หัวใจของตงฟางเจ๋อเต้นรัว เขารีบก้าวเข้าไป เห็นเพียงสลักประตูถูกปลดออก และวางไว้บนเก้าอี้เตี้ยด้านข้าง เขาพลันดีใจ ในตำหนักบรรทมเงียบกริบผิดปกติ ท่ามกลางแสงสว่างอันมืดสลัว บนเตียงมังกรไร้ซึ่งเงาคน
ตงฟางเจ๋อกวาดมองรอบๆ เห็นซูหลีเอนกายนอนอยู่บนตั่งยาวด้านหนึ่ง หลับสนิท แต่กลับดูไม่สบายตัว ราวกับกำลังอยู่ในฝันร้าย นางขดตัวเป็นวงกลม คิ้วงามขมวดเข้าหากันแน่น ปากก็พึมพำเสียงเบาฟังไม่ได้ศัพท์
ตงฟางเจ๋อรีบเดินเข้าไปหา ลูบหน้าผากนางเบาๆ สัมผัสใต้ฝ่ามือกลับร้อนผ่าว ใบหน้าเขาตึงเครียดทันที รีบตะโกนเรียกเสียงขรึม “ผู้ใดอยู่ข้างนอก!”
โม่เซียงที่ยืนเฝ้าอยู่ด้านนอกพลันตกใจ รีบเปิดประตูแล้วเดินเข้ามาทันที
ตงฟางเจ๋อกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “พวกเจ้าทำงานประสาอะไร ฮ่องเต้หญิงประชวรแล้วยังไม่รู้อีกหรือ? ยังไม่รีบตามมาหมอหลวงมาอีก!”
โม่เซียงตกใจจนร้องเสียงหลง นางไม่มีเวลาหันไปกำชับนางกำนัลคนอื่น เพียงหมุนกายแล้วรีบออกวิ่งไปทางสำนักหมอหลวงทันที
ตงฟางเจ๋ออุ้มซูหลีไปที่เตียง ห่มผ้าให้นาง จากนั้นก็สั่งคนให้ตักน้ำเย็นมา นำผ้าชุบน้ำวางลงบนหน้าผากร้อนๆ ของนาง ซูหลีกลับคว้ามือของเขา แล้วตะโกนเสียงดัง “ตงฟางเจ๋อ!”
นางที่อยู่ในห้วงความฝันดูเจ็บปวดและสับสน หัวใจของตงฟางเจ๋อบีบรัด รีบกุมมือนาง แล้วปลอบประโลมด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ข้าอยู่นี่ ซูซูไม่ต้องกลัว…”
ครั้นได้ยินเสียงของเขา นางกลับดูเจ็บปวดยิ่งกว่าเดิม นางร้องไห้เสียงดัง “ไม่นะ…”
ตงฟางเจ๋อขมวดคิ้วแน่น ไม่รู้ว่านางฝันเห็นอะไรกันแน่ ถึงได้อ่อนแอและหวาดกลัวถึงเพียงนี้ เขาทำได้เพียงกอดนาง แล้วเอ่ยปลอบซ้ำแล้วซ้ำเล่า “ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องกลัวนะ”
ซูหลีจมอยู่ในห้วงฝันร้าย เปลวเพลิงสีแดงดั่งโลหิตลุกท่วมผืนฟ้า เสียงระเบิดอันสะเทือนเลื่อนลั่นดังอย่างต่อเนื่อง ร่างกายของบุรุษชุดขาวที่เพิ่งปรากฏตัวอยู่หน้าประตูห้องชั้นสามของเรือนใต้หลังคาเมื่อครู่ระเบิดเป็นเสี่ยงๆ…
เลือดเนื้อและชิ้นส่วนกระดูกกระจัดกระจายไปต่อหน้าต่อตา นางเบิกตากว้างด้วยความสิ้นหวัง อยากจะกรีดร้อง แต่กลับรู้สึกลำคอตึงเกร็งไปหมด ทำอย่างไรก็ร้องไม่ออก
ผืนดินสั่นสะเทือน ควันดำลอยคลุ้ง เปลวไฟกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่าง
น้ำตาหยดหนึ่งไหลออกจากหางตาที่ปิดสนิท ตงฟางเจ๋อไม่เคยเห็นสภาพนางยามฝันร้าย หัวใจบีบรัดรุนแรง จู่ๆ นางก็ตะโกนร้องเรียกเสียงดัง “เสด็จพี่!”
ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าสาเหตุของความเจ็บปวดของนางมาจากที่ใด สีหน้าของตงฟางเจ๋อค้างเติ่งไปทันที
ซูหลีพลันเด้งตัวขึ้นในอ้อมแขนเขา ดวงตาทั้งสองข้างเหม่อลอยไร้สติ จ้องมองไปในอากาศอันว่างเปล่า แล้วพึมพำว่า “…อย่าตายนะเพคะ…”
จากนั้นก็หลับใหลไปอีกครั้ง ตงฟางเจ๋อมองดูพวงแก้มอันซีดขาวของนาง ราวกับถูกมีดกรีดหัวใจ เจ็บจนไม่อาจบรรยาย การตายของหลางฉ่างโหดร้ายเกินไป แม้แต่เขาก็ยังไม่อยากนึกถึง ในเวลาปกติสีหน้านางเรียบนิ่งเหมือนไม่มีอะไร ไม่เคยพูดถึงเรื่องในวันนั้นอีกเลย เขารู้ว่าเป็นเพราะนางไม่อยากเผชิญหน้ากับมัน แต่กลับไม่รู้ว่าภาพเหตุการณ์ในวันนั้น ได้กลายเป็นฝันร้ายที่ตามหลอกหลอนนางมาตลอด
ผ่านไปเนิ่นนาน ตงฟางเจ๋อถามขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา “ฮ่องเต้หญิงฝันร้ายอยู่บ่อยๆ หรือ?”
เหล่านางกำนัลลนลานทำตัวไม่ถูก ต่างพากันก้มหน้าก้มตา แล้วตอบด้วยเสียงสั่นเครือ “พวกบ่าวไม่ทราบเพคะ…ฝ่าบาทเข้าบรรทม ไม่เคยให้ผู้ใดเฝ้าอยู่ในห้อง แม้แต่พี่สาวโม่เซียง ตกดึกก็ทำได้เพียงเฝ้าอยู่นอกประตูเท่านั้นเพคะ…”
ให้คนเฝ้าอยู่นอกประตู เพราะไม่อยากให้ใครเห็นด้านที่อ่อนแอของนาง ในสายตาของทุกคน นางแข็งแกร่งดุจเหล็กกล้า สามารถกอบกู้ชาติจากวิกฤติได้ แต่แท้จริงแล้วข้างในกลับแหลกสลายและว่างเปล่าไปนานแล้ว
ใบหน้าของตงฟางเจ๋อเศร้าโศก กุมนิ้วมือที่เย็นเล็กน้อยของนาง ต้องทำเช่นไร ถึงจะสามารถทำให้เจ้าเดินออกมาจากอดีตอันมืดมนได้?
ไม่นานหมอหลวงก็มาถึง และรีบตรวจอาการให้ซูหลีทันที
หมอหลวงยังไม่ทันเอ่ยปาก ตงฟางเจ๋อก็ถามขึ้นด้วยความใจร้อน “เป็นอย่างไรบ้าง?”
หมอหลวงรายงานอย่างระมัดระวัง “ฮ่องเต้หญิงทรงเป็นไข้เพราะถูกลมหนาว…”
ตงฟางเจ๋อกล่าวด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวโกรธ “ลมหนาวธรรมดา จะฝันร้ายและขาดสติถึงเพียงนี้ได้เช่นไร?”
หมอหลวงรีบกล่าว “พระวรกายของฝ่าบาททรงอ่อนแอเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พระอาการเคยดีขึ้นเพราะฝึกวรยุทธ์ แต่หลายปีมานี้ทรงงานหนัก มีเรื่องกลัดกลุ้มพระทัยมากมาย พระชีพจรติดขัด พระสุบินร้ายตามรังควาน…ไม่ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่มานานหลายปี จึงประชวรหนักไปจนถึงรากฐาน วันนี้ถูกลมหนาวอีก จึงเป็นเหตุให้โรคเก่ากำเริบพ่ะย่ะค่ะ…”
ตงฟางเจ๋อหันไปมองคนบนเตียงด้วยสายตาเจ็บปวด นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วถามอีกว่า “มีวิธีรักษาเช่นไร?”
หมอหลวงกล่าวด้วยความลังเล “มีนั้นมีพ่ะย่ะค่ะ แต่ทว่า…พิษไข้จากลมเย็นขับง่าย แต่ฝ่าบาททรงมีปมทุกข์ในพระทัย พระสุบินร้ายยากจะกำจัด”
ตงฟางเจ๋อถอนหายใจยาวๆ “จ่ายเทียบยารักษาไข้ให้หายก่อนเถิด”
หมอหลวงรับคำอย่างนอบน้อม จากนั้นก็รีบจ่ายเทียบยา โม่เซียงต้มยาเสร็จก็รีบนำมาถวาย ตงฟางเจ๋อเป่าให้คลายร้อนและป้อนยาซูหลีทีละคำๆ ยารสชาติขมไหลเข้าปาก นางขมวดคิ้วมุ่น ขัดขืนคล้ายจะลืมตาตื่น
ตงฟางเจ๋อดีใจ รีบวางถ้วยยา แล้วประคองใบหน้านาง ขานเรียกเสียงแผ่วเบา “ซูซู!”
ซูหลีค่อยๆ ลืมตา บ่าวรับใช้คนอื่นต่างถอยออกไปหมดแล้ว แสงไฟในห้องนอนเหลืองนวลสบายตา บุรุษที่โอบกอดนางมีใบหน้ากังวล นางถามอย่างมึนงง “ท่าน ท่านอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”
เขากระชับผ้าห่มบนกายนาง แล้วตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เจ้าไม่สบาย ตอนนี้รู้สึกดีขึ้นบ้างหรือไม่?”
ซูหลีไม่ตอบ คล้ายยังไม่ค่อยมีสติ นางแยกไม่ออกว่านี่คือความฝันหรือภาพลวงตา นางพลิกกาย แล้วนอนหลับต่อ ความฝันในครั้งนี้คล้ายไม่ได้ทุกข์ทรมานถึงเพียงนั้น นางขมวดคิ้วเล็กน้อย ยกสองแขนกอดตนเอง แล้วพึมพำเสียงเบา
ตงฟางเจ๋อโน้มกายลงไป เงี่ยหูฟังใกล้ปากนาง ได้ยินนางพึมพำเบาๆ “ตงฟางเจ๋อ…ความจริงแล้ว…ข้าเองก็ทำใจไม่ได้…”
“ทำใจอะไรไม่ได้หรือ?” เขาถามเสียงเบาด้วยความสงสัย
สตรีที่อยู่ในห้วงความฝันพึมพำอย่างขาดสติ “…ทำใจ…จากท่านไปไม่ได้…”
หัวใจของตงฟางเจ๋ออ่อนยวบไปทั้งดวง เขาถอนหายใจแล้วรั้งนางเข้ามากอด ตลอดทั้งคืน นางพลิกตัวกลับไปกลับมา แต่ไม่เคยออกห่างจากอ้อมแขนเขา
ยามฟ้าใกล้สาง อุณหภูมิร่างกายนางลดลงในที่สุด เขาจึงเอนกายนอนข้างกายนางในสภาพเสื้อผ้าครบถ้วนสมบูรณ์ครู่หนึ่ง
เช้าตรู่ของวันต่อมา ช่วงว่าราชการช่วงเช้าถูกเลื่อนออกไปตอนบ่าย เหล่าขุนนางต่างสงสัย ซูเซียงหรูถามสาเหตุ โจวหลี่จึงแจงเหตุผล “ฝ่าบาททรงค้างคืนที่ตำหนักซีหวา ยังไม่ตื่นบรรทม”
เหล่าขุนนางต่างไม่พูดอะไร เพียงแยกย้ายกันกลับเงียบๆ
ใกล้ถึงยามบ่าย ดวงตะวันลอยสูงกลางนภา
ในที่สุดซูหลีก็ตื่น โม่เซียงรีบถามด้วยความเป็นห่วง “ฝ่าบาททรงตื่นแล้ว! รู้สึกอย่างไรบ้างเพคะ? ไม่สบายตรงที่ใดหรือไม่?”
ซูหลีส่ายหน้า “ข้าไม่เป็นไร” อุณหภูมิร่างกายลดลงแล้ว เพียงแต่ยังรู้สึกอ่อนแรงอยู่บ้าง
โม่เซียงถอนหายใจ ประคองนางลุกอย่างระมัดระวัง แล้วปรนนิบัตินางล้างหน้าสางผม
ขณะนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ซูหลีนึกถึงค่ำคืนอันเลือนรางที่ผ่านมา คล้ายมีคนผู้หนึ่งคอยดูแลอยู่ข้างกายนางไม่ห่าง จึงถามขึ้น “เมื่อคืน…”
โม่เซียงกล่าวอย่างสำนึกผิด “ล้วนเป็นความผิดของบ่าวเองเพคะ! เมื่อคืนบ่าวเข้ามาหลายรอบแล้ว แต่เพราะกลัวทำให้ฝ่าบาทตกพระทัยตื่น จึงไม่กล้าเข้าใกล้มาก กลับไม่รู้ว่าฝ่าบาทเป็นไข้สูง โชคดีที่ฮ่องเต้แคว้นเฉิงเสด็จมาหา จึงทำให้พระอาการประชวรของฝ่าบาทไม่ร้ายแรงไปกว่านี้!”
เป็นเขาดังคาด! หัวใจของซูหลีสั่นไหวเบาๆ ดวงหน้าซีดขาวของนางที่สะท้อนในกระจกพลันแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนอย่างไม่รู้ตัว
โม่เซียงชำเลืองมองนางเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยต่อทันที “ฮ่องเต้แคว้นเฉิงทรงกำชับให้หมอหลวงจ่ายเทียบยาให้ฝ่าบาท แล้วยังป้อนยาให้ฝ่าบาทด้วยพระองค์เอง อีกทั้งยังเฝ้าอยู่ทั้งคืนด้วยนะเพคะ! หากไม่ใช่ว่าเมื่อครู่เซิ่งฉินเข้ามารายงานว่ามีขุนนางขอเข้าเฝ้า ตอนนี้ฝ่าบาทตื่นขึ้นมา จะต้องได้พบฮ่องเต้แคว้นเฉิงแน่นอนเพคะ!”
ซูหลีลอบดีใจที่เขามีธุระแล้วจากไปเสียก่อน นางจำได้รางๆ ว่าในฝันเมื่อคืน เหมือนนางจะเรียกชื่อเขาอยู่ตลอด บางทีอาจพูดอะไรที่ไม่ควรพูดออกไปด้วย หากเขายังอยู่ที่นี่ ก็ไม่รู้จะมองหน้าเขาอย่างไรดี
ซูหลีหันมองบนโต๊ะทรงพระอักษร ค้นพบว่ากองฎีกาที่เคยวางอยู่บนนั้นหายไปหมดแล้ว นางรีบถาม “ฎีกาเล่า?”
โม่เซียงยิ้ม แล้วกล่าวว่า “ท่านหญิงสั่งให้คนเก็บไปแล้วเพคะ! บอกว่าหลายวันนี้ฝ่าบาทต้องพักผ่อนให้เต็มที่ ไม่อนุญาติให้ผู้ใดใช้เรื่องงานมารบกวนฝ่าบาทเด็ดขาด!”
ซูหลีก้มหน้ายิ้ม “ร้ายแรงขนาดนั้นเสียที่ไหน ก็แค่เป็นไข้เท่านั้นเอง”
หวั่นซินเพิ่งเดินเข้ามาพอดี ได้ยินประโยคนี้ ก็กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “หม่อมฉันไปสำนักหมอหลวงมา หมอหลวงบอกว่าฝ่าบาททรงเหนื่อยสะสมมานาน ควรพักฟื้นให้ดี หม่อมฉันส่งข่าวให้เจียงหยวนแล้ว บอกให้เขารีบเดินทางมายังเมืองหลวง ประมาณหนึ่งเดือนก็น่าจะมาถึงแล้ว”
ซูหลีถอนหายใจ กล่าวว่า “พักฟื้นร่างกายมีหมอหลวงคอยจ่ายเทียบยาให้ก็พอแล้ว เหตุใดต้องรบกวนเจียงหยวนด้วย! ข้ารู้จักร่างกายตนเองดี ไม่ได้ร้ายแรงถึงเพียงนั้น”
หวั่นซินกลับกล่าวว่า “ร้ายแรงหรือไม่ เจียงหยวนมาถึงก็ทราบเองเพคะ” นางไม่ไว้ใจผู้ใดทั้งนั้น เอ่ยจบ ก็หันไปมองโม่เซียง สายตาแฝงแววตำหนิเล็กน้อย
—————————-