ภาคใต้ฟ้ากว้างใหญ่ บทที่ 18 ร่วมหลับนอนร่วมดื่มกิน (1)

กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ

เสียงหนึ่งบอกกับนางในใจว่า นางไม่ต้องการเช่นนั้น!

รักกันมานานหลายปี แยกจากกันมาก็หลายหน ความเผด็จการและความอ่อนโยนของเขา ความมุ่งมั่นและความใจอ่อนของเขา สลักลึกลงในหัวใจเนิ่นนานแล้ว ไม่อาจลืม และไม่มีทางลืมได้ด้วย

“ในเมื่อทั้งเจ้าและข้าต่างก็มีความผิด เช่นนั้น ข้าก็ควรแบกรับผลลัพธ์ไปพร้อมกับเจ้า ซูซู ไม่ว่าอย่างไร เจ้าก็ไม่ควรยอมแพ้ในตนเอง และกดดันตนเองเช่นนี้” น้ำเสียงของตงฟางเจ๋อแทบจะกลายเป็นอ้อนวอน “อย่าคิดจะผลักไสไล่ส่งให้ข้าไปหาหญิงอื่น และอย่าคิดจะไปจากข้าอีก…ไม่ว่าเส้นทางข้างหน้าจะเต็มไปด้วยภูเขาดาบทะเลเพลิง หรือหน้าผาสูงหุบเขาลึก ชาตินี้ ข้าก็จะอยู่เคียงข้างเจ้า”

นัยน์ตาดำขลับที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม ยามนี้กลับสะท้อนแววอ่อนแอที่ไม่เคยแสดงให้ผู้ใดเห็น หัวใจของซูหลีกระตุกสั่นอย่างรุนแรง นางหลับตาแน่น ไม่อาจห้ามน้ำตาที่หลั่งริน เอ่ยปากด้วยน้ำเสียงสะอื้น “แต่ข้าไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาอีกนานเท่าใด จึงจะสามารถเผชิญหน้ากับท่านได้อย่างบริสุทธิ์ใจ…”

น้ำเสียงแหบพร่าของเขาราวกับกำลังทอดถอนใจเสียงเบา แต่กลับหนักแน่นไม่มีที่เปรียบ “ข้าจะรอเจ้า ไม่ว่านานเท่าใดก็ตาม” เอ่ยจบ เขาก็ล้วงไม้แกะสลักรูปสตรีสวมชุดมงคลสีแดงขนาดเล็กออกมาจากอกเสื้อ แล้ววางลงกลางฝ่ามือนางเบาๆ

ด้านหลังม่านน้ำตา ซูหลีจำได้ว่านี่เป็นไม้ตะโกชิ้นนั้นที่ซูหลีมอบให้เหลียงหรูเยวี่ยในตลาดวันนั้น ที่แท้เขาอยู่กับเหลียงหรูเยวี่ยทุกวัน แต่กลับแกะสลักรูปนาง! และชุดมงคลสีแดงบนตุ๊กตาไม้ตัวนี้…กลับเหมือนกับชุดที่นางสวมในวันแต่งงานทุกประการ

ซูหลีรู้สึกแสบร้อนจมูก สายตายิ่งพร่าเลือนกว่าเดิม ลึกๆ ข้างในเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมายจนไม่อาจบรรยาย เหตุใดสวรรค์จึงโหดร้ายกับพวกเขาสองคนนัก? ตั้งแต่รู้จักและรักกัน พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับหายนะนับครั้งไม่ถ้วน หากไม่ใช่เขาหนักแน่นและมั่นคงไม่ยอมปล่อยมือ เกรงว่าวาสนาของพวกเขาคงสิ้นสุดลง ณ ริมฝั่งแม่น้ำหลานชางไปแล้ว ยามนี้แม้ผ่านอุปสรรคขวากหนามและได้แต่งงานกันในที่สุด แต่กลับทำได้เพียงในนาม ถึงแม้เขาจะไม่เคยคิดขุ่นเคืองต่อเรื่องนี้แม้แต่น้อยเลยก็ตาม แต่เหล่าขุนนางของทั้งสองแคว้นกลับไม่อาจนิ่งดูดาย เพราะถึงอย่างไรทายาทสืบบัลลังก์ของแคว้นเฉิงและแคว้นติ้งล้วนขึ้นอยู่กับพวกเขาทั้งสองคน

ครั้นนึกได้ว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้ จะต้องแพร่สะพัดออกไปอย่างรวดเร็วแน่นอน ซูหลีเอ่ยปากอย่างลังเล “เรื่องให้กำเนิดทายาท…”

“วางใจเถิด เรื่องนี้ข้าไม่มีทางบังคับเจ้า” ตงฟางเจ๋อถอนหายใจ ครุ่นคิดแล้วกล่าวว่า “คืนนี้เปิดประตูที่กั้นกลางออก ภายหน้าหากไม่มีเรื่องใด ข้าจะไปค้างคืนกับเจ้าที่นั่น หากทำอย่างนี้ พวกเขาก็จะไม่มีเหตุผลหาเรื่องได้อีก!”

คืนนี้? ซูหลีอึ้งงันไปทันที นางยังไม่ได้เตรียมใจ แต่เขาพูดถูก หากยังเอาแต่หมางเมินต่อคำพูดของเหล่าขุนนาง ไม่รู้ภายหน้าจะเกิดปัญหาอะไรตามมาอีกหรือไม่ นางลังเลครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยอย่างสับสนว้าวุ่นใจ “ท่าน…ให้เวลาข้าคิดอีกสักหน่อยเถิด”

ตงฟางเจ๋อพยักหน้า แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ได้ เจ้าค่อยๆ คิดก็แล้วกัน คืนนี้ข้าจะรอคำตอบจากเจ้าอยู่หน้าประตู”

เรื่องการแต่งตั้งสนมอันวุ่นวายจึงปิดฉากลงเช่นนี้เอง เดิมทีเหลียงหรูเยวี่ยที่มีความเป็นไปได้ว่าจะถูกแต่งตั้งให้เป็นสนมมากที่สุดกลับถูกแต่งตั้งเป็นองค์หญิงหมิ่นเสี้ยว และพระราชทานงานแต่งให้กับ ‘หยวนเซี่ยง’ แม่ทัพทหารม้า เรื่องการยกเลิกการแต่งงานของสองฮ่องเต้ยังไม่มีผลลัพธ์ที่ชัดเจน คล้ายไม่เคยเกิดเรื่องนี้มาก่อน สองแคว้นยังคงเป็นพันธมิตรที่มีการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์เป็นตัวกลาง ข้อบังคับใหม่ยังคงดำเนินต่อไป ส่วนเรื่องการแต่งตั้งสนม ก็ไม่เคยมีผู้ใดเอ่ยปากอีกนับจากนั้น

“ฝ่าบาททรงไม่สบายหรือเพคะ?”

หวั่นซินเห็นซูหลีเอาแต่นั่งเหม่อตั้งแต่กลับจากพระราชวังเฉิง นางเหม่อมองประตูกั้นห้องบรรทมของสองฮ่องเต้ ไม่กินข้าวกินน้ำทั้งวัน ฎีกาก็ไม่ยอมแตะสักฉบับ จึงอดเป็นห่วงไม่ได้ หมายจะเอ่ยปากซักถาม แต่กลับยั้งใจไว้ก่อน

ซูหลีส่ายหน้าอย่างเหนื่อยล้า “ข้าไม่เป็นไร”

ครั้นเอ่ยปาก แม้กระทั่งตัวนางเองก็ยังตกใจ น้ำเสียงอ่อนล้าโรยแรง กลับแหบพร่าเล็กน้อย เดาว่าคงเป็นเพราะหลายวันนี้มีเรื่องกลัดกลุ้มมากมาย อีกทั้งวันนี้อารมณ์พลุ่งพล่าน จึงเหนื่อยล้าเป็นพิเศษ

หวั่นซินยังคงไม่วางใจ “อย่างไรเรียกมาหลวงมาตรวจอาการหน่อยเถิดเพคะ!”

ซูหลีโบกมือ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเหน็ดเหนื่อย “ไม่ต้อง” ยามนี้นางแค่อยากพักผ่อน ไม่อยากให้ใครมารบกวน

หวั่นซินจนใจ ขณะกำลังจะถอยออกไป จู่ๆ กลับได้ยินนางเอ่ยกำชับเสียงเบา “หวั่นซิน ไปเอาสลักประตูบานนั้นออกเถิด”

การให้กำเนิดทายาทสืบทอดบัลลังก์เกี่ยวพันถึงรากฐานของประเทศชาติ คราวนี้มีคนตั้งใจกระพือไฟโหมข่าว เพราะเห็นว่ามีช่องโหว่ให้ฉวยโอกาส ไม่ว่านางกับเขาจะแสดงความรักต่อหน้าคนอื่นเช่นไร สองฮ่องเต้แยกห้องบรรทมยังคงเป็นเรื่องจริง วังหลวงไม่มีความลับ มีสายตามากมายนับไม่ถ้วนกำลังจับตาดูทุกการเคลื่อนไหวของพวกเขาอยู่ตลอดเวลา หากแม้แต่นางกับเขายังไม่เป็นหนึ่งเดียว แล้วจะหวังให้ขุนนางของทั้งสองแคว้นสามัคคีกันได้อย่างไรเล่า?!

การแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ยังไม่ถูกยกเลิก ไม่ว่าจะเพื่อบ้านเมืองหรือเพื่อตัวเอง นางก็ล้วนสมควรจะพยายามก้าวผ่านก้าวแรกไปให้ได้

หวั่นซินมองนางด้วยสายตาประหลาดใจ คล้ายคาดเดาอะไรบางอย่างได้ จึงคลายใจเล็กน้อย นางเดินไปหยิบสลักประตูออก แล้วจึงค่อยหันมาเอ่ยเสียงเบาว่า “มื้อค่ำใกล้เตรียมเสร็จแล้ว อีกประเดี๋ยวให้โม่เซียงนำมาถวาย ฝ่าบาทเสวยหน่อยเถิดเพคะ”

ซูหลีส่ายหน้า กล่าวว่า “ไม่ต้อง ข้าไม่หิว”

นางลุกขึ้น แล้วมองท้องฟ้าสีหม่นนอกหน้าต่าง ไม่รู้เพราะเหตุใด วันนี้คล้ายเหนื่อยล้ากว่าทุกวัน ร่างกายอ่อนแรงไปทั้งตัว จากนั้นก็เอนกายนอนลงบนตั่งยาว หลับตาเบาๆ แล้วจึงค่อยกล่าวอย่างอ่อนระโหยว่า “ค่ำมากแล้ว เจ้ากลับไปก่อนเถิด บอกโม่เซียง หากไม่มีเรื่องใดก็ไม่ต้องมารบกวน วันนี้ข้ารู้สึกเหนื่อย อยากนอนพักสักหน่อย”

“เพคะ” หวั่นซินรับคำเสียงเบา หยิบผ้าห่มมาคลุมให้นาง เห็นหน้านางซีด ท่าทางอ่อนล้า คล้ายไม่อยากพูดแม้แต่คำเดียว จึงเดินออกจากตำหนักไปเงียบๆ จากนั้นก็เรียกโม่เซียงมากำชับอย่างละเอียด “ฝ่าบาทไม่ค่อยสบาย แต่ไม่อยากให้ผู้ใดรบกวน เจ้าคอยเข้าไปดูอาการทุกครึ่งชั่วยาม กลางดึกก็ต้องให้คนเฝ้าอยู่ข้างนอกสองคน คอยดูแลความเคลื่อนไหวในห้อง อย่าส่งเสียงรบกวนพระองค์จนตื่นเล่า”

โม่เซียงรีบรับคำ แล้วเรียกนางกำนัลเพื่อแบ่งหน้าที่อย่างละเอียด

ยามกลางคืน ท้องฟ้าค่อยๆ มืดสนิท

ตงฟางเจ๋ออ่านฎีกาเสร็จ ก็ทอดมองออกไปนอกหน้าต่างเงียบๆ เห็นเพียงผืนฟ้าดำสนิทดุจน้ำหมึก ลึกๆ ในใจเขากลับกลัดกลุ้ม

ใกล้ยามไฮ่[1]แล้ว ประตูบานนั้นกลับยังคงปิดสนิท คืนนี้นางจะข้ามผ่านก้าวแรกไปได้อย่างราบรื่นหรือไม่ เขามิอาจคาดเดาได้เลย

ยามนี้เอง เซิ่งฉินวิ่งเข้ามาอย่างรีบเร่ง แล้วกล่าวอย่างร้อนรนเล็กน้อย “ฝ่าบาท วันนี้ฮ่องเต้หญิงทรงไม่สบาย ยามพลบค่ำก็เข้านอนแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”

สายตาของตงฟางเจ๋อพลันแปรเปลี่ยน หันไปถาม “เกิดอะไรขึ้น?”

เซิ่งฉินส่ายหน้า “กระหม่อมเองก็ไม่ทราบ โม่เซียงเข้าไปดูในห้องหลายครั้ง ฮ่องเต้หญิงบรรทมสนิทมาก นางไม่กล้ารบกวนพ่ะย่ะค่ะ”

ยังเอ่ยไม่ทันจบ ตงฟางเจ๋อก็เดินไปที่ประตูบานนั้น ตอนเช้าพวกเขาตกลงกันแล้วว่า คืนนี้เขาจะรอคำตอบจากนางอยู่ที่นี่ แต่จู่ๆ นางกลับล้มป่วย! นางไม่สบายจริงๆ หรือว่า…

ครั้นนึกได้ว่าอาจมีความเป็นไปได้อีกทาง หัวใจของเขาพลันสะดุด ฝีเท้าพลันชะงัก ประตูบานที่อยู่ตรงหน้า หากจะเปิดออกนั้นง่ายดายยิ่งนัก ขอเพียงฝ่ามือเดียวเท่านั้น แต่เหตุผลที่สร้างประตูบานนี้ขึ้นมาตอนสร้างพระราชวัง ก็เพราะหวังว่าสักวันนางจะเป็นคนเปิดมันเอง

ความรักครั้งนี้คล้ายถูกกำหนดมาตั้งแต่แรกแล้ว เขารุก นางถอย หากนางไม่ถอย ก็ถือเป็นโชคดีของเขาแล้ว

เขาถอนหายใจเบาๆ ยกมือสัมผัสขอบประตู ประตูไม้ที่เดิมทีถูกปิดอย่างแน่นหนามาโดยตลอดกลับสั่นคลอนเล็กน้อย เขาอดไม่ได้ที่จะตะลึงงันไปชั่วขณะ ลองยกมือผลักเบาๆ นึกไม่ถึง ประตูบานนั้นกลับเปิดออก!

———————————–