ใบหน้าของซูหลีซีดขาวกว่าเดิม พูดอะไรไม่ออก
“ตอบข้ามา!”
น้ำเสียงของเขาพลันแปรเปลี่ยน ไม่พอใจที่นางปิดปากเงียบ เขาขว้างสาสน์ในมือทิ้ง กระชากนางเข้ามาในอ้อมแขนอีกครั้ง บีบคางนางให้แหงนหน้าขึ้นมา
ซูหลีกลับหลับตา
ได้ยินเพียงตงฟางเจ๋อกล่าวด้วยน้ำเสียงเจ็บปวด “ไม่ว่าข้าจะทำอย่างไร ก็ไม่อาจรั้งเจ้าไว้ได้ใช่หรือไม่? หา? ก็ได้! ขอเพียงเจ้าบอกมาว่าในใจเจ้าไม่มีข้าอีกต่อไป ข้าก็จะยอมให้เจ้าจากไป!”
นางสั่นสะท้านไปทั้งตัว จ้องมองสาสน์บนพื้น ไม่กล้ามองหน้าเขา กลัวว่าความเจ็บปวดในสายตาของเขาจะทำลายสติปัญญาสุดท้ายของนาง
ขอบตาของเขาแดงก่ำ บังคับให้นางหันหน้ามา แล้วหัวเราะอย่างรวดร้าว “สามปีมานี้ ข้าพยายามชดเชยอย่างสุดความสามารถ หวังเพียงว่าเจ้าจะรู้สึกดีขึ้นบ้าง! แม้จนถึงตอนนี้เจ้ายังไม่อาจเผชิญหน้ากับข้า ข้าก็ยังยินดีที่จะรอวันที่เจ้าเปลี่ยนใจ! แต่ทำไม! เจ้ากลับผลักไสไล่ส่งข้าให้ไปหาหญิงอื่น?! เจ้ารู้ทั้งรู้ว่าในใจข้ามีแต่เจ้าคนเดียว!”
นางกัดเม้มริมฝีปากแน่น นัยน์ตาสะท้อนแววสิ้นหวังอย่างถึงที่สุด
นางยังคงไม่ยอมเปล่งเสียง มีแต่ความเงียบงันไม่มีที่สิ้นสุด
ตงฟางเจ๋อค่อยๆ สิ้นหวัง สายตาค่อยๆ หม่นหมองลงไป เขาทิ้งตัวลงนั่งบนบัลลังก์ นิ้วมือเรียวยาวยกขึ้นปิดตาอย่างไร้เรี่ยวแรง ชีวิตนี้ เขาไม่เคยรู้สึกพ่ายแพ้เท่าตอนนี้มาก่อน ในอดีตนางก็เคยตัดขาดจากเขา ทว่าความรักและความแค้นที่พวกเขามีต่อกัน กลับยังคงชัดเจนราวกับมีชีวิตถึงเพียงนั้น ทว่ายามนี้หัวใจของคนตรงหน้า ราวกับได้กลายเป็นต้นไม้ที่แห้งเหี่ยว ไร้ซึ่งชีวิตชีวา
บุรุษบนบัลลังก์นั่งนิ่งไม่ขยับเขยื้อน ราวกับเขาเองก็ยอมแพ้ต่อการรอคอยแล้วเช่นกัน ทำได้เพียงหัวเราะหยัน “ตอนแรก…ข้าคิดว่าการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ของสองแคว้น มีแต่ผลดีไม่มีผลเสีย เจ้ากับข้าก็จะได้มีโอกาสเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง แต่ข้านึกไม่ถึง ว่าการเผชิญหน้ากับข้าจะทำให้เจ้าเจ็บปวดถึงเพียงนี้ เป็นข้าที่ถือดีเกินไป ถ้าหาก…” จู่ๆ เขาก็หยุดพูดไป คล้ายลึกๆ ข้างในกำลังต่อสู้และขัดแย้งกันอย่างรุนแรง ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาหลับตาแน่น หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงอย่างรุนแรง “หากการไปจากข้า จะทำให้เจ้ารู้สึกดีขึ้นบ้าง ข้า…ก็ขออวยพรให้เจ้าโชคดี!”
หัวใจของซูหลีสั่นสะท้านไปทั้งดวง สายตาสั่นระริก แต่กลับดูเลื่อนลอย
ตงฟางเจ๋อไม่ได้มองนาง เขาหยิบตราประทับฮ่องเต้ที่อยู่ตรงมุมเก้าอี้มังกร แล้วยัดใส่มือนาง กล่าวอย่างรวดเร็วว่า “การสร้างเมืองหลวงแห่งใหม่ เป็นข้าที่กระทำโดยพลการเอง ยกเลิกงานแต่ง แล้วย้ายกลับไปยังเมืองหลวงเก่า ไม่จำเป็นต้องให้เจ้าชดเชย อาณาเขตของแคว้นติ้ง เป็นสิ่งที่เจ้าต้องการปกป้องเอาไว้ ข้าไม่มีทางแย่งมันมาแม้สักส่วน! แต่ตราประทับฮ่องเต้บนหนังสือหย่านี้ เจ้าต้องเป็นผู้ประทับเอง!” เอ่ยจบ เขาก็ลุกขึ้นยืนหันหลังให้นาง รอฟังเสียงประทับตราที่กำลังจะดังขึ้น
ซูหลีถือตราประทับฮ่องเต้อันเย็นเยียบไว้ในมือ ไม่รู้จะทำเช่นไรดี นางนิ่งงันไปครู่หนึ่ง จึงเพิ่งเข้าใจความหมายในวาจาเขา จนถึงตอนนี้ เขายังคงไตร่ตรองเพื่อนางทุกเรื่อง ขอเพียงนางสบายดี เขาก็ไม่ขออะไรอีกแล้ว! กลีบปากบางสั่นเทา ก้มเก็บสาสน์หย่าบนพื้น แล้ววางลงบนเข่าเบาๆ
นางสูดหายใจลึกๆ รวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมด จึงจะสามารถยกของที่อยู่ในมือขึ้นมาได้ ขอเพียงประทับตราลงไป นับจากนี้สองเราแยกจาก ไม่เกี่ยวข้องกันอีก
ทั้งที่นางหวังให้เป็นอย่างนี้มาโดยตลอด และยามนี้โอกาสก็อยู่ตรงหน้าแล้ว แต่ไม่รู้เพราะอะไร สองมือกลับค้างเติ่งอยู่กลางอากาศ และเริ่มสั่นอย่างรุนแรง นางไม่อาจควบคุมความเจ็บปวดที่พรั่งพรูเข้ามาในหัวใจได้ ตราประทับในมือหลุดจากมือ กระแทกโดนเข่าอย่างแรง จากนั้นก็ตกลงบนพื้น!
บุรุษตรงหน้าไม่รู้หันกลับมาตั้งแต่เมื่อใด เขาจ้องมองทุกการกระทำของนาง ครั้นเห็นเช่นนั้นก็รีบสะบัดแขนเสื้อ ตราประทับถูกลมแรงปะทะจนปลิวตกบันได กลิ้งไปกับพื้นเสียงดัง สาสน์หย่าถูกลมพัดร่วงตกพื้นไปด้วยเช่นกัน
เขาก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ย่อกายนั่งลงเบื้องหน้านาง นวดเข่าที่ถูกกระแทกของนางเบาๆ แล้วถามว่า “เจ็บหรือไม่?”
นางส่ายหน้า ราวกับไร้ซึ่งความรู้สึก อารมณ์ที่กำลังพลุ่งพล่านอย่างไม่อาจควบคุมกลับสงบลงภายใต้คำปลอบโยนของเขาอย่างน่าประหลาด
ตงฟางเจ๋อปวดใจราวกับถูกมีดกรีด น้ำเสียงแหบพร่าเล็กน้อย “เจ้าเป็นอย่างนี้ แล้วจะให้ข้าปล่อยเจ้าไปอย่างวางใจได้เช่นไร? ซูซู ในใจเจ้ายังมีข้าอยู่ เหตุใดต้องโกหกคนอื่น และโกหกตัวเจ้าเองด้วย?”
ซูหลีจ้องหน้าเขาอย่างเหม่อลอยเล็กน้อย ไม่นานก็กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า “ตงฟางเจ๋อ…พวกเรา…กลับไปไม่ได้อีกแล้ว”
วาจาไร้ซึ่งความหวังเหมือนดั่งคมมีดที่ทิ่มแทงหัวใจเขาในชั่วพริบตา ตงฟางเจ๋อชะงักเล็กน้อย ผ่านไปครู่หนึ่งจึงยิ้มอย่างขมขื่น “ถึงแม้เจ้าไม่เคยพูดออกมา แต่ลึกๆ ในใจก็ยังคงโทษข้า โทษที่ข้าทำให้หลางฉ่างตาย”
ซูหลีสั่นสะท้าน รีบเอ่ยค้านโดยสัญชาตญาณ “ข้าไม่เคยเกลียดท่านเพราะเรื่องนี้! ข้าเพียงแต่ เพียงแต่…” ความเจ็บปวดกระจายไปทั่วร่างกาย พยายามกำบัลลังก์ไว้แน่นเพื่อไม่ให้ตนเองลื่นลงไป
สายตาของตงฟางเจ๋อไหวระริกเล็กน้อย ยกมือลูบไล้ดวงหน้าที่ไร้สีเลือดฝาดของนาง แล้วถามอย่างมีความหวัง “เพียงแต่อะไร?”
ซูหลีมองหน้าเขาอย่างเหม่อลอย แล้วพลันยิ้มอย่างเศร้าสลด “ข้าเพียงเกลียดตนเองที่ไม่อาจตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวตั้งแต่แรก หมายจะให้จบลงด้วยดีทุกฝ่าย หากข้าบอกท่านให้รู้ก่อนว่าข้าเองก็อยู่ในโรงเตี๊ยม เหตุการณ์ทุกอย่างหลังจากนั้นก็คงไม่เกิดขึ้น!”
เสด็จพี่ก็จะไม่ต้องตาย เสด็จพ่อเองก็เช่นกัน ชนเผ่าหมาป่าคงไม่กล้ายกทัพบุกเข้ามา แคว้นติ้งก็คงไม่ต้องตกอยู่ในวิกฤต แล้วเด็กในท้องเสี่ยวหมาน…ก็คงได้ลืมตาดูโลกอย่างปลอดภัยแล้ว!”
ทุกอย่าง เป็นความผิดของนาง!
ดวงตาคู่นั้นสะท้อนความอ่อนแอที่ไม่เคยแสดงให้เห็นมาเนิ่นนานแล้ว นางเจ็บปวดอย่างถึงที่สุด จนถึงขั้นไร้ซึ่งน้ำตาอีกต่อไป
ตงฟางเจ๋อรู้สึกเจ็บแปลบข้างใน เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงปวดใจ “ฉะนั้นเจ้าจึงโทษตนเอง ปิดกั้นตนเอง ไม่กล้าเผชิญหน้ากับข้า แล้วยังหาทางไปจากข้าอีกอย่างนั้นหรือ?”
ซูหลียิ้มอย่างเศร้าสร้อย “ถึงอย่างไรท่านก็เป็นประมุขแห่งแคว้น จะปล่อยให้วังหลังว่างเปล่าเพราะข้าไปตลอด ไม่ให้กำเนิดทายาทได้เช่นไร? ข้าไม่อาจทำให้ท่านเสียเวลาได้อีกต่อไปแล้ว…”
หัวใจของเขาขมขื่นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ไม่อาจหักห้ามใจได้อีก รั้งตัวนางเข้าไปกอดเบาๆ แล้วถามเสียงเบาว่า “เจ้าเองก็เป็นประมุขแห่งแคว้นเช่นกัน จะไม่มีทายาทสืบบัลลังก์ก็ได้งั้นหรือ?”
หัวใจของนางพลันสับสนวุ่นวาย พิงศีรษะบนหัวไหล่เขา ตักตวงช่วงเวลาอบอุ่นอันแสนสั้นนี้ แล้วส่ายหน้าอย่างไร้กำลัง “ข้า…ข้าไม่เคยคิด คิดเพียงอยากปกครองแคว้นให้ดี เพื่อปลอบประโลมดวงวิญญาณของเสด็จพ่อและเสด็จพี่ที่อยู่บนสวรรค์”
เขาลูบไหล่นางเบาๆ ถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “หากเสด็จพ่อและเสด็จพี่ของเจ้าอยู่บนสวรรค์ เห็นเจ้าปิดกั้นตนเองและเจ็บปวดเช่นนี้ จะสงบสุขได้เช่นไร?”
ซูหลีอึ้งไปเล็กน้อย ขยับกลีบปาก แต่กลับพูดอะไรไม่ออก
เขาเชยคางนางขึ้นเล็กน้อย แล้วเอ่ยเสียงเบา “ในฐานะผู้ปกครองแคว้น ย่อมต้องหวังให้แว่นแคว้นสงบสุข แต่ในฐานะครอบครัวสายเลือดเดียวกัน ความปรารถนาสูงสุดของพวกเขา ก็คืออยากให้เจ้าใช้ชีวิตอย่างมีความสุข!”
เสียงอันอบอุ่นและคุ้นเคยของหลางฉ่างพลันดังขึ้นมาในสมองของซูหลี ‘เสด็จพ่อตั้งชื่อให้เจ้าว่าฉางเล่อ เพราะหวังว่าเจ้าจะมีความสุขไปตลอดชีวิต!’ เอ่ยจบ เสียงทอดถอนใจของเสด็จพ่อก็ดังตามมา ‘พ่อเพียงหวังว่าฉางเล่อจะมีที่พึ่งพิง และมีความสุขไปตลอดชีวิต’
ภาพในอดีตทับซ้อนขึ้นมา ชัดเจนเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน
ใบหน้าของซูหลีแปรเปลี่ยนเป็นเศร้าโศก ลึกๆ ข้างในดวงตาปรากฏร่องรอยของการต่อสู้กับตนเอง
ตงฟางเจ๋อมองเห็นอย่างชัดเจน รู้ว่านางเศร้าใจเพียงใด และไม่อาจปล่อยวางได้ทันที สายตาของเขาหม่นหมองลงไป “เมื่อครู่เจ้าพูดถูก พวกเรา…มิอาจกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อีกแล้ว เพราะเวลาไม่มีวันย้อนกลับ ทุกคนบนโลกนี้ ไม่ว่าต้องเผชิญหน้ากับความเจ็บปวดทรมานเท่าใด ก็มิอาจย้อนเวลากลับไปได้ มีเพียงต้องอดทนและก้าวต่อไป เพื่อสานต่อปณิธานของคนที่จากไปให้กลายเป็นจริงอย่างสุดความสามารถ รีบจับตัวคนร้ายตัวจริง เพื่อปลอบประโลมดวงวิญญาณของพวกเขาบนสรวงสวรรค์ให้สงบอย่างแท้จริง”
ซูหลีมองหน้าเขาอย่างตะลึงงัน ยิ้มอย่างเศร้าสร้อย “คำพูดเช่นนี้ ข้าเองก็เคยใช้ปลอบใจผู้อื่นเช่นกัน ยามนี้พอต้องเผชิญด้วยตนเอง กลับมิอาจปล่อยวางได้ มีเพียงต้องเผชิญหน้ากับความเจ็บปวดนั้นด้วยตนเอง จึงจะเข้าใจว่าเหตุใดจึงมิอาจปล่อยวางได้ ถ้าหากเป็นไปได้ ข้าขอเป็นคนที่ตายในตอนนั้นเสียดีกว่า ข้าไม่อยากให้เสด็จพี่บาดเจ็บแม้แต่น้อย”
ใบหน้าของตงฟางเจ๋อเองก็เต็มไปด้วยความเจ็บปวดไม่แพ้กัน แต่เขากลับส่ายหน้า แล้วกล่าวเสียงเบาว่า “เป็นแผนชั่วของอีกฝ่าย จะโทษเจ้าได้เช่นไร? หากจะโทษใคร ก็ต้องโทษที่ข้าใจร้อนเกินไป! วันนั้นข้าได้รับจดหมายจากหลางฉ่าง บอกว่าเขามีเรื่องด่วนไม่อาจมาตามนัด ข้ากลับไม่เคยไตร่ตรองสาเหตุให้ดี เอาแต่คิดจะบีบบังคับให้ตงฟางจั๋วปรากฏตัว หากข้ารอบคอบอีกสักหน่อย ทุกอย่างก็คงไม่ผิดพลาดใหญ่โตถึงเพียงนั้น…สามปีมานี้ ทุกครั้งที่ข้าคิดว่าตนเองทำให้เจ้าเจ็บปวดถึงเพียงนี้ ข้าก็เสียใจเหลือเกิน! หากสามารถย้อนเวลากลับไปได้ ข้ายอมปล่อยตงฟางจั๋วไป แต่จะไม่ยอมให้เจ้าบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย…”
ขอบตาของซูหลีรื้นไปด้วยน้ำใสๆ อย่างไม่รู้ตัว ก่อนจะมาที่นี่ นางต้องการยกเลิกการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ และอวยพรให้เขากับเหลียงหรูเยวี่ยจริงๆ ยามนี้เขากลับแสดงความรู้สึกให้นางเห็นอย่างชัดเจน มั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง หากนางยังดึงดันจะไปจากเขา แล้วนางจะอยู่คนละฟากฟ้ากับเขา ต่างคนต่างแก่ชราไปอย่างเดียวดายงั้นหรือ?
————————————