหู่หมดสติ เจี้ยนเฉินก็ร้องออกมาด้วยความโศกเศร้าอีกครั้ง พี่ใหญ่ของเขาเป็นคนพิการ ไม่มีทางที่เจี้ยนเฉินจะยอมรับในเรื่องนี้ได้
รีบนำยาจิตวิญญาณธาตุแสงที่เขานำออกมาจากถ้ำในช่วงเวลาที่เขาอยู่ในงานชุมนุมทหารรบจ้าง เขาฝืนป้อนยาให้กับเจียงหยางหู่เพื่อรักษาชีวิต พี่ใหญ่ของเขายังมีชีวิตอยู่ แต่เนื่องจากการสูญเสียเลือด ชีวิตของเขาจึงแทบจะแขวนอยู่บนเส้นด้าย
นำอัญมณีออกมาจากแหวนมิติ ผู้บัญชาการกองทัพทำลายมันทันทีก่อนที่จะกระโดดลงมาจากกำแพง ด้วยความแข็งแกร่งของเขาในฐานะเซียนปฐพี เขาจึงไม่มีโอกาสที่จะต่อสู้กับเซียนสวรรค์ ดังนั้นโอกาสเดียวในการรักษาชีวิตของเขาก็คือการหนี
“ยิง ! ยิงเขาลงมา ! ” ทหารหลายคนเริ่มร้องตะโกนก่อนยิงธนูไปที่เจี้ยนเฉินทีละดอก ๆ ลูกธนูเหล็กเริ่มยิงไปที่เจี้ยนเฉินเหมือนแมลงเม่าบินเข้าเปลวไฟและปกคลุมทั่วทั้งท้องฟ้าด้วยเหล็ก
แต่ความโกรธเกรี้ยวของเจี้ยนเฉินได้ทะยานขึ้นไปถึงจุดสูงสุดแล้ว ในช่วงเวลานี้ ดวงตาของเขาเปล่งประกายแสงสีฟ้าและสีม่วงที่เป็นอันตราย ก่อนที่พลังจิตของเขาจะล้อมรอบพื้นที่รอบตัวเขา
ลูกธนูไม่สามารถเข้าใกล้ร่างกายของเขาและลอยค้างอยู่กลางอากาศ พวกมันหันกลับไปหาทหารอย่างช้า ๆ ด้วยแสงสีฟ้าและแสงสีม่วงที่เข้ามาเสริมความเร็ว
เสียงร้องด้วยความทุกข์ทรมาน สามารถได้ยินได้เมื่อทหารจำนวนมากตกลงมาที่พื้น ด้วยปราณกระบี่สีฟ้าและสีม่วงซึ่งได้เสริมกำลังให้กับลูกธนู ทำให้ไม่มีทางที่ทหารจะป้องกันตัวเองได้
เจี้ยนเฉินยังคงควบคุมการยิงธนูด้วยความคิดของเขาอย่างต่อเนื่องและสังหารทหารทุกคนที่อยู่ในสายตาของเขา ในช่วงเวลาสั้น ๆ ทหารหลายแสนนายที่เข้าประจำการในป้อมปราการถูกสังหาร
หลังจากนั้น ปราณกระบี่สีฟ้าและสีม่วงที่อยู่รอบลูกศรเริ่มรวมตัวกันที่ด้านหน้าของเจี้ยนเฉินก่อนที่จะสร้างกระบี่ยาว 10 เมตร เจี้ยนเฉินเหวี่ยงมันไปที่ป้อมปราการทันที