โม่เซียงรีบก้มหน้าด้วยความตกใจ ไม่กล้าส่งเสียงแม้แต่น้อย
ซูหลีถอนหายใจ แล้วกล่าวว่า “เจ้าอย่าตำหนินาง ข้าเป็นคนกำชับเองว่าไม่ให้ใครเข้ามารบกวน”
หวั่นซินไม่พูดมากความ นางออกไปจัดการอาหารมื้อเที่ยง
ซูหลีมองดูแผ่นหลังที่ห่างออกไปของนาง รู้สึกอบอุ่นใจยิ่งนัก ตั้งแต่ขึ้นครองราชย์ นางก็มอบหมายให้ฉินเหิงดูแลสำนักเฉินเหมิน และอนุญาตให้พวกเขาสี่คนใช้ชีวิตอย่างอิสระ
เจียงหยวนลุ่มหลงในวิชาแพทย์และยาพิษ หลายปีมานี้จึงเดินทางท่องยุทธภพและตามหาสมุนไพรหายาก บางครั้งก็พบคนป่วยด้วยพิษประหลาด จึงมีโอกาสได้แสดงฝีมือ ช่วยชีวิตผู้คน ชื่อเสียงของหมอเทวดาได้เลื่องระบือไปทั่วหล้า เซี่ยงหลีนั้นมีพรสวรรค์เรื่องการค้าขาย เพียงสามปี ก็สามารถขยายธุรกิจไปทั่วตั้งแต่เหนือจรดใต้ กลายเป็นเศรษฐีที่มีชื่อเสียงโด่งดังในหลายแคว้นไปแล้ว หวั่นซินแม้แต่งงานกับเซี่ยงหลีแล้ว กลับยังคงยืนหยัดที่จะอยู่รับใช้ซูหลีในวังต่อ นางคอยดูแลเรื่องหยุมหยิมให้ซูหลี ถึงแม้ไม่มียศหรือตำแหน่งที่ชัดเจน แต่ทุกคนในวังล้วนยำเกรงนางกันทั้งนั้น
ซูหลีรับรู้ได้ถึงหัวใจที่พวกเขาสี่คนมีต่อนาง เดิมหมายจะคืนอิสระให้พวกเขา แต่พวกเขากลับภักดีไม่เปลี่ยนแปลง พยายามแบ่งเบาภาระนางอย่างสุดความสามารถ ซูหลีรู้สึกตื้นตันยิ่งนัก แต่กลับน้อยครั้งนักที่นางจะพูดออกไป
หวั่นซินออกไปได้ครู่หนึ่งแล้ว แต่โม่เซียงกลับยังคงยืนอยู่ที่เดิม สีหน้าน้อยเนื้อต่ำใจ ซูหลียิ้มอย่างจนใจ แล้วกล่าวว่า “เอาเถิด ข้าไม่ได้ตำหนิเจ้าเสียหน่อย มานี่ สางผมให้ข้าที”
โม่เซียงจึงรีบเดินเข้ามา เปิดลิ้นชักเบาๆ แล้วหยิบหวีไม้ออกมา ด้านข้างหวีไม้ ตุ๊กตาไม้สวมชุดสีแดงนอนอยู่ในนั้น เมื่ออยู่ใกล้ผ้าไหมสีขาวดุจหิมะ ยิ่งขับเน้นให้เนื้อไม้ดำเข้มกว่าเดิม เสื้อสีแดงก็ยิ่งแดงดุจเปลวเพลิง
สายตาของซูหลีไหวระริกเล็กน้อย เอื้อมมือไปหยิบมันออกมา โม่เซียงยิ้มแล้วกล่าวว่า “นึกไม่ถึงว่าตุ๊กตาไม้ตัวนี้ที่ฮ่องเต้แคว้นเฉิงแกะสลักให้ฝ่าบาท จะงดงามและประณีตยิ่งกว่าตัวก่อนอีกนะเพคะ!”
ซูหลีไม่พูดอะไร เมื่อวานนางความคิดสับสนวุ่นวาย จึงไม่ทันได้สังเกตอย่างละเอียด ยามนี้เมื่อถือไว้ในมือ จึงเพิ่งค้นพบว่าแกะสลักได้ละเอียดอ่อนกว่าตัวเดิมมาก ทุกกระเบียดนิ้วล้วนคล้ายกับคนที่สะท้อนอยู่ในกระจก
นางเหม่อลอยอย่างไม่รู้ตัว
โม่เซียงหยิบหวีไม้ขึ้นมา ซูหลีมัวแต่ก้มหน้ามองตุ๊กตาไม้ในมือ กล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “วันนี้ไม่ต้องออกว่าราชการ ทำผมสบายๆ หน่อยแล้วกัน”
โม่เซียงไม่ได้รับคำ เพียงช่วยนางสางผมอย่างเบามือ ซูหลีจ้องมองของในมืออย่างไม่ละสายตา ตุ๊กตาไม้ตัวนี้สัมผัสเรียบลื่นดุจผิวกระจก ไม่รู้ว่าผ่านการขัดมากี่ครั้งแล้ว ปลายนิ้วไล้สัมผัสใบหน้าของตุ๊กตาไม้ ราวกับสัมผัสได้ถึงหัวใจของคนแกะสลัก ลึกๆ ข้างในรู้สึกทั้งอ่อนหวานระคนขมขื่น
ชุดมงคลสีแดงบนตัวตุ๊กตาไม้ทำให้นางนึกถึงวันแต่งงานวันนั้น เขากุมมือนางแน่น ยืนเคียงบ่านางอยู่บนกำแพงเมืองอันสูงตระหง่าน รับคำอวยพรและการสรรเสริญจากเหล่าขุนนางและประชาราษฎร์ สายตาที่เขามองนางในยามนั้น ราวกับความปรารถนาที่รอคอยมาหลายปีเป็นจริงในที่สุด เต็มไปด้วยความสุขและอิ่มเอมใจอย่างไม่เคยมีมาก่อน…
สัมผัสเรียบลื่นตรงปลายนิ้วมือพลันสะดุด ร่องตื้นขนาดเล็กดึงดูดความสนใจของนาง นางพลิกดู เห็นเพียงปลายกระโปรงด้านขวาสลักอักษรไว้สองบรรทัด
หัวใจข้ามิใช่ศิลา ที่ผู้ใดจะเคลื่อนย้ายได้ตามใจ
หัวใจข้ามิใช่ผืนเสื่อ ที่ผู้ใดจะม้วนกางได้ตามใจ
ซูหลีสะท้านไปทั้งใจ หลับตาลงเบาๆ
แสงตะวันลอดเข้ามาในหน้าต่าง สาดต้องใบหน้าด้านข้างของนาง ผิวขาวดุจหิมะ แพขนตางอนยาว สีหน้านางในยามนี้กลับสงบสุขอย่างหาดูได้ยากยิ่ง
วินาทีนี้ ราวกับกาลเวลาได้หยุดหมุน รอบข้างเงียบสงบ ซูหลีจมอยู่ห้วงภวังค์แห่งความคิด หัวใจเต้นรัว ยากจะควบคุมตนเอง ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใด เมื่อนางลืมตา ปิ่นปักผมถูกเสียบเรียบร้อยแล้ว ผมถูกรวบสูงดูงามสง่า ทว่าคนข้างหลังดวงหน้าหล่อเหลาไร้ที่เปรียบ ความอบอุ่นไหลเวียนในดวงตา เขาถือหวีไม้แล้วแย้มยิ้มให้นางเล็กน้อย รอยยิ้มนั้นงดงามจนทำให้โลกทั้งใบสั่นสะเทือนได้
ซูหลีตะลึงงันเล็กน้อย คนข้างหลัง กลายเป็นตงฟางเจ๋อตั้งแต่เมื่อใดกัน?! โม่เซียงไปไหนแล้วเล่า? นางกลับไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย?
ครั้นนึกถึงการกระทำของตนเองเมื่อครู่ เกรงว่าเขาคงเห็นหมดแล้ว พวงแก้มแดงเรื่อเล็กน้อย นางรีบลุกขึ้น ซ่อนตุ๊กตาไม้ไว้ในแขนเสื้อ หลุบตาแล้วกล่าวตำหนิด้วยความเขินอาย “เรื่องเล็กแค่นี้ กลับต้องลำบากให้ท่านลงมือด้วยตนเอง โม่เซียงทำตัวเหลวไหลมากขึ้นทุกวันเสียแล้ว!”
ตงฟางเจ๋อมองตุ๊กตาไม้ที่นางซ่อนไว้ใต้แขนเสื้อด้วยสายตาลึกซึ้ง ยิ้มแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เจ้ากับข้าเป็นสามีภรรยา สางผมให้เจ้า ถือเป็นความสุขของข้าที่เป็นสามี แล้วก็เป็นหน้าที่ของข้าที่เป็นสามี ลำบากเสียที่ไหนกัน?”
เขาจับไหล่นางเบาๆ แล้วหมุนตัวนางให้หันเข้าหากระจก เขาหยิบแปรงขึ้นมาจุ่มลงในตลับหลัวไต้[1] แล้วปัดคิ้วนางสองสามครั้ง ดวงหน้าที่ดูซีดขาวเล็กน้อยพลันดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาหลายส่วน
นางจ้องกระจกแน่นิ่ง คล้ายกับเหม่อลอยไปชั่วขณะ เงาสะท้อนของทั้งสองคนในกระจกสวมชุดลำลอง ราวกับคู่สามีภรรยาทั่วไปที่ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างเป็นธรรมชาติ สางผมเขียนคิ้ว ต่างคนต่างจ้องมองกันผ่านเงาสะท้อนในกระจก…ภาพจินตนาการที่เกินเอื้อมที่สุดในชีวิตปรากฏอยู่ตรงหน้าแล้ว ความรู้สึกนับร้อยประดังประเดเข้ามาในหัวใจ อารมณ์ที่ยากจะอธิบายพลุ่งพล่านอยู่ลึกๆ ข้างใน
ซูหลีเห็นตงฟางเจ๋อหยิบตลับแป้งชาดขึ้นมา คล้ายต้องการจะปัดแก้มให้นาง นางรีบคว้าแขนเขา สีหน้าดูร้อนรนเล็กน้อย “ข้าไม่ชอบของพวกนี้”
นางรีบเดินออกจากโต๊ะเครื่องแป้ง ราวกับหากอยู่ตรงนี้นานอีกหน่อย ก็จะไม่อาจควบคุมความปรารถนาอันร้อนแรงในหัวใจได้อีก
ตงฟางเจ๋อเดินตามมา ลูบไล้ใบหน้านาง ถอนหายใจเบาๆ แล้วกล่าวว่า “ก็ดี ดวงหน้าของซูซู ไม่ต้องการการแต่งแต้มใดอยู่แล้ว สีหน้าเจ้าดูไม่ค่อยดี หลายวันนี้หยุดทำงานหนักและพักผ่อนไปก่อนเถิด”
ซูหลีเงียบงันไม่พูดจา เขากล่าวต่อว่า “ได้ยินโม่เซียงบอกว่าเมื่อวานเจ้าไม่อยากอาหาร? ต่อไปจะเอาแต่ใจอย่างนี้ไม่ได้แล้ว อย่างน้อยก็ต้องกินอะไรรองท้องบ้าง ข้าสั่งให้คนเตรียมสำรับมื้อเที่ยงแล้ว ไปกินด้วยกันเถิด”
ซูหลียังคงไม่ตอบ หวั่นซินเข้ามารายงานพอดี “ฝ่าบาท มื้อเที่ยงเตรียมเสร็จแล้ว จะให้นำมาถวายที่นี่ หรือว่า…”
“ยกไปที่ห้องอาหาร” ซูหลีรีบตอบ ก่อนจะหันไปมองตงฟางเจ๋อ แล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “ในเมื่อตำหนักท่านเตรียมมื้อเที่ยงไว้แล้ว ข้าก็จะไม่รั้งท่านไว้ อาหารของข้ามีแต่ข้าวต้มรสชาติจืดชืด เกรงว่าจะไม่ถูกปากท่าน”
วาจาส่งแขกชัดเจนเกินไป ตงฟางเจ๋อขมวดคิ้ว หันไปทางประตูแล้วตะโกนเรียก “โจวหลี่!”
โจวหลี่รีบเดินเข้ามา “พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท!”
“สำรับมื้อเที่ยงของวันนี้ได้เตรียมข้าวต้มไว้หรือไม่?” ตงฟางเจ๋อจ้องหน้าขันทีชราที่ยืนอยู่หน้าประตูด้วยสายตาแฝงความหมาย
โจวหลี่กลอกตาไปมา ก่อนจะก้มหน้าด้วยความแตกตื่น “บ่าวสมควรตาย จะรีบกำชับให้คนไปเตรียมเดี๋ยวนี้…”
ตงฟางเจ๋อหน้าบึ้ง เอ่ยอย่างไม่พอใจ “เตรียมเวลานี้ ข้าจะได้กินเมื่อใด?”
โจวหลี่คุกเข่าเสียงดัง กล่าวด้วยสีหน้าคล้ายจะร้องไห้ “บ่าวสมควรตาย ฝ่าบาทโปรดลงโทษบ่าวเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”
“เหอะ! บ่าวไร้ประโยชน์ เรื่องเล็กแค่นี้ก็ยังทำงานได้ไม่ดี ยังไม่รีบไสหัวออกไปอีก!” ตงฟางเจ๋อโบกมือไล่อย่างหงุดหงิด เขาหันไปมองซูหลี แล้วถอนหายใจ “บังเอิญว่าวันนี้ข้าอยากกินข้าวต้ม…”
สายตาแฝงแววคาดหวังรางๆ ของเขาจ้องมาที่ซูหลี
ซูหลีรู้ดีว่าเขาแค่ใช้เรื่องนี้มาเป็นข้ออ้างเพื่อได้ใกล้ชิดนาง ทำได้เพียงลอบถอนหายใจ รู้ดีว่าตั้งแต่เปิดประตูบานนั้น ช้าเร็วอย่างไรก็ต้องปรับตัวกับการอยู่ด้วยกัน หากแม้แต่มื้อเที่ยงมื้อเดียวก็ยังไม่อาจร่วมโต๊ะ แล้วจะขอให้ผู้อื่นเชื่อได้อย่างไรว่าระหว่างพวกเขาไม่มีความบาดหมางใดจริงๆ?
ซูหลีกล่าวเสียงเบา “หากท่านไม่รังเกียจ เช่นนั้นก็เชิญเถิด”
คิ้วเข้มที่ขมวดเป็นปมพลันคลายออกทันที ตงฟางเจ๋อเดินตามซูหลีไปที่ห้องอาหาร ทั้งสองนั่งหันหน้าเข้าหากัน
ซูหลีไม่ชอบให้จัดสำรับอาหารฟุ่มเฟือย จึงจัดอย่างเรียบง่ายเสมอมา วันนี้ยังคงเป็นกับข้าวหกอย่างและน้ำแกงหนึ่งชาม เนื่องจากนางยังไม่หายดี หวั่นซินจึงกำชับให้เน้นผักลดเนื้อ อาหารจานหลักเป็นข้าวต้ม จึงยิ่งทำให้ดูรสชาติจืดชืดกว่าเดิม
ซูหลีไม่ได้กินข้าวมาหนึ่งวัน ความอยากอาหารจึงเพิ่มขึ้นกว่าเมื่อวานมาก ผ่านไปไม่นาน ข้าวต้มของนางก็ลดปริมาณลงจนเห็นก้นชาม นางเงยหน้าชำเลืองมองเล็กน้อย เห็นตงฟางเจ๋อนั่งมองนางเงียบๆ ด้วยสายตาอ่อนโยน อาหารเบื้องหน้าเขาแทบไม่ถูกแตะต้อง จึงอดถามไม่ได้ “ไม่ถูกปากหรือ?”
————————————-